องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 897 ประวัติศาสตร์มักซ้ำรอย
“ไปบอกเจิ้งกั๋วไท่ เราเองยังจัดการไม่ได้ เขาอยู่ข้างนอกใช้การส่งมอบของขวัญจะจัดการได้อย่างไร เจิ้งกั๋วไท่ตอนนี้อยู่นอกวังทำเราและพระสนมขายหน้ามาก รีบหยุดได้แล้ว ช่างไม่รู้ธรรมเนียม!”
ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสไม่พอพระทัย ตอนนี้ทรงย้ายมาประทับที่อุทยานปัจจิม มีเพียงพระสนมเอกเจิ้งติดตามมา ส่วนที่ห้องทรงอักษรให้เป็นที่สำหรับจัดการงานแผ่นดิน
“สำนักบูรพาวันๆ รู้แต่จับตาดูน้องภรรยาเรา ข้างนอกขุนนางวุ่นวายรวมตัวกันพูดจาเหลวไหล เหตุใดไม่ส่งคนไปดูแล ไม่มีคนจับตา องครักษ์เสื้อแพรทำอะไรกัน!?”
จางเฉิงยิ้มเฝื่อนถวายคำนับทูลตอบว่า
“ตอนนี้เมืองหลวงวุ่นวายเช่นนี้ นอกเมืองหลวงก็มีบัณฑิตมากมายกรูกันออกหน้ามายื่นฎีกา องครักษ์เสื้อแพรแต่ไรมาก็จัดการเรื่องนี้อยู่ เกรงว่ามีคนคิดทำการสิ่งใด แต่เหตุใดตอนนี้พอผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรไม่อยู่ พวกองครักษ์เสื้อแพรเหล่านั้นก็ไม่กล้าจัดการ มีหลายเรื่องจัดการไม่ได้”
ฮ่องเต้ว่านลี่ยกพระหัตถ์เคาะโต๊ะ ไม่อยากตรัสเรื่องพวกนี้ต่อ ทรงยกฎีกาบนโต๊ะขึ้นอ่าน อ่านไปได้สองฉบับ ก็วุ่นวายพระทัยโยนทิ้ง ตรัสถามขึ้น
“ข้างนอกไม่มีใครยอมออกหน้าเลยหรือ?”
จางเฉิงสีหน้าฝืดเฝื่อน ถวายคำนับทูลว่า
“ฝ่าบาทก็ทรงรู้ขุนนางข้างนอกชอบทำตัวเช่นไร หากมีผู้ใดกล้าขัดกระแสหลักฎีกา ข่าวก็ย่อมออกไปจากกรมฎีกา คืนนั้นทุกคนก็จะไปรวมตัวตีคนๆ นั้นตายก็ย่อมเป็นได้ จะว่าไป ตอนนี้ท่าทีขุนนางใหญ่ในราชสำนักก็ชัดเจน ผู้ใดกล้าแต่ต้องพิษร้ายกองนี้กัน”
หากเป็นเมื่อหนึ่งเดือนก่อน ฮ่องเต้ว่านลี่เกรงว่าคงตบโต๊ะคำรามดังแล้ว แต่ยามนี้กลับได้แต่ส่ายพระพักตร์ร้อนพระทัยตรัสว่า
“เราพูดอันใดคิดอันใด พวกคนข้างนอกไม่คิดจะสนใจเรา มันช่าง…”
“ฝ่าบาท หลี่กงกงตำหนักฉือหนิงกงนำกระแสรับสั่งไทเฮามาพะยะค่ะ!”
ในตอนนั้นเอง ขันทีข้างนอกก็ตะโกนดังรายงานเข้ามา หลี่กงกงเป็นญาติห่างกๆ กับไทเฮาฉือเซิ่ง ในสมัยฮ่องเต้หลงชิ่งขึ้นครองราชย์ก็จัดการตอนตนเองเข้าวัง แม้ว่าไม่มีตำแหน่งอันใด แต่ถือเป็นคนสนิทหนึ่งของไทเฮาฉือเซิ่ง
ฮ่องเต้ว่านลี่ขมวดพระขนง หันไปพยักพระพักตร์กับจางเฉิง
**************
“…ไทเฮาตรัสว่า ฝ่าบาทไม่ได้ออกว่าราชการหนึ่งเดือนแล้ว ไม่สนใจงานแผ่นดินเช่นนี้ บรรพชนเห็นแล้วย่อมเจ็บปวดพระทัย ไม่ควรให้เรื่องเล็กน้อยมาทำให้งานแผ่นดินเสียหาย…”
หลี่กงกงเข้ามาก็คุกเข่าถวายบังคม เพราะนำพระกระแสรับสั่งไทเฮามา ดังนั้นจึงยืนถ่ายทอดรับสั่ง พระกระแสรับสั่งไทเฮาฉือเซิ่งไม่เกรงพระทัยแม้แต่น้อย ฮ่องเต้ว่านลี่ฟังแล้วก็สีหน้าบึ้งตึง
“…เรื่องแต่งตั้งรัชทายาทเกี่ยวพันถึงความมั่นคงแผ่นดิน สืบทอดแผ่นดิน ขอให้ฝ่าบาทตัดสินพระทัยโดยเร็ว เพื่อไม่ให้ภายนอกวุ่นวาย ใจประชาระส่ำระสาย…”
ฮ่องเต้ว่านลี่พระเนตรกระตุก ทว่ายังคงประทับนั่งตรัสสุรเสียงนิ่งเรียบว่า
“เรารู้แล้ว ขอบพระทัยเสด็จแม่ที่ทรงห่วงใย”
หลี่กงกงรีบคุกเข่าถวายคำนับ ก่อนจะลุกขึ้นถอยออกไป พอไปถึงประตู ก็กลับเหมือนคิดอันใดได้ หันมายิ้มคุกเข่าทูลว่า
“ฝ่าบาท ระยะนี้นอกวังมีคนยื่นฎีกาไม่น้อยให้จัดการส่งหวงอี้เฟินไปเทียนจิน ไทเฮารู้สึกว่า หวงอี้เฟินผู้นี้เป็นคนซื่อสัตย์ เหมาะแก่การส่งไปดูแลเทียนจินที่เป็นพื้นที่สำคัญ จะให้ขุนนางยื่นฎีกาต่อฝ่าบาท ขอฝ่าบาทพิจารณา”
สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่แปรเปลี่ยน สุดท้ายก็ถอนหายใจยาว ตรัสเบาๆ ว่า
“ทูลเสด็จแม่ เรารู้แล้ว”
หลี่กงกงยิ้มร่าโขกศีรษะ หันกายออกไป พอหลี่กงกงออกไป จางเฉิงก็ปิดประตู หันกลับมามอง
กลับเห็นฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ได้ทรงกริ้วหนัก กลับสองพระหัตถ์เท้าคางไว้พลางคิดหนัก พอได้ยินเสียงปิดประตู ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ยังไม่เงยพระพักตร์ขึ้น ได้แต่คิดหนักนิ่งเงียบก่อนจะตรัสว่า
“จางปั้นปั้น หวงอี้เฟินเป็นคนที่เสด็จแม่เสนอเมื่อปีก่อนใช่ไหม จบเรื่องยังถูกเราหาเหตุปลดไป ให้กลับบ้าน…..”
ตอนที่ข่าวหวังทงยกทัพขึ้นเหนือหายไปจากการข่าวเมืองหลวง ไทเฮาฉือเซิ่งก็เคยทรงออกหน้าให้หวงอี้เฟินไปดูแลเทียนจิน ตอนนั้นสถานการณ์กลับมาอีกแล้ว ฮ่องเต้ว่านลี่ย่อมไม่รับคำ จบเรื่องยังหาเหตุปลดตำแหน่งหวงอี้เฟิน ให้เขากลับไปบ้านเกิด
ตอนนั้นฮ่องเต้ว่านลี่เพียงรู้สึกได้ระบายอารมณ์ไปแล้ว คิดไม่ถึงว่าถึงกับยังถูกนำกลับคืนมาได้อีก ในพระทัยก็ย่อมไม่พอพระทัยนัก ตอนนั้นหวงอี้เฟินยังเป็นขุนนางมีอำนาจเต็มในราชสำนัก ตอนนี้หวงอี้เฟินได้ไปอยู่บ้านแล้ว หากคนผู้นี้ถูกนำกลับมาใช้งานจริง และยังเป็นตำแหน่งที่จะได้เมื่อปีก่อน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นการส่งสัญญาณให้ภายนอกรู้ว่าไทเฮาที่เก็บตัวมาปีหนึ่งกำลังจะกลับมาผงาดอีกรอบ
จางเฉิงกลับไม่ตอบฮ่องเต้ว่านลี่ เพียงแค่ทูลน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“ฝ่าบาท หวงอี้เฟินนี่ไม่นับเป็นเรื่องใหญ่ ระยะนี้ฎีกามากมายกล่าวถึงกองกำลังเมืองหลวงต้องการให้อู่ชิงโหวออกหน้ามาจัดการ ขอให้อู่ชิงโหวเป็นผู้บัญชาการกองกำลังเมืองหลวง นี่จึงเป็นเรื่องใหญ่พะยะค่ะ หากให้อู่ชิงโหวคุมกองกำลังเมืองหลวง เกรงว่าราชสำนักก็จะกลับไปสู่ยุคสมัยที่จางจวีเจิ้งเรืองอำนาจอีกครั้ง”
ฮ่องเต้ว่านลี่เงยพระพักตร์ขึ้น พระพักตร์มีรอยแย้มสรวล แต่กลับดูย่ำแย่ยิ่งกว่าร้องไห้ สัพยอกตรัสว่า
“คนข้างนอกแย่งกันเป็นจางจวีเจิ้ง ไม่รู้ว่าในวังผู้ใดคิดจะเป็นดังเฝิงเป่า?”
“ฝ่าบาท ในวังหลังนี้ไม่อาจมีคนเช่นเฝิงเป่าอีกแล้วพะยะค่ะ เกรงว่าไทเฮาคงกุมอำนาจผู้เดียว”
จางเฉิงน้ำเสียงสูงขึ้น สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่จางหาย นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งก็ตรัสถามขึ้น
“ไปถามแต่ละที่มาหมดแล้วหรือยัง?”
จางเฉิงอึ้งไปก้มหน้าทูลรายงานว่า
“กองกำลังเมืองหลวง ในนี้ไม่รวมพวกที่มาจากลานฝึกหู่เวย นำมาใช้การไม่ได้ ตระกูลเซียงเฉิงป๋อกับตระกูลถัง เฉินซือเป่าแอบบอกว่า คนของเขาสามารถใช้ได้ราว 2-3 ร้อย ที่เหลือคงยาก กองกำลังสังกัดวังหลวง เติ้งจิ้นกับหูฉีสั่งการได้ ทว่าพวกเขาเองก็บอกว่า เกรงว่าไม่อาจออกจากสนามฝึกเหนือได้ คงถูกทหารที่อื่นมาขวางไว้ก่อน”
ฮ่องเต้ว่านลี่ถอนหายใจยาว แต่กลับไม่รู้สึกผ่อนคลายลง เหมือนแค่ระบายความอัดอั้นออกมาเท่านั้น ทั้งองค์ราวกับประทับนั่งแข็งทื่อบนที่ประทับ นานกว่าจะตรัสขึ้นอย่างล่องลอยว่า
“กองกำลังเมืองหลวงทางนั้นอยู่ในความควบคุมมาตลอด เราเองยังคิดว่าอยู่ในมือเราแล้ว ช่างน่าขัน…”
พึมพำสองสามคำ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ยกพระหัตถ์ถูไปมาเงียบไปครู่หนึ่งตรัสว่า
“จางปั้นปั้น วันนี้อากาศร้อน เราอยากกินน้ำแข็งผลไม้ ท่านไปจัดการให้ห้องเครื่องทำมาให้เราหน่อย!”
อยู่ ๆ เปลี่ยนบทสนทนา ทำเอาจางเฉิงอึ้งไป ทว่าก็แอบถอนหายใจ คำนับรับพระบัญชา กำลังออกไปจัดการ ตอนไปถึงประตูก็กลับถูกฮ่องเต้ว่านลี่เรียกไว้ ฮ่องเต้ว่านลี่ลังเลอยู่นาน อ้าพระโอษฐ์หลายครั้งก็ไม่ตรัส แต่สุดท้ายก็ตรัสถามขึ้น
“หากสถานการณ์เป็นเช่นนี้ แล้วให้หวังทงกลับมา จะจัดการได้ไหม?”
จางเฉิงปิดประตูหันกลับมาคำนับ ลังเลครู่หนึ่งจึงได้ทูลว่า
“ฝ่าบาท ควรต้องมีความมั่นใจหกส่วน ตอนนี้มีเรื่องกันเช่นนี้ กระหม่อมเองไม่กล้ากล่าวอันใดมากนัก”
“ทำไมเรื่องที่เราไม่อาจทำได้ แต่เขากลับทำได้ เราไม่ใช่ฮ่องเต้หรือ?”
“…ก็เพราะฝ่าบาทเป็นฮ่องเต้ เป็นประมุขใต้หล้า ดังนั้นหลายเรื่องจึงไม่อาจทำได้เปิดเผย ต้องระมัดระวังให้มาก การเคลื่อนไหวมากไปอาจทำให้แตกหัก หวังทงเป็นขุนนาง เพียงแค่รับคำสั่งปฏิบัติงาน กลับสามารถทำการได้ไม่ต้องเกรงกลัวอันใดมากนัก ทว่าวาจานี้ไม่รู้ว่ากระหม่อมควรทูลหรือไม่…”
“พูดกันมาถึงขั้นนี้แล้ว ยังมีอันใดต้องอ้ำอึ้งอีกกัน พูดมาได้ไม่ต้องกลัว!”
ฮ่องเต้ว่านลี่เริ่มหงุดหงิดพระทัย จางเฉิงทูลต่อว่า
“กระหม่อมรู้สึกว่า เรื่องครานี้หากต้องการให้เงียบลง ต้องลงมือให้หนักจึงจะได้ ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนกลัวกลายเป็นเป้ามวลชน หวังทงเข้าใจดีว่าเขามักเป็นเป้า เกรงว่า…”
ความหมายนี้ผู้ใดก็เข้าใจ ฮ่องเต้ว่านลี่อึ้งไปถามขึ้น
“จางปั้นปั้น หากหวังทงอยู่เมืองหลวงต่อ สถานการณ์ตอนนี้ก็คงไม่เกิดใช่หรือไม่?”
จางเฉิงก้มตัวลงทูลว่า
“ฝ่าบาท หวังทงแต่ไรมาก็ประจำอยู่นอกเมืองหลวง คำถามฝ่าบาท กระหม่อมไม่รู้ว่าควรตอบเช่นไร”
ฮ่องเต้ว่านลี่ ไม่ได้คิดเรื่องนี้อยู่ แต่สีพระพักตร์เหมือนว่ากำลังสับสน ตรัสเบาๆ ว่า
“หวังทงจงรักภักดีจริงหรือ…”
เหมือนว่าถามอยู่ แต่ก็เหมือนถามตนเองมากกว่า จางเฉิงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะก้าวเข้าไปใกล้ทูลเบาๆ ว่า
“หากฝ่าบาทเรียกตัวหวังทงเข้าเมืองหลวง หวังทงปฏิเสธไม่มา ก็ย่อมแสดงว่าคิดการไม่ซื่อ เพื่ออำนาจวาสนาตนจนไม่สนใจเจ้านาย ก็ย่อมไม่จงรักภักดี หากได้รับราชโองการรีบออกเดินทาง ก็ย่อมแสดงถึงการไม่กลัวเกรงกับความยากลำบาก เป็นผู้จงรักภักดีจนไม่เห็นแก่ตนเอง จงรักภักดีหรือไม่จะรู้กันได้ในไม่ช้านี้”
จางเฉิงทูลจบ ฮ่องเต้ว่านลี่เงียบไปครู่หนึ่งก็พึมพำเบาๆ ว่า
“อย่างไรเราก็ไม่ควรสงสัยเขา ตัดแขนขาตัวเอง ทำให้คนในคนนอกมองเห็นโอกาส ตอนนี้วุ่นวายกันถึงขั้นนี้แล้ว จะให้เขากลับมาเก็บกวาด เขาก็ยากที่จะไม่คิดแค้นใจ เราผิดต่อเขาจริง!”
สุรเสียงแผ่วเบายิ่ง พึมพำกับพระองค์เอง จางเฉิงเห็นก็รีบคุกเข่าทูลหนักแน่นว่า
“ฝ่าบาท สถานการณ์มาถึงขั้นนี้แล้ว ต้องตัดสินพระทัยให้เด็ดขาดแล้ว เมืองหลวงมาเมืองกุยฮว่าเฉิง อย่างไรก็ต้องไม่น้อยกว่า 16 วัน ตอนนี้เมืองหลวงไม่อาจรอช้าได้อีกแล้ว!”
ทูลจบก็โขกศีรษะดัง ฮ่องเต้ว่านลี่เงียบไปนาน จางเฉิงกำลังจะทูลต่อ ฮ่องเต้ว่านลี่ที่นิ่งอยู่ก็ส่งเสียงขึ้นว่า
“ส่งเจ้าจินเลี่ยงกับเจิ้งกั๋วไท่สองคนไป เราเขียนสารประทับตราไปด้วย เราตามตัวหวังทงกลับมา ความแค้นนี้ไม่อาจเก็บกดไว้ได้จริงๆ !”
สีหน้าจางเฉิงยินดียิ่ง แต่พอเงยหน้าขึ้นก็ไม่เห็นสีหน้านี้แล้ว ทูลว่า
“ฝ่าบาท ทรงพระปรีชา กระหม่อมจะรีบไปจัดการ”
เห็นฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ค้าน จางเฉิงลุกขึ้นจะออกไปจัดการ แต่พอเดินถึงประตูก็ถูกฮ่องเต้ว่านลี่เรียกไว้ ฮ่องเต้ว่านลี่ ลังเลครู่หนึ่ง ตรัสเบาๆ ว่า
“จัดการให้เจิ้งกั๋วไท่มาพบเราด้วย เรามีเรื่องกำชับ!!”
*************
เจิ้งกั๋วไท่แต่งตัวเป็นขันทีเข้าวังมาเข้าเฝ้า วันรุ่งขึ้น ก็แต่งตัวเป็นพ่อค้าออกเดินทางไปกับผู้ตุ้มกัน ออกจากเมืองหลวงไปพร้อมกับเจ้าจินเลี่ยง
Comments for chapter "ตอนที่ 897 ประวัติศาสตร์มักซ้ำรอย"
MANGA DISCUSSION
Leave a Reply Cancel reply
This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.
giorgioroc
ใ
giorgioroc
สนมเอกยังคงเป็นสนมเอก หางโผล่ขนาดนี้แล้วยังไว้ใจอีก
yoyo
ดูทรงแล้ว เจ้าอ้วนว่านหลี่คงมีจุดจบไม่ดีแน่ๆเลย