องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 889 ช่วยคนเป็นรอง สำแดงบารมีเป็นหลัก
การโจมตีเริ่มจากเสียงเป่านกหวีดทองแดง เสียงนกหวีดดังยาวนาน พวกกองโจรม้าที่รุมล้อมรถใหญ่อยู่ก็เริ่มรู้ตัว กระโจมที่ตั้งพักง่ายๆ ก็เริ่มมีม้ากรูกันออกมาตั้งทัพพร้อมบุก
เสียงนกหวีดดังทางนั้นมีคนถือทวนยาวชี้ขึ้นท้องฟ้า ค่อยๆ เคลื่อนม้ามาด้านหน้า มองไม่เหมือนมารบ หากเหมือนมาสวนสนามฉลองชัย พวกกองโจรม้าตกใจอ้าปากค้างทันที ทหารม้าสองแถวกรูกันออกมาจากด้านหลังคนผู้นั้น ซ้ายขวาตั้งทัพเอียงเป็นรูปสามเหลี่ยมบุกขึ้นมา
เรียกได้ว่าตั้งทัพรบแบบสยายสองปีก ตามหลักแล้วกองกำลังมาช่วยต้องเร่งลงมือ ไม่ให้เสียเวลา แต่กองกำลังที่มาใหม่นี้กลับมาอย่างช้าๆ ไม่เร่งร้อน
ไม่อาจเรียกว่าช้า ได้แต่เรียกว่าสบายอารมณ์ ไม่เหมือนกำลังบุกโจมตี แต่เหมือนกับการแสดงเดินสวนสนามของม้าในงานเทศกาลเสียมากกว่า
พวกกองโจรม้าเริ่มแตกฮือ คนที่ไล่ต้อนสัตว์ไปยังขบวนรถใหญ่เริ่มถอยกลับ แต่พอมองไปเห็นสองปีกข้างแล้วรวมกันก็แค่ 300 กว่าคน สถานการณ์ก็เริ่มนิ่งลง
มีคนตะโกนออกคำสั่ง พวกกองโจรม้าก็รวมตัวกันกลับมาใหม่ จากนั้นก็บุกมาทางนี้ทันที พวกเขาถึงกับยังเหลือร้อยคนไว้เฝ้าทางรถใหญ่
ม้าของพวกทหารม้าต้องการกำลังพอควร การวิ่งจากเมืองกุยฮว่าเฉิงมาช่วย ม้าย่อมเหนื่อยล้า และตอนนี้เริ่มฤดูใบไม้ผลิแล้ว ดินบนทุ่งหญ้านอกด่านก็นิ่ม ม้าย่ำไปต้องใช้แรงยกขาหลายส่วน ก็ยิ่งเปลืองกำลัง
กำลังมาช่วยก็ไม่อาจรอช้า มาแล้วย่อมได้พักไม่นานก็ต้องบุกทันที เริ่มแรกเดินหน้ามากันอย่างเนิบนาบ อาจเป็นไปได้มากว่ากำลังรักษากำลังม้าตนไว้เตรียมบุกปะทะ และทางตนเองที่เอาแต่ล้อมโจมตีนี้ ม้าย่อมมีกำลังเพียงพอ
อาศัยจังหวะนี้ บุกใส่กองกำลังชาวฮั่นที่มาช่วยก่อน อาจทำให้พวกหลังรถใหญ่เริ่มหวาดกลัวก็ได้ หวังทงที่ว่านำกำลังรบได้ยอดเยี่ยมก็เป็นแค่พวกชาวฮั่นที่อาศัยปืนกับรถใหญ่เท่านั้น พวกรบบนหลังม้าบนทุ่งหญ้านอกด่านย่อมเป็นชาวมองโกลอันดับหนึ่ง
กองโจรม้าเริ่มหนาแน่นกันบุกเข้ามา ทหารม้าสิบกว่านายบุกขึ้นหน้าเข้าทะลวงก่อน กองกำลังโจรที่มากันหนาแน่นมุ่งไปทางสองปีกข้างเล่นงานชาวฮั่นพวกนั้น พอไปถึงระยะประชิดย่อมตีแตกพ่ายได้แน่นอน
ทัพที่มาช่วยนั้นยืนกันห่างๆ ตามหลักแล้วต้องวิ่งมาก่อนจะค่อยๆ เทียบเสมอกันแล้วค่อยรวมตัวกันบุก แต่สองทางห่างกันแล้วชิดกัน แต่ก็ยังไม่เร่งความเร็ว
ในเมื่อทัพที่มาช่วยทำตัวเองเช่นนี้ เท่ากับรนหาที่ตาย พวกทุ่งหญ้านอกด่านไม่คิดสงสาร พากันตะโกนส่งเสียงร้องดังเร่งม้าวิ่งเข้าใส่
ตอนระยะบุกราวร้อยก้าว กลับได้ยินเสียงหวีดทองแดงดังขึ้น ครั้งนี้ม้าหยุดพร้อมกัน ทหารม้าคว้าเอาปืนไฟจากอานม้าขึ้นมา ยังมีบางคนคว้าธนูขึ้นมา
กลางวันแสกๆ ย่อมมองเห็นแสงไฟจุดชนวนไฟไม่ชัด ปืนไฟคืออะไร กองโจรม้าพวกนี้ย่อมรู้จัก ในขบวนรถนั่นก็มีหลายสิบกระบอก สังหารคนเขาไปไม่น้อย ใครจะคิดว่าอีกฝ่ายที่มาช่วยจะมีด้วย และยังมีถึง 200 กว่ากระบอกเช่นนี้ ตอนนี้สองปีกข้างตั้งเป็นรูปสามเหลี่ยมไม่ได้ยืนห่างกันแบบเดิม เห็นชัดว่าเหมือนเป็นถุงสังหาร
บุกเข้าไป คิดจะหยุดก็ยาก และพอเข้าไปในระยะยิงของปืนไฟ แม้ว่ารั้งม้าให้หยุด แต่ด้านหน้าก็ยังมีธนูอยู่
กองโจรม้าที่บุกมาเป็นแนวหน้าพอเห็นคนผู้นั้นยกทวนยาวลง จากนั้นก็มีเสียงปืนไฟยิง บุกกันมาหนาแน่น ถูกทัพหวังทงยิง ยิงทุกนัดเข้าทุกนัด
เสียงร้องดังเจ็บปวดดังไปทั่ว ม้าคว่ำคะมำคนกระเด็นหงายหลัง ปืนไฟอาจปล่อยให้เล็ดรอดได้บ้าง แต่ธนูนั้นเล็งแม่นเข้าเป้า และพวกเขายังสามารถยิงระลอกสองได้อีก
หลังยิงระลอกแรกไปแล้ว ทั้งแนวหน้าพริบตาก็สงบนิ่ง จากนั้นก็มีคนทนรับไม่ไหว พยายามวิ่งหนีสุดชีวิต เริ่มแออัดแน่นกันอีกรอบ ชุลมุนยิ่ง
การรบพูดแล้วเป็นเรื่องยุ่งยาก แต่ที่จริงแล้วเป็นเรื่องง่ายมาก กองโจรม้าบุกขึ้นหน้ามาถูกยิงบาดเจ็บหน้าหงายกันไป ย่อมเริ่มตั้งสติได้
จากนั้นหวังทงก็ทำไปตามธรรมเนียมรบปกติ เก็บปืนไฟเข้าซอง คว้าทวนยาวกับดาบออกมาเริ่มบุกสังหารโจรที่กำลังชุลมุน
ความมีระเบียบสู้กับความวุ่นวาย ทหารเกราะสู้กองกำลังไร้เกราะ ทหารบู๊ที่ฝึกฝนมาอย่างดีสู้กับกองโจรม้าทุ่งหญ้านอกด่านที่มาจากพวกชาวเลี้ยงสัตว์เร่ร่อน ผู้ใดแข็งแกร่ง ผู้ใดอ่อนกว่า ก็ย่อมรู้ผลแพ้ชนะได้กระจ่าง
คนด้านนอกที่ล้อมไว้เริ่มถูกสังหารทิ้งทีละคน เดิมคนที่ได้เปรียบที่จำนวนมากกว่าก็เริ่มร่อยหรอลง กองโจรม้าไม่มีความเด็ดเดี่ยวเท่าทหาร ก็ย่อมทนไม่ไหวเริ่มหนีกระเจิดกระเจิง
ทหารม้าหวังทงมาไกล แม้ว่าได้พักระยะสั้น แต่ก็ไม่คืนแรงกำลังดี แต่เพราะกองโจรม้าแตกพ่ายหนีกระเจิดกระเจิง หมดหวังสิ้นเชิง ด้านหลังพวกเขายังถูกกองกำลังบนหลังม้าอีก 200 คนปิดทาง แม้กองกำลัง 200 คนนี้ไม่ได้เป็นรูปขบวน แต่ม้าก็มีกำลัง ความเร็วยังคงดีอยู่
พวกที่หนีกระเจิดกระเจิงพอเห็นเส้นทางถูกขวางไว้ ในใจก็เริ่มหวาดกลัวหมดหวัง ทหารม้าที่มาขวางกองนี้แม้ไม่ได้เป็นระเบียบเหมือนกองกำลังเมื่อครู่ แต่ก็มีความกล้า ครั้งนี้จึงมีแต่บาดเจ็บล้มตายอีกตามเคย
หน้าหลังประสานกำลังปิดทาง พวกกองโจรม้าเริ่มหายไปเกินครึ่ง วิ่งหนีไปได้เป็นส่วนน้อย แม้ว่าวิ่งกระจัดกระจายสี่ทิศ วิ่งวนไปรอบใหญ่ แต่มองจากทิศทางแล้วเหมือนมุ่งไปยังเผ่าใหญ่ทางนั้น
หวังทงคิดรวบกำลังคงจะไปโจมตีต่อ แต่ตอนนี้ลงจากหลังม้าเดินไปยังหน้าขบวนรถใหญ่ คนในขบวนรถรู้แล้วว่าเป็นคนของตนไปตามคนมาช่วยได้ทัน คนด้านในก็ดีใจจนน้ำตาร่วง
มีคนเตือนให้รู้ตัว หัวหน้าขบวนพ่อค้าจึงรีบเข้ามาขอบคุณหวังทง มาถึงตรงหน้า รีบโขกศีรษะร่ำไห้ใหญ่ จิตใจในยามนี้เหมือนว่าในยามคับขันสามารถรอดชีวิตมาได้ราวกับเกิดใหม่
“บุญคุณใหญ่ท่านโหว วันหน้าข้าน้อยขอยอมรับใช้เป็นวัวเป็นม้า…….มีผู้คุ้มกันกับคนงานตายไปราว 16 คนมีหลายคนไม่อาจยื้อชีวิตไว้ได้ พวกเขาช่างน่าสงสาร!”
หวังทงปลอบใจ ให้คนประคองออกไป คนข้างในก็เหมือนจะมีสภาพเช่นเดียวกัน ทว่ายังรู้จักหน้าที่ออกมาเก็บกวาดด้านนอก หวังทงกล่าวกับหัวหน้ากลุ่มที่นำพวกมาช่วยว่า
“พวกกองโจรม้าล้อมรถไว้ พวกเราต้านได้หลายวันตายไปแค่ 10 กว่าคน รถใหญ่นี่ใช้ได้ไม่เลว!”
หัวหน้าผู้คุ้มกันเดิมมาจากหมู่บ้านอวี้หลิน แต่รองหัวหน้าเป็นทหารเก่าจากกองกำลังหู่เวย ได้ยินเช่นนี้ รองหัวหน้ากล่าวว่า
“รถใหญ่เป็นดังกำแพงเมือง ปืนไฟยิงระยะไกล ดาบทวนไว้ต่อสู้ กองโจรม้าทำไรไม่ได้ ตายน้อยเช่นนี้ก็เพราะกองโจรม้าคิดอยากได้รถใหญ่กับปืน ไม่คิดให้พวกตนทำลายของพวกนี้มากไป”
คำวิจารณ์นี้เป็นจริง ไม่ดูแคลนศัตรู นี่เป็นธรรมเนียมกองกำลังหู่เวย หัวหน้าจากอวี้หลินเงียบไปครู่หนึ่งก็กล่าวว่า
“ท่านโหว ข้าน้อยขอกล่าวล่วงเกินสักคำ คิดว่าพวกเขาอาจจะกำลังกองกำลังที่มาช่วยด้วย เพราะนำกำลังมา 600 กว่าเช่นนี้ เรียกได้ว่าเป็นกองกำลังใหญ่ไม่น้อย”
การคาดเดานี้ก็มีเหตุผล หวังทงพยักหน้า ทุ่งหญ้านอกด่านเป็นโลกที่พวกเข้มแข็งกลืนกินพวกอ่อนแอกว่า ขบวนพ่อค้าเมืองกุยฮว่าเฉิงออกปล้นเผ่าเล็กทุ่งหญ้านอกด่านไปเป็นทาส สังหารปล้นชิง พวกเผ่าทุ่งหญ้านอกด่านเองก็มองขบวนพ่อค้าทุ่งหญ้านอกด่านเป็นเนื้อก้อนโตเช่นกัน ผู้ใดเข้มแข็งกว่า ผู้นั้นก็เป็นผู้ล่า
หวังทงขี้เกียจจะสนใจเรื่องสาเหตุพวกนี้ เขาจัดการให้ทุกคนพัก จากนั้นก็เดินไปในขบวนรถ มองคนบาดเจ็บ แม้ไม่ถึงชีวิต ทว่าก็ถึงพิการ ศพได้ถูกโยนออกไปนอกค่ายรถแล้ว จะได้ไม่เน่าเกิดโรค ตอนนี้ต้องจัดการก่อนสักหน่อย เผาให้ดีบนทุ่งหญ้านอกด่านก่อนจะนำกระดูกกลับไป
หลายคนคว้าถุงน้ำจากพวกที่มาช่วยไปดื่มหลายอึก เห็นชัดว่าหิวน้ำมาก ถูกล้อมไว้ด้านใน หาน้ำมาดื่มหรือใกล้แหล่งน้ำนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
เห็นหวังทงเดินมา มีคนหันไปบอกต่อกัน คนกลุ่มหนึ่งก็รีบคุกเข่าคำนับ หวังทงยืนกล่าววาจาง่ายๆ ว่า
“หากเดาไม่ผิด พวกที่ล้อมโจมตีพวกเจ้าน่าจะเป็นเผ่าที่พวกเจ้าเพิ่งทำการค้ามา เผ่านี้น่าจะอยู่ละแวกนี้”
วาจาหวังทงไม่ได้ทำให้ทุกคนแปลกใจ พวกกองโจรม้าที่ล้อมพวกเขานั้นก็คุ้นหน้ากันอยู่ ทว่าตอนนั้นไม่มีเวลามาสนใจมาก ตอนนี้กลับเริ่มสบถด่าเคี้ยวฟันด้วยความแค้น
“ปล้นชิงขบวนพ่อค้าเมืองกุยฮว่าเฉิงเรา พวกเจ้าอยากล้างแค้นนี้ไหม?”
หวังทงเสียงดังขึ้น ทุกคนอึ้งเล็กน้อย จากนั้นก็รับคำดัง ถูกล้อมมาหลายวัน คิดว่าต้องตายบนทุ่งหญ้านอกด่านเสียแล้ว พวกผู้คุ้มกันต้องสู้สุดชีวิต พวกคนงานก็คิดว่าไม่มีทางรอดแล้ว ผู้ใดจะคิดว่าพวกทุ่งหญ้านอกด่านจะโหดร้ายกับพวกเขาเพียงนี้
ได้ยินเสียงตอบดังกังวาน หวังทงยิ้มโบกมือกล่าวว่า
“ข้ารู้ว่าพวกเจ้าเหนื่อย ทว่าพวกเจ้าไม่อาจพัก ขึ้นม้ามา ตามข้าไปกวาดล้างพวกมัน กวาดเอาทรัพย์สินพวกมัน กวาดเอาคนของพวกมันมาขายที่เมืองกุยฮว่าเฉิง จึงจะสะใจ!!”
หวังทงพูดจนทุกคนรับคำพร้อมกัน หวังทงกล่าวต่อว่า
“กล้าแย่งของพวกเรา กล้าลงมือกับคนเมืองกุยฮว่าเฉิง พวกเราต้องให้พวกมันบ้านแตกสาแหรกขาด ให้เป็นทาสไปตลอดทุกชั่วอายุคน พวกเราจะให้พวกทุ่งหญ้านอกด่านได้เห็น จุดจบที่ล่วงเกินพวกเรา!!!!”
หวังทงเสียงยิ่งดัง คนที่คุกเข่าพากันยืนขึ้น เลือดในกายเดือดพล่าน ตะโกนดังว่า
“สังหารทิ้ง!!!”
จากนั้นก็ไม่มีเรื่องใดให้ต้องคิดต่อ แม้ว่าเผ่านั้นจะรู้ตัว แต่ก็ไม่อาจหนีได้ไกล พวกผู้ชายล้มตายไปมาก พวกเขาย่อมไม่มีกำลังต่อต้าน กองโจรม้าที่หนีไป ไม่มีที่ไป พวกในเผ่าที่ต่อสู้ได้ก็ตายไปมาก หัวหน้ากับผู้อาวุโสในเผ่าก็ปลิดชีวิตตนเอง
สตรีและเด็กที่เหลือก็ย่อมถูกจับตัวเป็นทาส สัตว์เลี้ยงและทรัพย์สินก็ย่อมถูกกวาดเป็นค่าปฏิกรณ์สงครามสู่เมืองกุยฮว่าเฉิง ไม่ว่าศพฝ่ายใด ทุกศพไม่ได้ฝัง หากจงใจเปิดบาดแผลให้กว้าง ศพที่มีกลิ่นคาวเลือดย่อมดึงดูดให้ฝูงสัตว์ป่าและนกอินทรีบินมา สภาพตรงหน้าราวกับนรกก็ไม่ปาน เป็นที่สะเทือนเลือนลั่นไปทั่วทุ่งหญ้า
*****************
เดือนสี่ ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 13 สำนักตรวจสอบมณฑลซานซี นายกองตรวจสอบเหยาฟู่ยื่นฎีกาถึงการแต่งตั้งรัชทายาท ข่าวแพร่ออกไป ใต้หล้าสั่นสะเทือน