องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 895 ไม่ดูแลภรรยาและบุตรให้ดี
พระสนมเอกในวังมีเพียงพระสนมเอกเจิ้งคนเดียว จางเฉิงย่อมหมายถึงพระนาง ฮ่องเต้ว่านลี่หลายวันนี้ไม่กล้าอยู่ในตำหนักเฉียนชิงกงนานนัก เพราะรู้สึกไม่อาจเข้าหน้าพระสนมเอกเจิ้งได้
ตอนนี้ตำหนักฉือหนิงกง ไทเฮาฉือเซิ่งรับจูฉางลั่วมาอุ้มชู เกือบจะเรียกได้ว่าได้กำหนดตำแหน่งรัชทายาทแล้ว การจะไปพบพระสนมเอกเจิ้งอีก เกรงว่าคงมีแต่เรื่องให้รำคาญพระทัยไม่จบไม่สิ้น
ได้ยินจางเฉิง ฮ่องเต้ว่านลี่ถอนหายใจ รำคาญพระทัยตรัสว่า
“คืนนี้ไปตำหนักพระสนมหลี่ จางปั้นปั้น เจ้านำเรื่องแต่งตั้งสองโอรสไปบอกแก่พวกเซินสือหัง หากทำได้ ก็ใช้วิธีนี้”
จางเฉิงคำนับรับพระบัญชา กำลังจะออกไป ก็ได้ยินเสียงดังเอะvtมาจากหน้าห้องทรงอักษร เสียงดังหน้าห้องทรงอักษรเรียกได้ว่าไร้ธรรมเนียมสิ้นดี จางเฉิงขมวดคิ้วคิดจะตะโกนถาม เจ้าจินเลี่ยงด้านนอกกลับรายงานดังเข้ามาก่อนว่า
“พระสนมเอกเสด็จ”
ห้องทรงอักษรเดิมอยู่ในเขตตำหนักเฉียนชิงกงที่ประทับฮ่องเต้อยู่แล้ว จางเฉิงพอได้ยินเช่นนี้ก็รีบรายงาน ไม่กล้ามองสีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ ก้มคำนับทูลว่า
“ฝ่าบาท กระหม่อมขอออกไปจัดการภารกิจก่อนพะยะค่ะ”
นายมาถึงแล้ว เป็นบ่าวก็ย่อมต้องหลบไป หรือว่าจะมารอดูเรื่องในครอบครัวฝ่าบาทกัน ฮ่องเต้ว่านลี่สีพระพักตร์ฝืดเฝื่อนคิดจะรั้งจางเฉิงไว้ แต่คิดแล้วก็ไม่ได้รั้งไว้
จางเฉิงเพิ่งออกไป ก็เห็นพระสนมเอกเจิ้งอุ้มพระโอรสมา จึงรีบถวายบังคม พระสนมเอกเจิ้งพระเนตรแดงช้ำพยักพระพักตร์ให้ ก่อนจะก้าวเข้าไปด้านใน พอจางเฉิงปิดประตูลง ก็ลากเจ้าจินเลี่ยงมากำชับว่า
“พวกมีหน้าที่ปรนนิบัติต้องถอยห่างออกไปให้ไกลอีกหน่อย เจ้าก็ด้วย เรื่องด้านในอย่าให้ใครด้านนอกได้ยิน”
มีบางวาจา เจ้าจินเลี่ยงย่อมเข้าใจว่าเรื่องใด รีบถอยห่างออกไปทันที บรรดาขันทีกับนางกำนัลพวกที่ติดตามพระสนมเอกเจิ้งก็รีบถอยห่างออกไป
*************
พระสนมเอกเจิ้งเข้าไปในห้อง ฮ่องเต้ว่านลี่มองมาแวบหนึ่งก็ก้มพระพักตร์ลง พระสนมเอกเจิ้งเดินไปสองก้าว ก็อุ้มโอรสคุกเข่าลง ไม่กล่าวอันใด ได้แต่แต่หลั่งน้ำตาเงียบๆ
ฮ่องเต้ว่านลี่เงยพระพักตร์ขึ้นเห็นพระสนมเอกเจิ้งหลั่งน้ำตาเงียบๆ ก็รู้สึกเจ็บปวดพระทัยตามไปด้วย อดไม่ได้ประทับยืนขึ้นตรัสว่า
“ร้องไห้ทำไมกัน ตอนนี้อะไรก็ยังไม่กำหนด เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง แม้ว่าจูฉางสวินไม่ได้เป็นรัชทายาท เราก็จะหาที่ดีๆ ให้ฉางสวินเองเมื่อถึงเวลา ที่นาทรัพย์สินมากมาย อย่างไรก็มีวาสนาไปชั่วชีวิต”
“ฝ่าบาท …..”
พระสนมเอกเจิ้งกล่าวไม่ทันจบ ก็อดไม่ได้ร้องไห้ออกมาอีก เกรงว่าจะกระเทือนถึงโอรสที่อุ้มอยู่ ท่าทีเช่นนี้ยิ่งทำให้ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่สบายพระทัย ประทับยืนขึ้นเดินไปยังหน้าพระสนมเอกเจิ้ง ตรัสว่า
“เจ้ามาคนเดียวก็ได้ พาลูกมาด้วยทำไม อากาศหนาวเช่นนี้ ลูกเป็นหวัดไปจะทำอย่างไร อย่าคุกเข่าเลย ลุกขึ้นๆ “
พระสนมเอกเจิ้งไม่ลุกขึ้น สะอื้นซับน้ำตา สะอื้นไห้ทูลว่า
“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่วาดหวังให้ฉางสวินได้เป็นรัชทายาท ขอแค่ได้เติบใหญ่แข็งแรงก็พอ แต่ตอนนี้บรรดาขุนนางพากันวิพากษ์วิจารณ์เช่นนี้ ข้างนอกก็วุ่นวายหนัก หม่อมฉันแม่ลูกกลายเป็นเป้าโจมตี ตอนนี้…ตอนนี้…เกรงว่าวันหน้าคงไม่ได้จบอย่างสวยงามตามที่หวัง ทุกเรื่องย่อมมีแต่คนจับตามอง ทุกเรื่องย่อมกลายเป็นพวกทำการเหิมเกริม!”
“เหลวไหล! มีเราปกป้องเจ้าแม่ลูก ผู้ใดจะกล้า ยิ่งพูดยิ่งไม่ได้ความแล้ว ฉางสวินตามธรรมเนียมไม่อาจเป็นรัชทายาทได้ เจ้าอย่าได้รู้สึกแค้นใจอันใดไป!”
พระสนมตรัสเช่นนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่เหมือนจะรู้สึกกริ้ว พระดำรัสเย็นชาไม่น้อย พระสนมเอกเจิ้งอุ้มโอรสนั่งร้องไห้กับพื้น ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสจบ ก็มองมายังพระสนมเอกเจิ้งที่นั่งร้องไห้ก็พระทัยอ่อน ถอนหายใจเอื้อมพระหัตถ์ไปประคองพระสนมเอกเจิ้งให้ลุกขึ้น ตรัสว่า
“เจ้าอย่าได้คิดมา แม้ว่าแต่งตั้งฉางลั่วเป็นรัชทายาทแล้วจะเป็นอะไรไป? ตอนเราคิดแต่งตั้งเจ้าเป็นฮองเฮา พวกเขาไม่เห็นด้วย ตอนนี้เราก็ยังโปรดเจ้าที่สุดในวังหลังนี้ จะว่าไป ตอนนี้แต่งตั้ง วันหน้าจะเป็นใครยังไม่อาจแน่ชัดได้ วันเวลาอีกยาวไกลนัก…”
ได้ยินเช่นนี้ พระสนมเอกเจิ้งกลับหยุดร้องไห้ เงยหน้าขึ้นจ้องมองสีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ ทูลน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวว่า
“ฝ่าบาท ตอนนี้ไทเฮาฉือเซิ่งรับฉางลั่วเข้าตำหนักฉือหนิงกง กระแสขุนนางนอกวังที่กำลังร้อนแรง ไทเฮามาแสดง ท่าทีราวตัดสินเช่นนี้อีก เรื่องแต่งตั้งรัชทายาทหากให้ไทเฮาตัดสินพระทัย เช่นนั้นอำนาจไทเฮาก็จะเพิ่มขึ้น ฝ่าบาทเมื่อก่อนมีจางจวีเจิ้งเป็นมหาอำมาตย์ ไทเฮากับจางจวีเจิ้งประสานกำลังกัน ฝ่าบาทตรัสอันใดยังต้องระมัดระวัง วันๆ ต้องคอยหวาดระแวง หากปล่อยให้ไทเฮาแต่งตั้งรัชทายาทอีก อำนาจมากขึ้นอีก ร่วมมือกับพวกขุนนางราชสำนักอีก เกรงว่าคงต้องเป็นเหมือนสมัยจางจวีเจิ้งอีกคราแล้ว ถึงตอนนั้นฝ่าบาทจะอยู่เช่นไร ฝ่าบาทเองก็เพิ่งมาครองอำนาจเต็มได้เมื่อปีกว่าที่ผ่านมานี้เอง หรือว่าอยากทรงกลับไปอัดอั้นเช่นวันวานที่ผ่านมากัน?”
สุรเสียงสูงเล็กน้อย วาจาไม่เหมือนกับทรงตรัสเอง พระโอรสในอ้อมกอดพระสนมเอกเจิ้งถูกกระทบกระเทือนจนเริ่มดิ้นไปมา จากนั้นแผดเสียงร้องไห้ดังลั่น
“เด็กน้อยน่าสงสาร ไร้วาสนา”
พระสนมเอกเจิ้งกล่าวขึ้นพลางร้องไห้ไป โอบกอดปลอบไป ฮ่องเต้ว่านลี่ถูกวาจาพระสนมเอกเจิ้งกล่าวจนอึ้งไป คิดจะตำหนิ แต่เสียงเด็กน้อยแผดเสียงร้องไห้จ้า ก็ทำให้พระอารมณ์เย็นลง คว้าผ้าเช็ดหน้าออกมา ก้มลงไปซับน้ำตาให้จูฉางสวิน ปลอบเด็กน้อยเบาๆ
“ฝ่าบาท หม่อมฉันแม่ลูกกลัวจริงๆ เพคะ กระแสตอนนี้ผลักดันหม่อมฉันแม่ลูกไปสู่กระแสวิพากษ์วิจารณ์ วันหน้าไทเฮาก็อาจจะเห็นเราแม่ลูกเป็นดังหนามยอกในพระเนตร ในวังนี้วันหน้า วันหน้า…”
ฮ่องเต้ว่านลี่ถอนหายใจยาว เอื้อมพระหัตถ์ลูบเกศาพระสนมเอกเจิ้ง ตรัสเบาๆ ว่า
“เราเองก็ไม่คิดว่าสถานการณ์จะกลายเป็นยากจบเช่นนี้ได้ เจ้าเองก็อย่าได้คิดมากไป มีเราปกป้องเจ้าแม่ลูก ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจทำร้ายพวกเจ้าแม่ลูกได้”
“ฝ่าบาททรงยินยอมกลับไปเป็นแบบเดิมหรือเพคะ แม้แต่ขันทีในวังฝ่าบาทยังไม่อาจจัดการโยกย้ายได้ จะตรัสอันใดก็ต้องแอบตรัสกับหม่อมฉัน กลัวคนอื่นจะแอบฟัง”
เด็กน้อยส่งเสียงร้องไห้เบาลง พระสนมเอกเจิ้งจึงทูลต่อ ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่รู้ว่าทรงคิดสิ่งใด ต่อหน้าพระสนมเอกเจิ้งรู้สึกผิด แต่ไม่อยากแสดงความอ่อนแอและไร้หนทาง ทรงพึมพำว่า
“เราเองก็แปลกใจ เห็นว่าทุกเรื่องอยู่ในกำมือเราแล้ว ในวังนอกวังก็เคารพยำเกรงเราอย่างดีแล้ว อยู่ๆ เกิดเหตุเช่นนี้ เราไม่ได้ทำผิดอันใด ทุกคนก็ยังจงรักภักดี เหตุใด…”
พระสนมเอกเจิ้งจ้องมองพระเนตรฮ่องเต้ว่านลี่ ลังเลครู่หนึ่ง เหมือนตัดสินพระทัย แม้ว่าห้องทรงอักษรมีเพียงฮ่องเต้และนางกับลูกสามคน แต่น้ำเสียงพระสนมเอกเจิ้งก็เบาลงอย่างไม่ทันรู้องค์ ทูลว่า
“ฝ่าบาท ตอนนี้สถานการณ์เช่นนี้เป็นเพราะฝ่าบาทไม่มีผู้ใดวางใจได้ข้างพระวรกายอย่างแท้จริง จะต่อกรกับพวกข้างนอกนั้นได้อย่างไรเพคะ ฝ่าบาทรับสั่งให้ติ้งเป่ยโหวกลับเมืองหลวง มีเขาคอยช่วยเหลือ ฝ่าบาทย่อมสามารถ…”
พระสนมเอกเจิ้งยังกล่าวไม่ทันจบ พระหัตถ์ที่ฮ่องเต้ว่านลี่กำลังประคองใบหน้านางก็กระชากกลับอย่างรวดเร็ว ฮ่องเต้ว่านลี่ลุกขึ้นทันที โบกพระหัตถ์อย่างร้อนพระทัยตรัสว่า
“หวังทงกำลังรักษาตัวอยู่ตอนเหนือ ให้เขากลับมาทำไมกัน ไม่มีเขา เราก็ย่อมผ่านพ้นคลื่นลมนี้ไปได้อย่างแน่นอน สนมที่รักกลับไปพักก่อน อย่าคิดมาก ทุกอย่างมีเราอยู่!”
พระสนมเอกเจิ้งกัดริมฝีปาก สีหน้าซีดเผือด กลับไม่กล่าวอันใด คำนับแล้วก็อุ้มโอรสแน่นขึ้นพลางร้องไห้ยิ่งหนัก
***********
ตอนฟ้ามืดลง จางเฉิงนำข่าวจากนอกวังกลับมา เรื่องสองโอรสแต่งตั้งพร้อมกันนั้น เซินสือหังบ่ายเบี่ยงนุ่มนวล ก็ไม่ได้ไม่คิดว่าไม่เหมาะ ส่วนรองอำมาตย์หวังซีเจวี๋ยกลับคิดว่าได้ หนึ่ง ไม่ได้ผิดไปจากพระประสงค์ฮ่องเต้ว่านลี่ สอง สามารถจัดการสถานการณ์ตอนนี้ให้จบได้
ตอนนี้บรรดาขุนนางไม่ทำงานทำงาน วันๆ เอาแต่ร่วมหัวกันหารือเรื่องตั้งรัชทายาท ตอนนี้สถานการณ์มาถึงขั้นนี้แล้ว จบเรื่องนี้ย่อมต้องเป็นเวลาแต่งตั้งโยกย้าย คงต้องมีคนโชคร้ายเป็นแน่ ตำแหน่งที่ว่างลงย่อมต้องหาคนไปทดแทน นี่เป็นเรื่องที่ทำให้ทุกคนตื่นเต้น
สองโอรสได้รับแต่งตั้งพร้อมกัน ก็คือแต่งตั้งโอรสองค์โตจูฉางลั่วกับโอรสองค์รองจูฉางสวินเป็นอ๋องทั้งสององค์ รอให้เติบใหญ่ค่อยว่ากันว่าผู้ใดจะได้เป็นรัชทายาท
ในเรื่องนี้มีลูกไม้อยู่ที่ว่าแม้รัชทายาทกับอ๋องล้วนเป็นพี่น้อง แต่สถานะกลับเป็นดังนายกับขุนนาง หากแต่งตั้งเป็นอ๋อง ก็เท่ากับเด็กสองคนสถานะเท่ากัน วันหน้าสามารถเปลี่ยนแปลงได้อีก
ข่าวไทเฮานำจูฉางลั่วเข้าตำหนักฉือหนิงกงไปเลี้ยงดูนี้แพร่ไปนอกวังแล้ว มหาอำมาตย์เซินสือหังย่อมรู้ว่าหมายถึงสิ่งใด เขาย่อมปิดปากเงียบเรื่องนี้ แต่หวังซีเจวี๋ยนิสัยเป็นแบบพวกขุนนางบุ๋นตรงไปตรงมา เขาคำนึงถึงหลักตำราปราชญ์น้อยกว่าผลประโยชน์แผ่นดิน
แผ่นดินหมิงตอนนี้มีหลายเรื่องต้องทำ ไม่จำเป็นต้องมีเรื่องไม่หยุดด้วยเรื่องใดเรื่องเดียว นี่เป็นความคิดหวังซีเจวี๋ย
ทว่าวันรุ่งขึ้น เช้าวันที่ 14 เดือนห้า หน้าจวนหวังซีเจวี๋ยมีขันทีมาคอยอยู่ กลับรีบรับคำสั่งเข้าวังไปอย่างรีบร้อน หวังซีเจวี๋ยบอกว่าตนเองคิดไม่รอบคอบ ไม่เหมาะสม และไม่ขอสนองพระบัญชา
สำนักบูรพาจับตาดูอยู่ สาเหตุได้รับรายงานมาทันทีว่า หวังซีเจวี๋ยตอนร่างราชโองการ ข่าวถูกคนในจวนแพร่ออกไป ลูกศิษย์ทั้งสองของเขารีบมาเตือน บอกรายละเอียดชัด ว่าตอนนี้ไทเฮาได้รับองค์ชายใหญ่เข้าตำหนักฉือหนิงกงแล้ว ท่าทีชัดเจนแล้ว หากท่านอาจารย์ร่างราชโองการ รอถึงวันหน้า เกรงว่าก็คงได้แหลกสลายเป็นแน่ และเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตอนนี้ก็ไปในทิศทางนี้ ไยอาจารย์ต้องทำตัวเองให้ต้องเป็นปรปักษ์กับคนหมู่มาก
หวังซีเจวี๋ยเห็นแก่ภาพรวม แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ได้มีสติปัญญาทางการเมือง และไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ได้คิดถึงวาสนาและตำแหน่งตน เขาย่อมต้องถอย
แต่ข่าวที่แพร่ออกไปทำให้เดิมสถานการณ์ที่ดุเดือดอยู่ก็เริ่มระเบิดออกมายิ่งหนัก ขุนนางทุกระดับพากันดาหน้าออกมายื่นฎีกาว่า ‘เห็นใต้หล้าโง่เขลา เห็นใต้หล้าเป็นโรงละคร’ มีคนกล่าวว่า โอรสองค์โตเป็นรัชทายาทเดิมก็เป็นเรื่องที่เป็นไปตามหลักการ ฮ่องเต้ทำเช่นนี้ เกรงว่าต้องการถ่วงเวลาออกไปเท่านั้น
มีคนยื่นฎีกาตรงไปตรงมาเช่นนี้ ตอนนั้นฮ่องเต้ว่านลี่อายุ 6 ชันษาก็ได้รับแต่งตั้งเป็นรัชทายาท เหตุใดตอนนั้นไม่แต่งตั้งพร้อมกับอ๋องลู่ให้เป็นอ๋อง รอให้เติบโตค่อยตัดสินว่าผู้ใดจะได้เป็นรัชทายาทเหมือนกันเล่า
***************
เทียบกับการปล่อยให้เมืองหลวงวุ่นวายแล้ว รองเจ้ากรมศาลซุ่นเทียนหลี่ว์วั่นไฉกลับรวบรวมกำลังมือปราบและเจ้าหน้าที่มาสั่งการว่าตอนนี้เมืองหลวงไม่สงบ จะต้องรักษาความสงบให้ดี อย่าได้เปิดช่องให้หัวขโมยลงมือได้
Comments for chapter "ตอนที่ 895 ไม่ดูแลภรรยาและบุตรให้ดี"
MANGA DISCUSSION
Leave a Reply Cancel reply
This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.
somsuan24
เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล สมควรโดนแล้วว่านลี่