องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 893 ทำอันใดไม่ได้
กองลาดตระเวน หน่วยวินัยทหาร สำนักรักษาความสงบ หน่วยฝึกทหารขององครักษ์เสื้อแพร นับรวมถึงสำนักองครักษ์เสื้อแพรเหนือใต้ กับกองเอกสารสำนักองครักษ์เสื้อแพร แต่ละหน่วยงานล้วนมีธรรมเนียมปฏิบัติงานในหน้าที่ ผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรสองตำแหน่ง รองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรสองตำแหน่งที่คุมด้านบนแยกกันทำงานในหน้าที่ตน จากนั้นค่อยเอางานมารวมกัน สื่อสารระหว่างกัน ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรจะเป็นคนตัดสินสุดท้ายและรายงานเบื้องบน
ตอนผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร รองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร ผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อยังอยู่ ลูกน้องก็จะรวบรวมข่าวมารายงาน แต่ละคนทำงานประสานกัน
เช่น กองลาดตระเวนทหารได้ยินข่าวจากท้องถนน สำนักรักษาความสงบสืบความลับใดมาได้ ก็จะไปรายงานนายกองพันตน ล้วนรวบรวมส่งขึ้นมา กองเอกสารสำนักองครักษ์เสื้อแพรที่เป็นเจ้าหน้าที่ชำนาญการก็จะวิเคราะห์ จากนั้นสั่งการส่งกองลาดตระเวนกับหน่วยวินัยทหารไปปฏิบัติหน้าที่แก้ไข
บางเรื่องที่อ่อนไหวหรือเป็นเรื่องใหญ่ก็จะรอให้ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรส่งให้หน่วยงานอื่นไปจัดการ เช่นนี้ก็จะไม่เสียงานเสียการ สามารถจัดการปฏิกิริยาเคลื่อนไหวในเมืองหลวงได้ทันที
แม้ว่าไม่แสดงท่าที แต่ข่าวก็จะเข้าหูคนที่ควรรู้ข่าวอย่างรวดเร็ว
ทว่ารองผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรกับผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรไม่มีแล้ว เพราะฮ่องเต้ว่านลี่ กับหวังทงจงใจ จึงไม่มีคนมาแทนตำแหน่ง
ที่จริงแล้วตอนนี้คนสั่งการงานก็คือหยางซือเฉิน หยางซือเฉินมีตำแหน่งบัณฑิตจวี่เหริน ไม่มีสถานะใดในสำนักองครักษ์เสื้อแพร เขานั่งอยู่ในตำแหน่งนี้ได้ก็เพราะทำงานแทนหวังทง ร่วมจัดการกับหัวหน้าในสำนักรักษาความสงบและเจ้าหน้าที่กองเอกสารสำนักองครักษ์เสื้อแพร
แม้ว่าคนสำนักองครักษ์เสื้อแพรส่วนหนึ่งจะไม่ยอมรับ แต่กองลาดตระเวน หน่วยวินัยทหารและหน่วยฝึกทหารกับสำนักรักษาความสงบที่ได้ชื่อว่า ‘สำนักบูรพาเล็ก’ ยังยอมรับ ก็ได้แต่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ทำงานตามไป
แน่นอนว่าตามหลักการทำงานแล้ว หัวหน้าสำนักส่วนพระองค์จางเฉิงคุมสำนักองครักษ์เสื้อแพรแทน แต่หัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ก็เป็นหัวหน้าฝ่ายใน ใต้หล้างานมากมายต้องรอการตัดสินใจจากหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ ดังนั้นเรื่องสำนักองครักษ์เสื้อแพรจึงไม่ค่อยมีเวลามาดูแล ดังนั้นคนที่ดูแลตัวจริงก็คือหยางซือเฉิน
หยางซือเฉินแสร้งไม่รับรู้ องครักษ์เสื้อแพรก็เริ่มวุ่นวายทันที จะไปขอให้จางเฉิงกงกงมาดูแล แต่จางกงกงไม่มีส่งขันทีมาประจำที่สำนักองครักษ์เสื้อแพร คิดเข้าวังไปพบก็ไม่ง่าย
ตอนนี้ข่าวที่ทหารสืบมาได้ ส่งขึ้นไปตามลำดับ รอรวบรวมส่งไปวิเคราะห์ ไปจัดการแก้ไข แต่ตอนนี้ข่าวทั้งหมดถูกเก็บไว้ที่หยางซือเฉิน ไม่มีหยางซือเฉินสั่งการ ที่อื่นก็ไม่กล้ายื่นมือมาข้องเกี่ยว ทุกคนทำงานไปตามหน้าที่ หาเรื่องน้อยลงก็มีเรื่องน้อยลง
สำนักรักษาความสงบได้ข่าวามากมายที่สุด แต่สำนักรักษาความสงบกลับเป็นหน่วยงานหวังทงโดยตรง หลี่เหวินหย่วนคุมที่นี่ราวกับถังเหล็ก ที่นี่จัดการการข่าวได้มีประสิทธิภาพที่สุด แต่หลังจากหลี่ว์วั่นไฉมาพบหลี่เหวินหย่วนแล้ว สำนักรักษาความสงบก็ไร้ประสิทธิภาพไปเสียอย่างนั้น
องครักษ์เสื้อแพรวุ่นวายกันไปหมด ทำให้ในวังได้รับข่าวสารไม่มาก ฮ่องเต้ว่านลี่กับขันทีใหญ่ในวังก็เหมือนหูตาไม่ไวแล้ว
แม้สำนักบูรพาที่มีหน้าที่รวบรวมข่าว แต่สำนักบูรพาขนาดเล็ก หลายเรื่องต้องอาศัยองครักษ์เสื้อแพรทำ พอองครักษ์เสื้อแพรเป็นเช่นนี้ พวกเขาก็คงไม่ได้ดีไปกว่ากัน
องครักษ์เสื้อแพรปล่อยปละ เมืองหลวงแต่เดิมมีคนแจ้งเตือนให้จับตาก็เริ่มไม่มีคนดูแล หลายเรื่องเริ่มส่อเค้าวุ่นวายออกมา จากนั้นก็ลุกลามไปอย่างรวดเร็ว
เช่นว่า ขุนนางบัณฑิตชิงหลิวรวมตัว หารือร่วมยื่นฎีกา จะใช้กลวิธีใด เริ่มแรกบางทีองครักษ์เสื้อแพรคงไม่สนใจ แต่กระแสเมืองหลวงเกิดขึ้น ก็ย่อมเริ่มสนใจ ส่งคนไปจับตา หากเป็นเรื่องใหญ่ ก็จะเข้าไปแจ้งเตือน ถึงกับจับกุมไปเลยก็มี
แต่ตอนนี้ไม่สนใจ พวกขุนนางบัณฑิตชิงหลิว พวกบัณฑิตก็พากันร่วมวงหารือขยายใหญ่ จากนั้นก็หาแนวร่วมยิ่งมาก รวมเป็นก้อนหิมะที่ยิ่งกลิ้งยิ่งก้อนโต
ปลายเดือนสี่ ต้นเดือนห้า ใต้หล้าฎีกากระหน่ำเข้าสู่เมืองหลวง ที่กล่าวว่าธรรมเนียมลำดับอาวุโส โอรสองค์โตย่อมเป็นรัชทายาท มีคนโยงไปว่าพระสนมเอกเจิ้งคิดสร้างฐานอำนาจวังหลัง สตรีเข้าข้องเกี่ยวการเมือง เป็นดังสนมต๋าจี (พระสนมในสมัยราชวงศ์โจวที่ทำราชวงศ์โจวล่มสลาย)…ยังมีคนยกตัวอย่างสมัยโบราณเพราะการแต่งตั้งรัชทายาทไม่ตามลำดับอาวุโสทำให้เกิดความวุ่นวายในราชวงศ์ถัง ฮ่องเต้ว่านลี่ต้องการตั้งโอรสอายุน้อยกว่า แผ่นดินหมิงนี้เท่ากับกำลังจะล้มสลายแล้ว
ใต้หล้าคนมีความรู้มากมาย คนที่สามารถยื่นฎีกาก็มากยิ่งกว่ามาก วาจาในฎีกาก็ยากจะอ่านได้ บ้างกล่าวกันจนเกินเลยขอบเขตไปมาก ยากจะรับฟังได้
เริ่มแรก เป็นพวกเสนาบดีกรมปกครองหยางเหว่ยกระพือสุมไฟ ทำจนเป็นเรื่อง แต่พอคนเริ่มมาร่วมมากขึ้นเรื่อย มีพวกเข้ามาแสวงหาชื่อเสียงยิ่งมากขึ้น ตามหลักที่ว่าไม่ลงโทษมหาชน ขุนนางใหญ่ในราชสำนักยังล้วนยื่นฎีกา ยื่นฎีกาตนเองจะไปโดนอันใดได้ได้
ส่วนใหญ่พวกไม่มีคุณสมบัติพอจะเข้ายื่นฎีกาก็จะร่วมกันลงชื่อ ถึงตอนนั้นก็ให้คนที่สามารถยื่นฎีกาได้นำความเห็นและรายชื่อทุกคนส่งไป เป็นเรื่องทำให้มีหน้ามีตายิ่งนัก
สถานการณ์ยิ่งวุ่นวาย ยิ่งขยายวงกว้าง ค่อยๆ ไร้การควบคุม สำหรับหยางเหว่ยแล้ว ย่อมไม่สนใจ เพราะอย่างไรก็สามารถขยายอำนาจตนออกไป แต่สำหรับฮ่องเต้ว่านลี่แล้ว กลับยิ่งทำให้วุ่นวาย เพราะพลังคัดค้านเรื่องนี้ยิ่งแพร่ขยายมากขึ้น ก็ยิ่งสกัดอิทธิพลอำนาจพระองค์ให้ลดลง
เสนาบดีกรมพิธีการเสิ่นหลีเริ่มยื่นฎีกาในที่ประชุมราชสำนัก ตามมาด้วยใต้หล้าวุ่นวาย กระแสโจมตีมากมาย จากนั้นพอประชุมขุนนาง ฮ่องเต้ว่านลี่แสดงให้เห็นว่าไม่ทรงอยากเอ่ยเรื่องนี้อีก
คิดไม่ถึงว่าวันรุ่งขึ้น เสนาบดีกรมโยธาหยางเจ้ากลับออกหน้าหนักแน่นทูลให้ฮ่องเต้ว่านลี่แต่งตั้งรัชทายาทโดยเร็ว เขาไม่ได้แสดงท่าทีอ้างคุณธรรมใหญ่แบบเมื่อวานที่เสิ่นหลีทำ แต่กล่าวว่าตอนนี้นอกวังวิพากษ์วิจารณ์ราวไฟลามทุ่ง เอาไม่อยู่แล้ว หากยังปล่อยปละต่อไป เกรงว่าไม่เป็นผลดีต่อแผ่นดิน ถึงกับทำให้แผ่นดินสั่นคลอนได้ และการแต่งตั้งรัชทายามเร็วก็จะทำให้แผ่นดินมั่นคง เป็นการสืบทอดแผ่นดินอันเป็นเรื่องใหญ่ ขอให้ทรงตัดสินพระทัยโดยเร็ว
หลังฮ่องเต้ว่านลี่เงียบไปครู่หนึ่ง เห็นเสนาบดีคนอื่นคิดจะออกมาทูล พระองค์ก็หันไปโบกพระหัตถ์ด้านหลัง ขันทีด้านหลังมุมห้องก็รีบรับพระบัญชาตะโกนปิดการประชุมทันที
ในเมื่อสู้พวกเจ้าไม่ได้ งั้นข้าไปสู้ก็แล้วกัน ท่าทีฮ่องเต้ว่านลี่ก็ง่ายดายเช่นนี้ หันพระวรกายจากไปทันที ปล่อยให้พวกขุนนางอึ้งสนิทกับที่
ขันทีปรนนิบัติในตำหนักกลับส่งข่าวออกไปว่าหลังฝ่าบาทเลิกประชุม เสนาบดีกรมพิธีการเสิ่นหลีหันไปกล่าวเสียงแข็งกับมหาอำมาตย์เซินสือหังและรองอำมาตย์หวังซีเจวี๋ย และมหาบัณฑิตสวีกั๋วในคณะเสนาบดีใหญ่ว่า
“คุณธรรมใหญ่ใต้หล้าเช่นนี้ ส่วนกลางอำนาจใหญ่ทั้งสามท่านกลับทำตัวไม่สนใจ ในสมองยังมีตำราปราชญ์บัณฑิตอีกหรือไม่กัน?”
วาจานี้แพร่ไปนอกวัง บัณฑิตเมืองหลวงกับขุนนางต่างๆ ก็พากันชมเชย ทุกคนล้วนแสดงท่าที พวกคณะเสนาบดีใหญ่ไม่แสดงท่าที แท้จริงแล้ววางตัวในจุดยืนใดกัน
มีคนคิดไปว่า หากอาศัยจังหวะนี้ล้มคณะเสนาบดีใหญ่ ดันพวกหยางเหว่ยเข้าไป ก็ย่อมเป็นเรื่องดียิ่งใหญ่ จึงพากันลงมือเขียนบทความ เป็นเรื่องง่ายยิ่ง ภายในหนึ่งวัน ก็มีคนยื่นฎีกาโจมตี เซินสือหัง หวังซีเจวี๋ยกับสวีกั๋วสามคนว่าเป็นขุนนางชั่ว
กระแสเริ่มเบี่ยงเบนไปเช่นนี้ ไม่แน่ว่าเป็นการคาดเดาไว้แล้วของพวกหยางเหว่ย ทว่าพวกเขาก็ไม่คิดจะยับยั้ง อย่างไรก็ไม่มีผลเสียกับตนเอง เหตุใดต้องยับยั้งด้วยเล่า?
หนึ่งเดียวที่วางตัวอยู่วงนอกก็คือเสนาบดีกรมทหารจางเสวียเหยียน จางเสวียเหยียนมีลูกศิษย์มาก มีอำนาจไม่น้อย เขาแต่ไม่เคยอยากเข้าร่วมกับเรื่องพวกนี้ คนอื่นจึงมองข้ามเขาไปหมด
หลังจากฮ่องเต้ว่านลี่เสร็จประชุมขุนนางวันนั้น ก็ไม่ได้เข้าประชุมอีกถึง 6 วัน แสดงให้เห็นท่าทีไม่ดีนักต่อสถานการณ์ตอนนี้ พวกเจ้าหาตัวพระองค์ไม่เจอ ไม่อาจเข้าเฝ้า พวกเจ้าจะกล่าวอันใดได้
แม้ว่าไม่ออกว่าราชการ แต่พอตกค่ำจางเฉิงที่เป็นคนสนิทก็เข้าเฝ้าฮ่องเต้ว่านลี่ แต่กลับกล่าวอันใดไม่ได้มากนัก โจวอี้กับจางเฉิงและขันทีคนสนิทอีกสองสามคนก็ค่อยวิ่งประสานงานกับหน่วยงานอื่นอย่างแข็งขัน คอยแอบไปหาข่าวกับหกกรมกองสำนักตรวจสอบ และหน่วยงานต่างๆ เพื่อถามจุดยืนพวกเขา ดูว่าจะสามารถได้รับการสนับสนุนจากทางนี้ได้บ้างหรือไม่
การสนับสนุนนี้ไม่ได้เพื่อแต่งตั้งโอรสพระสนมเอกเจิ้ง จูฉางสวิน เป็นรัชทายาท โอรสทั้งสองพระองค์อายุยังน้อย เรื่องนี้ยังต้องวางแผนระยะยาว แค่อย่ามีเรื่องกันตอนนี้ได้หรือไม่
ฮ่องเต้ว่านลี่ผิดหวังมาก พวกหยางเหว่ยกัดไม่ปล่อย พวกเซินสือหังแม้ว่าไม่ขัดพระบัญชา แต่ก็แสดงท่าทีชัดเจนว่า ตอนนี้ประชาร้อนเป็นไฟ พวกคณะเสนาบดีใหญ่ไม่กล้าทำสิ่งที่ขัดกับใจมหาชน จะได้ไม่นำภัยมาสู่ตัว แม้สำนักส่วนพระองค์จะทำตามรับสั่ง คณะเสนาบดีใหญ่มีราชโองการ แต่ถึงตอนนั้นถูกตีกลับ เกรงว่าคงยุ่งยาก
ที่กล่าวมาเป็นเรื่องจริง พอฮ่องเต้ว่านลี่ได้รับคำตอบเช่นนี้ก็หมดหวัง วันนั้นหวังทงได้ทูลว่า ‘เรื่องครอบครัวฝ่าบาท ฝ่าบาทตัดสินพระทัยเอง คนอื่นไม่เกี่ยว’ ตอนนั้นทรงฟังแล้ว รู้สึกมั่นใจมาก และก็คิดว่าเป็นเช่นนั้น แต่พอทรงทำจริง กลับพบว่าต้องหดมือกลับแทบไม่ทัน
นี่ไม่เท่าไร สิ่งที่ทำให้ทรงกริ้วหนักก็คือ วันที่ 10 เดือนห้า รองหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์จางหงมาขอเข้าเฝ้า เรื่องที่ว่ามาก็คือเรื่องขอให้แต่งตั้งตามลำดับอาวุโส ขอให้โอรสองค์โตของฝ่าบาทเป็นรัชทายาท
จางหงเป็นรองหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ มีกำลังจากขันทีคุมกำลังนอกเมืองหลวง อำนาจมีมาก และตัวเขากับพระสนมกงและจูฉางลั่วก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดกันจริงๆ ดังนั้นวาจาที่กราบทูลฮ่องเต้ว่านลี่จึงไม่ได้เพื่อตนเอง
ฮ่องเต้ว่านลี่ตอนนั้นคิดจัดการจางหง จางหงกลับเอาแต่โขกศีรษะยืนยันความคิดตนเอง ฮ่องเต้ว่านลี่ยังจะเรียกคืนอำนาจจางหง แต่กลับถูกจางเฉิงรั้งไว้ ขอให้แค่สั่งให้จางหงกลับไปเก็บตัวคิดใคร่ครวญให้ดีก็พอ
พอจางหงออกไป ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ไม่พอพระทัยจางเฉิง ตรัสถามว่าเมื่อครู่ยับยั้งไว้ทำไมกัน จางเฉิงอธิบายง่ายมาก จางหงทำเช่นนี้ก็เพราะเรียนตำรามากไปจนสมองพัง แต่ก็เพราะใจเป็นธรรม หากเป็นคนอื่น ขันทีอื่นอำนาจไม่พอบังคับกองกำลังในวัง พอมีอำนาจพอ ก็ไม่แน่ว่าวางใจได้ ในมือจางหง อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลว่าจะมีกองกำลังฝ่ายในคิดกบฏ
ฮ่องเต้ว่านลี่ได้แต่รับฟัง ควรรู้ว่ากองกำลังเมืองหลวงนั้นเป็นอำนาจสามฝ่าย ได้แก่ ชนชั้นสูง ขุนนางบุ๋นและขันที
ชนชั้นสูงถูกยึดมานานแล้ว เจ้ากรมทหารฝ่ายซ้ายกับหยางเหว่ยเป็นพวกเดียวกัน
นางกำนัลในตำหนักเฉียนชิงกง ตอนกลางวันเห็นพระสนมเอกเจิ้งอุ้มโอรสร้องไห้ ไม่มีผู้ใดกล้าส่งข่าวออกไป…