องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 888 ปรับไปตามสถานการณ์
วางแผนล่อลวงผู้คนให้ร่วมก่อการวุ่นวาย ส่งผลต่อการวิเคราะห์ แต่บางเรื่องไม่ใช่ว่าเจ้าแต่งเรื่องหลอกแล้ว คนอื่นจะเชื่อ เช่นในวังกงกงหลายท่านทะเลาะเบาะแว้ง
ในเมืองหลวง ขอเพียงเป็นคนในวงการขุนนาง ข่าวในวังก็ย่อมหามาได้ ในวังขันทีเข้าๆ ออกๆ ผู้ใดจะไม่มีคนรู้จักบ้าง นับประสาอันใดกับยังเป็นเรื่องทะเลาะเบาะแว้งของขันทีใหญ่ในสำนักส่วนพระองค์
หลี่ซานไฉได้ยินแล้วก็รู้ว่าจริง ต้องการตั้งใจให้เขาได้รู้ ก็เพื่อให้เขาได้รู้ก่อน เพื่อให้เขายิ่งใส่ใจเท่านั้น
ชาวบ้านแผ่นดินหมิงหรือแม้กระทั่งวงการขุนนาง ภาพของสำนักส่วนพระองค์ก็คือศูนย์กลางใต้หล้า และตำแหน่งยังใหญ่กว่าคณะเสนาบดีใหญ่อีก เพราะว่าทางนี้เป็นผู้ตัดสินใจที่แท้จริง
คิดถึงงานในสำนักส่วนพระองค์ เวลาร่ำเรียนและประสบการณ์การปฏิบัติหน้าที่ย่อมไม่อาจด้อยสามารถ เทียบกับขุนนางจิ้นซื่อที่อยู่ในคณะเสนาบดีใหญ่ที่มีความรู้ลึกซึ้งแล้ว เรียกได้ว่าไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน
สำนักขันทีฝ่ายใน 8 สำนัก 24 หน่วยงาน คิดจะโดดเด่นเหนือผู้อื่น คิดจะเป็นหัวหน้าก็ย่อมต้องรู้หนังสือ ไม่ได้ต่างอันใดกับขุนนางภายนอก
ดังนั้นในวังก็มีสำนักศึกษา ขันทีน้อยที่เฉลียวฉลาดได้เข้าเรียน จากนั้นก็ออกมาปฏิบัติงานขันทีอาลักษณ์ จากนั้น ค่อยๆ ปฏิบัติหน้าที่ก้าวขึ้นไปทีละขั้น
ตามธรรมเนียมในวัง อาจารย์ที่สอนในสำนักศึกษานี้ก็เป็นบัณฑิตจากคณะเสนาบดีใหญ่หรือไม่ก็สำนักราชบัณฑิตฮั่นหลินย่วน คนพวกนี้เป็นพวกยึดแนวคิดขงจื๊อ ศิษย์ที่สอนออกมาก็ย่อมต้องไปในแนวทางเดียวกัน
เพราะเป็นเช่นนี้ ขันทีระดับกลางถึงสูงแท้ที่จริงแล้วก็คือบัณฑิต ทว่าพวกเขาเป็นขันทีก็เท่านั้น คิดวิเคราะห์เรื่องราวถูกผิด ความคิดย่อมไม่แตกต่างอันใดกับขุนนางบุ๋นนอกวัง
มีคนทำงานมาหลายสิบปี ค่อยๆ ก้าวขึ้นมา เห็นอะไรมามาย มองทะลุปรุโปร่ง ย่อมต้องมีไหวพริบดี แต่ก็มีบ้างที่อ่านตำราและเชื่อในตำรา หลายสิบปีล้วนไม่ยอมเปลี่ยน
จางเฉิงกลับเป็นพวกนี่มองโลกปรุโปร่ง มีแต่จางหงกลับที่ยังคงมาตรฐานไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ที่เรียกว่ามีลำดับอาวุโสนั้น โอรสองค์โตก็ย่อมต้องเป็นรัชทายาท ความคิดนี้เขาไม่กล้ากล่าวออกมา แต่ในใจนั้นคิดเช่นนี้
ตอนนี้ในเมืองหลวง หรือแม้กระทั่งทั่วหล้าก็ล้วนวิพากษ์วิจารณ์เรื่องแต่งตั้งรัชทายาทกันดุเดือด ฎีกามาเป็นตั้ง รายงานลับที่ส่งมาก็ล้วนส่งมายังสำนักส่วนพระองค์ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเอ่ยถึง สำนักส่วนพระองค์เองก็ไม่อาจทำตัวไม่สนใจ อย่างไรก็ต้องวิพากษ์วิจารณ์
ประเด็นสำคัญก็คือท่าทีฮ่องเต้ว่านลี่ไม่เคยกระจ่างชัด แม้ทรงเอนเอียง แต่กลับไม่เคยเปิดเผยกระจ่าง ถึงกับแอบคุยกันส่วนตัวในสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมา
ในเมื่อไม่มีท่าทีกระจ่างชัด เช่นนั้นก็ย่อมแสดงให้เห็นว่ายังมีทางยับยั้งได้ คนข้างนอกคิดเช่นนี้ การวิเคราะห์ในวัง ก็วิพากษ์วิจารณ์กันเช่นนี้
การมีเรื่องทะเลาะกันมาจากที่ใดนั้นทุกคนก็พอเดาได้ ความหมายของจางเฉิงก็คือฝ่าบาทคิดทรงทำเช่นไรก็เช่นนั้น แต่ความหมายของจางหงกลับต้องการให้ทำตามธรรมเนียมบรรพชน แต่ก็ไม่เคยกล่าวกันออกนอกหน้า เช่นกัน ทุกคนรู้ดีแก่ใจ ข่าวนี้แพร่ออกไป คนสนใจเรื่องนี้ก็จะคิดไปมากมาย
ข้างนอกเหมือนกับกล่าวว่าโอรสองค์โตต้องเป็นรัชทายาท แต่ในวังจางเฉิงเป็นคนส่วนน้อย ส่วนใหญ่ก็เอนเอียงไปทางพระโอรสองค์โตจูฉางลั่ว
ไม่ว่าอย่างไร พระสนมกงก็เป็นคนของไทเฮาฉือเซิ่ง ในวังมีหลายสำนัก ขันทีใหญ่ส่วนมากก็อายุราว 50 ได้ หัวหน้าหน่วยงานก็ราว 40 ล้วนเพราะพระเมตตาไทเฮาฉือเซิ่งส่งเสริมมา หากฮ่องเต้ว่านลี่ยังไม่มีทีท่าชัดเจน เช่นนี้ทุกคนก็ย่อมรู้ว่าควรแสดงท่าทีเช่นไร
*****************
ซ่งฉานฉานเป็นหญิงฉลาด ตอนเป็นเจ้าของดูแลหอฉินก่วนอยู่นั้นก็ดูเป็นหญิงงามหน้าตาสะสวยเท่านั้น แต่พอมาเป็นลูกน้องหวังทง ทำให้หอฉินก่วนกลายเป็นองค์กรเก็บข่าวลับแล้ว ความสามารถในการวางแผนการก็พัฒนาขึ้นมาก
ขุนนางใหญ่เมืองหลวงทำงานกันหลากหลายแบบ จางจวีเจิ้งกับจางซื่อเหวยล้วนมาจากตระกูลใหญ่ มีคนให้ใช้ทั้งที่ลับและที่แจ้งมากมาย เรียกใช้งานได้ตามสบาย เรื่องนี้ไม่ต้องพูดถึง
แต่พอถึงเซินสือหัง นอกจากหวังซีเจวี๋ยที่เป็นตระกูลใหญ่จากแดนใต้แล้ว ที่เหลือไม่ว่าคณะเสนาบดีใหญ่หรือหกกรมกอง ขุนนางใหญ่ทั้งหลายก็ล้วนเป็นพวกบัณฑิต พวกบัณฑิตรับตำแหน่งกันไม่น้อย แต่ที่สามารถพึ่งพาได้มีไม่มาก ต้องเป็นพวกศิษย์หรือญาติมิตรเท่านั้น
ในวงการขุนนางสมคบกันก็ย่อมหาคนมีตำแหน่ง คนเช่นนี้ย่อมถูกจับตา เพราะมีจำนวนไม่มาก ยังก้าวมาจากการสอบแบบปกติ หลายเรื่องจึงมิได้ป้องกันไว้ก่อน การจะส่งสาวใช้คนงานเข้าไปในจวนเพื่อสืบหาข่าวก็ย่อมมิใช่เรื่องยาก
แต่การจะทำให้ขุนนางบัณฑิตชิงหลิวเคลื่อนไหว อาศัยเพียงแค่ลูกศิษย์นั้นไม่พอ พวกกู้เซี่ยนเฉิงและหลี่ซานไฉจึงเป็นพวกที่สำคัญต่อการก่อการมาที่สุด กู้เซี่ยนเฉิงได้เป็นคนสนิทของเสนาบดีกรมปกครองหยางเหว่ยแล้ว เรื่องพวกนี้ไม่จำเป็นต้องออกแรงผลักดันมากนัก แต่หลี่ซานไฉที่มีกำลังมากกว่ากลับใช่ว่าจะเริ่มเคลื่อนไหวง่ายๆ
ที่ซ่งฉานฉานทำนั้นก็คือพยายามยัดข่าวที่หามาได้ให้กำลังใจหลี่ซานไฉทุกทาง ให้เขาวิเคราะห์สถานการณ์ไปตามที่ซ่งฉานฉานอยากจะให้วิเคราะห์
ความคิดเหมือนไม่มีหลักการมากเท่าไร เรื่องเช่นนี้มีความมั่นใจห้าส่วนก็เรียกได้ว่าขอบคุณฟ้าดินแล้ว แต่ทิศทางพวกมีอำนาจใหญ่เมืองหลวงเป็นเช่นนี้ แม้ซ่งฉานฉานไม่ทำอะไร ที่ต้องเกิดก็ย่อมเกิด ที่ซ่งฉานฉานต้องการทำ ก็แค่ผลักดันให้คลื่นแรงขึ้น เพิ่มเชื้อไฟลงไปเท่านั้น
เป็นเพราะพวกอู๋จั้วไหลไร้สามารถ พวกเขาเลือกคนสำคัญมาทำงานนี้เป็นเหยาฟู่ ข่าวจากเหยาฟู่เล็ดรอดออกไปอย่างรวดเร็ว ที่ซ่งฉานฉานต้องทำก็คือทำให้เรื่องนี้ต้องสำเร็จ เหยาฟู่คิดหอบเงินหลบหนี ซ่งฉานฉานก็ย่อมต้องจับเขายัดกลับไป
*****************
ในทางเปิดเผยก็เริ่มเคลื่อนไหวหนัก ในทางลับก็เริ่มสมคบกัน เสียงวิพากษ์วิจารณ์เมืองหลวงราวกับถังระเบิดลูกหนึ่ง ไม่รู้จะระเบิดขึ้นเมื่อใด
สถานการณ์เช่นนี้เรียกได้ว่าน่าตกใจ แต่ก็เป็นไปตามคาด ฮ่องเต้เป็นประมุขใต้หล้า แต่คนที่ปกครองใต้หล้านั้นคือเหล่าขุนนางบัณฑิต หลายปีนี้ฮ่องเต้ว่านลี่ค่อยๆ เข้ากุมอำนาจไว้ในพระหัตถ์ ทรงมีอำนาจออกเสียงสั่งการมากขึ้นเรื่อยๆ เข้ายุ่งกับหลายเรื่องมากขึ้นเรื่อยๆ
ฮ่องเต้อำนาจมากขึ้นอีกหน่อย อำนาจขุนนางก็ลดลงอีกหน่อย ฮ่องเต้หาเงินได้มากอีกหน่อย พวกขุนนางก็ย่อมหาเงินได้น้อยลงอีกหน่อย จึงเป็นธรรมดาที่ย่อมต้องแย่งชิงอำนาจกัน
นับประสาอันใดกับการแต่งตั้งรัชทายาทที่แต่ไรมาก็เป็นเรื่องอ่อนไหว คนเรามีความสามารถสร้างผลงานได้มากเท่าไร ก็มิสู้สนับสนุนฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ อย่าเห็นว่าตอนนี้โอรสองค์โตจูฉางลั่วอายุยังไม่สามขวบ และจูฉางสวินยังไม่ถึงหกเดือน แต่เรื่องนี้ผู้อาวุโสฝ่ายเขาย่อมจดจำ พระมารดาเขาย่อมจดจำ รอให้ขึ้นครองราชย์ได้เสียก่อน ก็จะมีพระราชทานบำเหน็จรางวัลทันที ถึงตอนนั้นอำนาจวาสนาก็ไม่ต้องพูดถึง
เรื่องแต่งตั้งรัชทายาทจึงต้องเป็นเรื่องที่ออกหน้าโต้แย้งเปิดเผย ลำดับอาวุโสเป็นธรรมเนียมคุณธรรมใหญ่ โอรสองค์โตควรได้เป็นรัชทายาท แต่ฮ่องเต้ว่านลี่กลับไม่ยอมตัดสินพระทัย และยังเห็นความสำคัญพระโอรสพระสนมเอกเจิ้งมากกว่า มีเหตุผลในการโต้แย้ง จะว่าไป ตอนนี้สถานการณ์ก็จำเป็นต้องหาเรื่องลงมือขัดแย้งกับฮ่องเต้ว่านลี่
หากเป็นเมื่อหนึ่งปีก่อน ไม่แน่ว่าจะมีคนกล้ารวมตัวกันเช่นนี้ แม้ว่ามีโอกาส ทุกคนก็ไม่กล้าร่วมกันก่อการเคลื่อนไหว หรือแม้แต่ในวังที่ทะเลาะเบาะแว้งกันก็ย่อมไม่เกิด แต่เพราะตอนนี้กำลังวุ่นวายกันเช่นนี้ ย่อมเป็นโอกาสอันดี ย่อมเป็นโอกาสให้ซ่งฉานฉานร่วมก่อการเคลื่อนไหวด้วย ประเด็นสำคัญก็คือ หวังทงไม่ได้อยู่ข้างกายฮ่องเต้ว่านลี่ ไร้หวังทง ก็เท่ากับไม่มีขุนนางบู๊ฝ่ายในที่ไร้เหตุผล หลายเรื่องก็ไม่ต้องคำนึงถึงมากนัก
เดือนสาม ปีรัชสมัยฮ่องเต้ว่านลี่ที่ 13 สำนักตรวจสอบมณฑลซานซี นายกองตรวจสอบเหยาฟู่เขียนฎีกาได้พอสมควรแล้ว ให้คนช่วยอ่านแล้ว รอเวลาทูลเกล้าเท่านั้น
*****************
“รถใหญ่ 30 กว่าคันขายผ้ากับของเบ็ดเตล็ด เก็บเป็นพรมกับสัตว์เลี้ยงกลับมา ขบวนพ่อค้าเช่นนี้ปล้นขาไปน่าจะได้กำไรมากกว่าขากลับ เหตุใดตอนขากลับล่อกองโจรม้ากลุ่มใหญ่มา?”
ทุ่งหญ้าไม่ใช่ที่ราบเท่านั้น พวกหวังทงสามารถหาที่กำบังลอบสังเกตการณ์ได้ แม้เรื่องราวเกิดได้หกวันแล้วจึงไล่ตามมาถึง แต่อาศัยรถใหญ่กับอาวุธปืน ถึงกับต้านทานไว้ได้
ใช้รถใหญ่ล้อมกำบังไว้ อาศัยปืนไฟยิงต้าน ค่ายรถเช่นนี้ทำเอากองโจรม้าทหารม้าด้านนอกไม่อาจลงมือได้ รถใหญ่ 30 กว่าคัน คนเกือบสองร้อย สำหรับกองโจรม้าเรียกได้ว่าเคี้ยวยาก
ทว่าสนามรบนี้กลับไม่ได้รบดุเดือด พวกกองโจรม้าถึงกับตั้งกระโจมพักง่ายๆ ค่อยๆ โจมตีอย่างช้าๆ นำแพะและวัวมารวมกันไล่ต้อนไปทางค่ายรถ จากนั้นให้คนหลบอยู่ในกองสัตว์พวกนี้ พอถึงช่วงกระชั้นชิดก็ให้โดดออกมาบุกสังหาร
วิธีการรบแบบนี้ ผู้คุ้มกันขบวนพ่อค้าเตรียมรับมือไว้แล้ว มีคนถือทวนยาวหลบอยู่ด้านบนและด้านล่างของรถใหญ่ เข้าใกล้ก็แทง หากมีคนคิดใช้ธนูยิง ทางนี้ก็ยิงปืนใส่
เสียงปะทะดังประปราย เสียงปืนไฟดังเป็นระยะ แต่กองโจรม้ากลับยังคงจำนวนร้อยกว่า พอค่ายรถมีการเคลื่อนไหว พวกเขาเองก็เคลื่อนไหวทันที
“เรียนใต้เท้าตามตรงไม่ปิดบัง รถใหญ่และปืนพวกนี้บนทุ่งหญ้านอกด่านตอนนี้ล้วนเป็นของมีค่าอันดับหนึ่ง พวกเขาไม่ต้องการสินค้า หากต้องการรถใหญ่กับปืนเท่านั้นก็พอใจแล้ว”
ได้ยินหวังทงถามอย่างสงสัย คนที่ตามมาก็กล่าวขึ้นเบาๆ หวังทงพยักหน้า หันไปสั่งการด้านหลังว่า
“ไปตระเวนรอบๆ ดูหน่อย ดูว่ามีคนซุ่มอยู่ไหม มีวางแผนกับดักไว้ไหม”
ในเมื่อมาถึงแล้วก็ไม่รีบร้อน หวังทงกลับไปยังกองกำลังที่มาได้ครู่หนึ่ง ม้าที่ส่งออกไปสืบความก็กลับมารายงาน ทางตะวันตกเฉียงเหนือมีรังโจร มีเผ่าที่มีคนสองพันกว่าอยู่ที่นั่น และดูจากร่องรอยเส้นทางแล้ว น่าจะเป็นกองโจรม้าที่ออกมาจากเผ่านี้
“น่าจะหลังจากค้าขายแล้ว คนเผ่านี้คิดจะกินรวบ ดังนั้นจึงตามมา”
ทุกคนไม่ใช่คนโง่ เรื่องเช่นนี้ย่อมวิเคราะห์ได้ไม่ยาก ได้ยินทหารม้ากลับมารายงาน หวังทงเงียบไปก่อนจะเงยหน้าขึ้นกล่าวว่า
“พักอีกหนึ่งก้านธูป จากนั้นออกไปช่วยคน สังหารโจร”
ถ่ายทอดคำสั่งเบาๆ หลายคนย่อมไม่สนใจจะพัก พากันเลี้ยงม้าด้วยอาหารแข็ง เตรียมอาวุธ หวังทงหันไปกล่าวกับหม่าซานเปียวข้างๆ ว่า
“พอช่วยคนได้แล้ว ก็ค่อยไปกวาดล้างเผ่านั้น สั่งสอนพวกทุ่งหญ้านอกด่านเสียหน่อย!!”