องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 891 อยู่ๆ จะลงดาบ
เสนาบดีกรมพิธีการเสิ่นหลียืนหยัดคุกเข่า ฮ่องเต้ว่านลี่บนที่ประทับทรงมองซ้ายมองขวา ผู้ใดก็เห็นว่าทรงกริ้วจัดแล้ว แต่ทุกคนก็ยังมองออกว่าฮ่องเต้ว่านลี่ยังหาทางรับมือไม่ได้
เสิ่นหลีคุกเข่ากล่าวอย่างดุเดือด ข้างๆ มีคนเตรียมจะยื่นฎีกาตาม สุดท้ายฮ่องเต้ว่านลี่ก็ไม่ได้ทรงจัดการอันใด ได้แต่โบกพระหัตถ์อย่างรำคาญพระทัย
ขันทีตะโกนคำสั่งที่ยืนอยู่มุมห้องรีบตะโกนขึ้นว่า
“เลิกประชุม”
พอเสียงดังจบลง ฮ่องเต้ว่านลี่ประทับยืนขึ้นไม่ตรัสอันใด หันพระพักตร์เสด็จออกไปทันที ฮ่องเต้ว่านลี่เสด็จถึงประตู ก็ทรงได้ยินคนด้านหลังกล่าวว่า
“เสนาเสิ่นผดุงคุณธรรม เป็นแบบอย่างให้รุ่นเรา!”
ฮ่องเต้ว่านลี่คิดจะหันไปด้วยความกริ้วหนัก แต่ทรงคิดดูแล้ว ก็ได้แต่กระทืบเท้าไม่หันกลับไปอีก
*****************
หลังการประชุมที่จบอย่างไม่รื่นรมย์ ฮ่องเต้ว่านลี่มีราชโองการทันที ให้องครักษ์เสื้อแพรนำตัวเหยาฟู่เข้าคุกสอบ องครักษ์เสื้อแพรลงมือฉับไว มุ่งไปจับกุมเหยาฟู่จากบ้านเข้าคุกทันที
แต่ขั้นตอนนั้นไม่ได้ราบรื่นนัก ก็ไม่รู้ว่าผู้ใดแพร่ข่าวออกไป องครักษ์เสื้อแพรยังอยู่ระหว่างเดินทางไป แม้แต่เพื่อนบ้านเหยาฟู่ก็รู้ข่าวว่าจะมีทหารมาจับตัวเหยาฟู่
บัณฑิตเมืองหลวงต่างมาพากันมาออกหน้าประตู ขุนนางระดับล่างมากันมาหน่อย มาถึงก็เห็นคนกำลังวิจารณ์ชื่นชม ประตูหน้าบ้านเหยาฟู่เปิดกว้าง เหยาฟู่ในชุดผ้าฝ้ายธรรมดานั่งอยู่ด้านนอกห้องด้านใน ด้านหลังเป็นโลงศพที่ยังไม่ได้ลงสี สีหน้าเด็ดเดี่ยวทรงคุณธรรม
ทหารองครักษ์เสื้อแพรมาถึง ตามธรรมเนียมต้องกล่าวโทษชัดเจน จากนั้นใส่กุญแจมือนำตัวไป แต่เหยาฟู่ยืนขึ้น จัดแต่งเสื้อผ้าให้ดี ลูบหนวดเคราให้เข้าที่ ค่อยๆ เดินออกไปหน้าประตูใหญ่
การกระทำเช่นนี้ ทำให้ทุกคนรู้สึกเลื่อมใส เห็นคนมากมายมารุมล้อม ทำเอาองครักษ์เสื้อแพรที่มาจับกุมเริ่มเคร่งเครียด ไม่กล้าลงมือรุนแรง เหยาฟู่เดินไปตามท้องถนน ไม่รู้ว่าใครตะโกนขึ้นก่อนว่า
“ใต้เท้าเหยาตรงไปตรงมา คิดเพื่อใต้หล้า ช่างน่านับถือ!”
คนหนึ่งตะโกนดัง ทุกคนก็พากันตะโกนตาม เหยาฟู่หยุด หันไปคำนับรอบทิศ กล่าวเสียงกังวานว่า
“ร่ำเรียนตำรามา ต้องผดุงหลักการคุณธรรม กินเบี้ยหวัดแผ่นดิน ก็ต้องซื่อสัตย์ภักดี ข้าแค่ทำหน้าที่ของตน ไม่อาจรับคำสรรเสริญเช่นนี้ได้!”
วาจานี้เป็นการถ่อมตน แต่ที่จริงแล้วกลับยิ่งแสดงถึงความตรงไปตรงมาไม่ยอมอ่อนข้อ เป็นขุนนางไม่ยอมงอ ช่างเป็นดังไห่รุ่ยในสมัยฮ่องเต้ว่านลี่โดยแท้ ทุกคนพากันสรรเสริญดัง มีคนตะโกนขึ้นว่า
“ใต้เท้าเหยาเป็นอย่างนี้แล้ว พวกเราจะรอช้าอยู่ได้อย่างไร คุณธรรมเช่นนี้จะไปตามไปส่งเสริมได้อย่างไร!!”
วันที่ 17 เดือนสี่ ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 13 หลังประชุมขุนนาง ในวังส่งองครักษ์เสื้อแพรจับเหยาฟู่เข้าคุก ตอนบ่ายกรมฎีกาก็มีเสียงเอะอะดังหน้าประตู ล้วนเป็นขุนนางบัณฑิตชิงหลิวมาร่วมยื่นฎีกา
เมืองหลวงแหล่งรวมบัณฑิตแต่ละแห่ง บรรดาบัณฑิตที่ยังไม่มีตำแหน่งขุนนางก็พากันรวมตัววิพากษ์วิจารณ์ ร่วมเขียนบทความ ขอให้เพื่อนสนิทมิตรสหายมาร่วมอุดมการณ์ พริบตาสถานการณ์ก็เริ่มคึกคัก
ชาวประชามีปฏิกิริยาเช่นไร ย่อมมีรายงานไปยังหน่วยงานเกี่ยวข้อง ในฎีกากล่าวเช่นไร กรมฎีกาก็ย่อมรวบรวมไว้
…..
“ราษฎรเมืองหลวงไม่มีความเห็นเท่าไร ก่อนหน้านี้งิ้วแสดงไปแล้วได้ผลดี พวกเขาคิดหรือพูดอย่างไร จะมีผู้ใดสนใจกัน”
ในห้องทรงอักษรฮ่องเต้ว่านลี่ จางเฉิง โจวอี้ กับเจ้าจินเลี่ยงล้วนอยู่พร้อมหน้า โจวอี้ก้มหน้าทูลรายงาน ฮ่องเต้ว่านลี่ ขมวดพระขนง โจวอี้ทูลต่อว่า
“ฎีกาที่กรมฎีกาล้วนเห็นด้วยกับการแต่งตั้งตามลำดับอาวุโส ขอฝ่าบาทแต่งตั้งรัชทายาทโดยเร็ว”
ฮ่องเต้ว่านลี่พึมพำขึ้น ไม่รู้ว่าตรัสอันใด เจ้าจินเลี่ยงอยู่ใกล้หน่อยก็ได้ยินชัดเจนว่าด่ามารดา นี่เป็นสิ่งที่ทรงเรียนรู้จากลานฝึกหู่เวย
“ผู้หญิงเรา ลูกชายเรา เรื่องครอบครัวเรา ถึงกับปล่อยให้คนอื่นมาข้องเกี่ยวได้ พวกเขาช่างใจกล้ามาก เรา เรา…”
คำรามได้ไม่กี่คำ ก็กลับไม่ตรัสอันใดอีก ตามหลักกฎปฏิบัติแล้ว ทรงโปรดโอรสองค์ใดก็ย่อมเป็นเรื่องของพระองค์ แต่การแต่งตั้งรัชทายาทนั้น กลับไม่ใช่เรื่องส่วนพระองค์ ต้องให้ขุนนางยอมรับ ให้ในวังยอมรับร่วมกัน จึงจะมีราชโองการแต่งตั้งได้ ไม่เช่นนั้นจะไม่เป็นผล
ฮ่องเต้ว่านลี่สองพระหัตถ์ยึดโต๊ะไว้แน่น สีพระพักตร์แม้ว่าไม่เปลี่ยนแต่คนสนิทก็ย่อมรู้ว่า ยามนี้ฮ่องเต้กำลังเริ่มร้อนพระทัยขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ในห้องเงียบกริบ ฮ่องเต้ว่านลี่อยู่ๆ ตรัสว่า
“จางปั้นปั้น องครักษ์เสื้อแพรมีข่าวมาไหม?”
“ทูลฝ่าบาท องครักษ์เสื้อแพรรวบรวมข่าวมาว่า พวกขุนนางบัณฑิตชิงหลิวรวมหัวกันเขียนฎีกาหรือไม่ก็ติดต่อหารือส่งเสริมกัน เตรียมยื่นฎีกาค้าน ความคิดเห็นพวกเขาเกรงว่าคงเหมือนกับเหยาฟู่…”
กล่าวถึงตรงนี้ก็หยุดลังเลครู่หนึ่ง จางเฉิงทูลว่า
“…หกกรมกอง สำนักตรวจสอบยังมีขุนนางระดับสี่ห้าขึ้นไปเตรียมยื่นฎีกาขอให้เหยาฟู่ บอกว่าผู้กล้าทูลทัดทานเป็นผู้ไร้ความผิด…”
สีหน้าฮ่องเต้ว่านลี่ยิ่งดำคล้ำ น้ำเสียงจางเฉิงเริ่มแผ่วเบาลง ทว่ายังคงทูลต่อว่า
“ฝ่าบาท จากข่าวสำนักองครักษ์เสื้อแพร ดีไม่ดีในเมืองนอกเมืองล้วนร่วมหัวกันแล้ว วันนี้ฎีกาที่กรมฎีกามีมาจากนอกเมืองไม่น้อย หากไม่ได้ตกลงกันไว้ก่อน เหยาฟู่พอยื่นฎีกาได้แค่สองวัน ที่อื่นจะมายื่นกันเร็วเช่นนี้ได้อย่างไร บังเอิญหรือไร…”
‘ปัง’ ดังขึ้น ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงตบโต๊ะ จากนั้นทรงเงยพระพักตร์มองไปยังทั้งสามขันทีในห้องทรงอักษร จางเฉิงเป็นหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ โจวอี้เป็นหัวหน้าคนสำคัญในสำนักอาชาหลวง เจ้าจินเลี่ยงเป็นหัวหน้าคนสำคัญในสำนักส่วนพระองค์อีกคน แต่แม้ว่าสามคนจะมีสถานะอำนาจสูง แต่พวกเขาก็แค่สามคน
เทียบกับขันที่ใน 24 หน่วยงานแล้ว เรียกว่าน้อยมาก ฮ่องเต้ว่านลี่อยู่ๆ ก็ทรงรู้สึกว่าทรงโดดเดี่ยวมาก พอประสบเรื่องใหญ่ ก็รู้สึกได้ว่าคนที่ยืนข้างพระองค์มีน้อยมาก
อยู่ๆ รู้สึกเช่นนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่เองก็รู้สึกแปลกใจ เหมือนว่าสองสามเดือนก่อนหน้านี้ ตนเองเหมือนว่าไม่มีอันใดทำไม่ได้ ทรงสร้างความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่มา ฝ่ายในกับเสด็จแม่ และขุนนางนอกวังก็ยอมลงให้พระองค์กันหมดแล้ว ยามสนทนากับหวังทงก็บอกเป็นนัยให้หวังทงยอมจากไปเอง
เห็นๆ ว่าสถานการณ์เป็นอย่างนั้นแล้ว แต่เหตุใดตอนนี้จึงทรงโดดเดี่ยวอีกครั้งเช่นนี้ได้ ในราชสำนักขุนนางใหญ่ทำตัวเป็นกลางก็เป็นกลาง ค้านก็ค้าน วงการขุนนางกับบัณฑิตต่างมีความเห็นตรงกัน
ใต้หล้าล้วนรู้ว่าพระองค์ทรงโปรดโอรสที่กำเนิดจากพระสนมเอกเจิ้ง คิดตั้งพระสนมเอกเจิ้งเป็นฮองเฮา ตั้งจูฉางสวินเป็นรัชทายาท เหตุใดทุกคนจึงไม่ยินยอม และกล้าออกมาต่อต้านไม่เกรงกลัวเช่นนี้
เวลาไม่ถึงปี ทำไมทุกอย่างเปลี่ยนไปได้มากมายเพียงนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ยิ่งคิดก็ยิ่งกริ้ว สูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะกัดฟันตรัสว่า
“เรื่องที่เราคิดจะทำ พวกเขาออกมาโวยวายกัน เราเป็นฮ่องเต้กล่าวอันใดได้หรือไม่ เราจะต้องมีราชโองการ ผู้ใดคิดค้าน ผู้นั้นก็ไม่ต้องเป็นขุนนางแล้ว”
ได้ยินทรงตรัสเฉียบขาดเช่นนี้ จางเฉิงกลับถอนหายใจ กล่าวเบาๆ ว่า
“ฝ่าบาท สำนักส่วนพระองค์กับคณะเสนาบดีใหญ่แม้ว่าออกราชโองการ ก็คงต้องถูกตีกลับมาจากส่วนกลาง กรมพิธีการกับหน่วยงานอื่นก็ย่อมไม่ทำตาม ฝ่าบาทไม่ให้พวกเขาเป็นขุนนางต่อ กลับทำให้พวกเขายิ่งมีชื่อเสียง ฝ่าบาทดูสถานการณ์ตอนนี้ กำลังออกหน้ามาโต้ดุเดือด ผู้ใดทำตามราชโองการ ก็ย่อมได้กลายเป็นตะปูตำตาของบัณฑิตใต้หล้าทันที แม้ว่าเป็นขุนนางที่ทรงแต่งตั้ง แต่สถานะเขาย่อมดำรงได้ไม่นาน”
“เราจะให้เขาเป็นเสนาบดี ให้เขาเป็นมหาอำมาตย์…”
ฮ่องเต้ว่านลี่เบิกพระเนตรกว้าง พระเนตรแดงก่ำ สุรเสียงแข็งกร้าวตรัสขึ้น จางเฉิงได้แต่ถอนหายใจยาว คุกเข่าทูลว่า
“ฝ่าบาท กระหม่อมขอบังอาจทูลว่า เหตุใดต้องผลักดัน เหตุใดต้องยืนหยัด หากไม่ใช่เพราะพวกขุนนางพวกนั้นรู้ว่าดำรงตำแหน่งมานาน มีพรรคพวกมีสหาย รู้กันว่าหากฝ่าบาททรงเลือกแล้ว คนพวกนั้นจงใจออกมาค้าน ตำแหน่งพวกเขาคงไม่อาจยืนนาน ไม่แน่ว่ามีภัยมาถึงตัวถึงขั้นประหาร พวกขุนนางรู้ดี คนข้างนอกจะไม่รู้ได้อย่างไร ผู้ใดยังกล้ากัน!”
“เราต้องเคลื่อนกำลังทหาร เอาดาบค้ำคอพวกเขาไว้ เราไม่เชื่อว่าพวกเขาจะไม่กลัว!!”
ฮ่องเต้ว่านลี่ตบโต๊ะดังเปรี้ยง ประทับยืนขึ้นทันที เห็นทรงกริ้วหนักเช่นนี้ โจวอี้กับเจ้าจินเลี่ยงพากันคุกเข่าลง
จางเฉิงกลับหมอบนิ่งไม่กล่าวอันใด โจวอี้ลังเลครู่หนึ่งก็ทูลขึ้นเบาๆ ว่า
“ฝ่าบาทเคลื่อนกำลังต้องมีคำสั่งจากกรมทหาร เคลื่อนกองกำลังสังกัดวังหลวง…กระหม่อม กระหม่อมรู้ดีกว่าพูดไปฝ่าบาทอาจลงโทษ หากต้องการเคลื่อนกองกำลังสังกัดวังหลวงไปทำสิ่งใด เกรงว่า เกรงว่าคงต้องมีพวกไม่ยอมทำตาม ถึงตอนนั้น…”
โจวอี้ยังพูดไม่ทันจบ ฮ่องเต้ว่านลี่ยังไม่ทันมีปฏิกิริยาโต้ ก็ได้ยินด้านหลังทำพู่กันตกลงบนพื้น อึ้งไปหลุดเสียงดังออกมาว่า
“กองกำลังสังกัดวังหลวงจะมีกบฏรึ โจวอี้ เจ้ากล่าววาจาเหลวไหลอันใดกัน นั่นเป็นทหารของเรา พวกเขาจะ…หากเจ้าสั่งการไม่ได้ เราจะเปลี่ยนคน…”
“ฝ่าบาท อย่าได้ทรงกริ้ว หากมีกบฏ หากมีคนไม่ภักดีปะปนเข้ามา กองกำลังสังกัดวังหลวงย่อมต้องสู้ตาย แต่เรื่องเช่นนี้ เรื่องจะใช้กำลังกับพวกขุนนาง กองกำลังสังกัดวังหลวงคุมกำลังหากส่วนของทหารใต้หล้า รวมถึงกำลังนอกวังที่เกี่ยวข้องกัน เช่น กองกำลังสังกัดวังหลวงในมือขันทีคุมกำลังนอกเมือง ก็ล้วนมีสายสัมพันธ์นายแตกต่างกันออกไป เรื่องอื่น กระหม่อมไม่กล้าคาดเดา แต่ตำแหน่งรัชทายาทนี้ กระหม่อม…กระหม่อมไม่กล้าทูล”
“มีอันใดไม่กล้าพูด เจ้าพูดมาให้หมด!!”
โจวอี้อ้ำอึ้งยิ่งทำให้ฮ่องเต้ว่านลี่กริ้วหนัก ตวาดดังจนด้านนอกเริ่มส่งเสียงเคลื่อนไหว ฮ่องเต้ว่านลี่ตวาดดังออกไปว่า
“ถอยไปให้ไกลๆ เราไม่เรียก พวกเจ้าไม่ต้องเข้ามา!!”
องครักษ์กับขันทีด้านนอกถอยห่างออกไป โจวอี้เงยหน้าลังเลครู่หนึ่ง ได้แต่คุกเข่าโขกศีรษะ จางเฉิงถอนหายใจ ไม่กล่าวอันใด ฮ่องเต้ว่านลี่เดินวนไปมา ยกเท้าถีบโจวอี้ล้มลง หากยังคงลุกขึ้นคุกเข่าโขกศีรษะไม่หยุด ฮ่องเต้ว่านลี่กำลังจะระเบิดโทสะอีกทีก็กลับได้ยินเจ้าจินเลี่ยงทูลเบาๆ ว่า
“ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่า แม้คนของจางเฉิงกงกงในสำนักอาชาหลวงมากกว่า แต่เรื่องแต่งตั้งรัชทายาท ตำหนักฉือหนิงกงย่อมมีการเคลื่อนไหว ถึงตอนนั้น เกรงว่าฝ่าบาทสั่งการไม่ได้ไม่ว่า เกรงว่าจะมีพวกคิดฉวยโอกาสรอจังหวะลงมืออยู่”
“ปากมาก!!”
จางเฉิงหันไปตำหนิ สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ดำคล้ำลงไปอีก ครั้งนี้กลับไม่กริ้ว ได้แต่ตรัสสุรเสียงเยียบเย็นว่า
“เช่นนั้นเรามีราชโองการให้หู่โถวเคลื่อนกองกำลังหู่เวยเข้าเมืองหลวง!!”
Comments for chapter "ตอนที่ 891 อยู่ๆ จะลงดาบ"
MANGA DISCUSSION
Leave a Reply Cancel reply
This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.
pek942740
ฆ่าแม่งให้หมดหวังทง