องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 900 กระแสถาโถมใส่ขุนนางราชสำนัก
“โอรสพระสนมเอกเจิ้ง จูฉางสวิน ได้ดังใจเรา เราตัดสินใจแต่งตั้งเป็นรัชทายาท!!”
พระดำรัสตรัสด้วยสุรเสียงนิ่งเรียบปกติ ขุนนางด้านล่างที่อยู่ใกล้พระแท่นที่สุดถึงกับได้ยินไม่ชัด แม้แต่สามแถวหน้าก็ไม่ทันได้ตั้งใจฟัง
ขุนนางทั้งหมดพากันลงคุกเข่าไม่ทันได้คิดทูลว่า ‘ฝ่าบาททรงพระปรีชา’ ส่วนใหญ่ด้านหลังก็คุกเข่าตาม แถวหน้าทั้งหมดคำนับและทูลพร้อมกันว่า ‘ฝ่าบาท’ ได้สองคำ ก็เหมือนว่ามีอันใดติดคออยู่ จากนั้นก็พูดไม่ออกอีก
พวกที่อยู่สามแถวหน้าย่อมเป็นขุนนางพิเศษ แม้ว่าอายุมาก แต่หูตาก็ยังคงว่องไว พอมั่นใจในสิ่งที่ได้ยินว่า ‘จูฉางสวิน’ ก็ถึงกับเงยหน้ามองอึ้งไป
พวกเขามองไปยังฮ่องเต้ว่านลี่ที่พระพักตร์ยิ้มเยียบเย็น ตอนนี้พวกเขารู้แล้วว่า ฮ่องเต้ว่านลี่ยิ้มเยียบเย็นไม่ใช่เพราะการไม่อาจต่อต้านพวกเขา แต่เพราะเยาะเย้ย
เหลวไหลสิ้นดี สองเดือนกว่าที่พวกไทเฮาและบรรดาขุนนางราชสำนัก หรือแม้แต่ขุนนางนอกเมืองก็แสดงท่าทีจุดยืนชัดเจน ทุกอย่างเหมือนเป็นเรื่องที่แน่นอนไม่อาจเปลี่ยนแปลงแล้ว ฮ่องเต้ว่านลี่คิดจะตรัสไม่กี่คำก็จะพลิกเปลี่ยนแปลง ช่างไร้เดียงสาเหลือเกิน
ราชโองการมีขั้นตอนว่าต้องผ่านคณะเสนาบดีใหญ่ส่งไปยังสำนักส่วนพระองค์ลงชาดประทับ หากไม่มีร่างจากคณะเสนาบดีใหญ่ ขุนนางเบื้องหน้าเหล่านี้ย่อมไม่รับราชโองการยามนี้ได้โดยไร้ความผิด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าทรงตรัสเองอย่างไร้ลายลักษณ์อักษร เป็นพระดำรัสราชโองการ พระดำรัสเช่นนี้แต่ไรมาไม่อาจใช้กับเรื่องใหญ่ได้ หรือว่าฝ่าบาทไม่เคยทรงได้รับการสั่งสอนจากเรื่องของหวังซีเจวี๋ยงั้นหรือ?
“ฝ่าบาท ขอฝ่าบาทคืนรับสั่งด้วย เรื่องลำดับอาวุโสเป็นเรื่องจารีตธรรมเนียมใหญ่ รัชทายาทย่อมแต่งตั้งโอรสองค์โต หากไม่ทำตาม ก็ย่อมนำมาซึ่งภัยใหญ่!”
เสนาบดีกรมพิธีการเสิ่นหลีคุกเข่าลงก่อนจะตะโกนดัง เขาอายุเกือบ 60 แล้ว พอถวายบังคมเสร็จ ถึงกับยังมีแรงตะโกนดังเช่นนี้ได้อีก ช่างน่าตกใจจริง
“ขอฝ่าบาทคืนรับสั่งด้วยพะยะค่ะ!!”
หยางเหว่ยสีหน้านิ่งลงคุกเข่าตาม ทว่าไม่ได้แสดงท่าทีผ่อนตามเหมือนการประชุมทุกครั้งปกติ แต่ครั้งนี้เสียงกราบทูลกลับดังก้อง ทุกคนพากันคุกเข่าส่งเสียงทูลดัง ขุนนางส่วนใหญ่ทั้งหมดหลังจากอึ้งไปนาน ก็ค่อยๆ พากันคุกเข่าลงส่งเสียงกราบทูลดังพร้อมกัน
เซินสือหัง หวังซีเจวี๋ยและหลายคนสบตากัน ไม่พูดถึงว่าฮ่องเต้ว่านลี่ลงมือได้ราวกับเด็กน้อย และเลือกเวลาได้ไม่เหมาะสมเอาเสียเลย
ในลานที่มีขุนนางมากมายเช่นนี้ พวกที่มีอำนาจหรือไม่มีอำนาจในเมืองหลวงล้วนอยู่ที่นี่ เจ้าพูดคนเดียว ไม่ใช่ว่าเท่ากับว่าคนพวกนี้กำลังร่วมกำลังกันกดดันเจ้าคนเดียวหรือ?
แต่ก็มีขุนนางส่วนน้อยยืนอยู่ พวกเขาอาจเป็นพวกสังกัดศาลซุ่นเทียน หรืออาจเป็นพวกเซินสือหัง อาจารย์และหัวหน้าตนไม่คุกเช่า ตนเองหากรีบร้อนแสดงท่าทีก็เท่ากับโง่เกินไปแล้ว
“กระหม่อมไม่รับราชโองการ ขอฝ่าบาทคืนรับสั่งด้วยพะยะค่ะ!!”
เสนาบดีกรมพิธีการเสิ่นหลีทูลต่อ พวกขุนนางกรมพิธีการก็ออกมาประสานรับ แต่งตั้งผู้ใดเป็นรัชทายาท ก็ต้องผ่านกรมพิธีการ จากนั้นค่อยมีราชโองการ จึงจะประกาศใต้หล้า กรมพิธีการไม่รับพระบัญชา ชั้นตอนก็ไม่อาจดำเนินต่อได้
“เรื่องใหญ่เช่นนี้ พวกกระหม่อมไม่เสียดายชีวิตหากต้องยืนหยัดหลักการจารีตให้คงอยู่ หากผู้ใดไม่คัดค้านย่อมเป็นขุนนางชั่ว พวกกระหม่อมจะต้องร่วมจัดการให้สิ้น!!”
“แผ่นดินนี้เลี้ยงดูบัณฑิตมาเกือบสองร้อยปี เวลาที่ได้สนองคุณแผ่นดินคือยามนี้แล้ว!!”
วาจาตะโกนกราบทูลเช่นนี้เริ่มดังไปทั่ว การตะโกนเช่นนี้ดังขึ้น พวกที่เดิมไม่ได้คุกเข่าหลายคนก็เริ่มลังเลกันไม่น้อย กระแสคลื่นซัดสาดลูกแล้วลูกเล่า
เรื่องพวกนี้ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกว่ามีคุณธรรมยิ่ง แต่ที่จริงแล้วกลับเป็นการคุกคาม หากไม่ร่วมกับทุกคน พวกเจ้าก็เป็นศัตรูกับทุกคน หลังจบเรื่องนี้ ก็ย่อมต้องเป็นเป้าโจมตี วงการขุนนางกลัวอันใดที่สุด ที่กลัวที่สุดก็คือไม่อาจเข้ากลุ่มกับผู้อื่นส่วนใหญ่ เช่นนั้นก็ย่อมไม่มีโอกาสดำรงตนต่อไปในวงการนี้แล้ว
คลื่นกระหน่ำลูกแล้วลูกเล่า แต่ละวาจาล้วนต้องการให้ฮ่องเต้ว่านลี่คืนรับสั่ง ให้ฮ่องเต้ว่านลี่แต่งตั้งจูฉางลั่วเป็นรัชทายาท
ฮ่องเต้ว่านลี่ในที่สุดก็ยิ้มเยียบเย็นตรัส ยึดแขนพนักเก้าอี้ที่ประทับยืนขึ้น ตรัสว่า
“…ร่วมจัดการให้สิ้น…แผ่นดินนี้เลี้ยงดูบัณฑิตมาเกือบสองร้อยปี สองวาจานี้เราเคยได้ยินมา ตอนเราเป็นเด็กเคยได้อ่านบันทึกในสมัยเสด็จปู่ ตอนนั้นเลี้ยงดูบัณฑิตมาเกือบร้อยห้าสิบปี ผ่านมาอีกห้าสิบปี ก็ยังใช้อ้างวาจาเหมือนเดิม?”
สมัยฮ่องเต้เจียจิ้งปีที่ห้า ในราชสำนักเกิดข้อพิพาทเรื่องจารีตธรรมเนียม ตอนนั้นมหาอำมาตย์หยางถิงกับลูกชายก็เคยกล่าววาจาเช่นนี้ ฮ่องเต้ว่านลียิ้มเยียบเย็นพลางหันกลับไปมองขันทีด้านหลัง ยังคงยิ้มตรัสว่า
“ตอนนั้นเสด็จปู่สามารถใช้องครักษ์เสื้อแพรกับคนสำนักบูรพาจัดการพวกเหลวไหลบัดซบไร้นายในสายตาได้ แต่วันนี้เรากลับไม่อาจสั่งการกองกำลังสังกัดวังหลวง ไม่อาจสั่งการกองกำลังเมืองหลวง”
ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสจบ ขันทีในสำนักส่วนพระองค์จางจิงกับจางหงก็พากันคุกเข่าลง จางหงสีหน้าเคร่งทูลว่า
“ฝ่าบาท ทหารแผ่นดินหมิงมิใช่มีไว้เพื่อสังหารบัณฑิตพะยะค่ะ และสิ่งที่บัณฑิตทั้งหลายกล่าวนั้นก็เป็นหลักการจารีตที่มีมา ฝ่าบาททรงทำตามพระทัยเช่นนี้…”
กล่าวไม่จบได้แต่ก้มลงโขกศีรษะไม่หยุด จางจิงคุกเข่าไม่กล่าวอันใด เดิมเขาเป็นหัวหน้าสำนักอาชาหลวง ยังเป็นคนสนิทไทเฮาฉือเซิ่ง ครั้งนี้ไม่อาจสั่งการกองกำลังสังกัดวังหลวงก็เพราะเขา ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่อาจสั่งการสำนักบูรพาก็เพราะมีเขาอยู่
ฮ่องเต้ว่านลี่ยิ้มเยียบเย็นมองไปยังทุกคนรอบหนึ่ง จากนั้นตรัสว่า
“พวกขุนนางราชสำนักไม่อาจวาดหวัง ไม่ใช่พวกที่คิดให้เราฟังคำสั่งก็เป็นพวกขี้ขลาด ขุนนางฝ่ายใน ล้วนเป็นพวกหลงจารีตธรรมเนียมเหมือนกันหมด รู้หลักการจารีตดี แต่ไม่เคยคิดเพื่อเราเลย”
จางหงได้แต่โขกศีรษะ ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสจบ คนที่เหลือในสำนักส่วนพระองค์และมหาขันทีที่ตามเสด็จก็พากันคุกเข่าลง มีเพียงขันทีแถวหลังเท่านั้นที่ยังยืนอยู่ ฮ่องเต้ว่านลี่หันมองมหาขันทีชุดดำด้านหลัง จากนั้นก็หันกลับไปมองขุนนางใหญ่ที่กำลังออกมาเต้นแร้งเต้นกา ตรัสสุรเสียงนิ่งเรียบว่า
“บรรพชนคุ้มครอง เรายังมีขุนนางภักดี”
มหาขันทีชุดดำเดิมที่ก้มหน้านิ่ง ยามนี้กลับก้าวมาคุกเข่าด้านหน้า พวกมหาขันทีที่คุกเข่าอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมองอย่างตกใจ ที่แท้เป็นผู้ใดกล้าบังอาจ องครักษ์ที่ใกล้ที่สุดระยะห่างจากแท่นบังลังก์นี้มาก เข้ามาใกล้ไม่ทัน
พวกที่คุกเข่าอยู่นั้นเริ่มสังเกตว่ามหาขันทีชุดดำที่เดินไปดึงชุดออกไป ด้านในชุดขันทีเป็นเกราะอ่อน และยังถืออาวุธยาวราวหนึ่งเชียะออกมา
‘ปัง’ ดังขึ้น เหมือนของแตก เสียงดังมาก ด้านหน้าสามแถวได้ยินราวกับกลิ่นดินปืน เหมือนว่ากลิ่นหลังยิงปืนใหญ่
ในมือขันทีชุดดำถือปืนไฟยิงออกไปนัดหนึ่ง ในที่สุดพวกที่โขกศีรษะไม่หยุดก็เงยหน้าขึ้น แถวหน้ามีคนหลุดส่งเสียงดังเรียกชื่อคนข้างพระวรกายฮ่องเต้ว่านลี่ เสียงนี้เทียบกับเสียงกราบทูลเมื่อครู่แล้วยังดังกว่ามาก แต่ทว่ากลับสั่นเล็กน้อย
“หวังทง!!!”
มีคนตะโกนออกมา จากนั้นก็มีคนด้านหลังได้ยินอย่างรวดเร็ว แพร่ออกไปทั่วหน้าลานพระที่นั่งเฟิ่งเทียนเหมินอย่างรวดเร็ว เมื่อครู่ที่ยังวุ่นวายกันอย่างมาก ยามนี้กลับเริ่มถอยหลัง เงียบกริบอย่างรวดเร็ว
ขันทีชุดดำข้างพระวรกายฮ่องเต้ว่านลี่กระชากชุดขันทีออก เห็นเป็นเกราะทหารอ่อน ดึงหมวกขันทีออก โยนปืนไฟในมือทิ้งก่อนจะเดินไปด้านซ้ายฮ่องเต้ว่านลี่ มองขุนนางบุ๋นสายตาเย็นเยียบ สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ยังคงเต็มไปด้วยยิ้มเยียบเย็น
“ส่งเสียงคำรามดังต่อเบื้องพระพักตร์ฝ่าบาท คิดจะกดดันฝ่าบาทให้แก้ราชโองการ ยุ่งเกี่ยวกับฮ่องเต้แต่งตั้งรัชทายาท พวกเจ้ายังเป็นขุนนางแผ่นดินหมิงอีกหรือ!!? หรือว่าพวกเจ้าคิดก่อการกบฏ!!”
หวังทงเสียงไม่ดังนัก แต่ทั่วลานประชุมกลับเงียบกริบ มีหลายคนได้ยินไปเต็มสองหู มีคนอดตัวสั่นไม่ได้
อู๋จั้วไหลแห่งสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยนสีหน้าซีดเผือด คนข้างกายเขาคนหนึ่งกล่าวเบาๆ ว่า
“พี่อู๋ หวังทงก็แค่คนเดียว พวกเรากรูกันออกไปตีเขาให้ตายไปเลย ถึงตอนนั้น…”
ยังพูดไม่ทันจบก็ได้ยินเสียง ตึง ตึง ดังมา เหมือนเสียงโลหะกระทบกัน หน้าลานพระที่นั่งเฟิ่งเทียนเหมิน รอบๆ เป็นกำแพงสูงสีแดงชาดรอบสี่ด้านประตูอยู่ตรงกลาง
ตอนนี้ประตูใหญ่สองข้างค่อย ๆ เปิดกว้าง ทหารพร้อมทวนขวานในมือกรูกันเข้ามา ก้าวไปตามริมข้างกำแพง ล้อมทั้งลานไว้ จากนั้นก็หันหน้าเข้าหาขุนนางกลางลานประชุม
เสียงโลหะกระทบกันนั้นก็คือชุดเกราะ เกราะพวกนี้ทุกคนจำได้แม่น นี่เป็นเกราะกองกำลังหู่เวยที่หุ้มทหารเอาไว้มิดชิด
อยู่ๆ หน้าพระที่นั่งเฟิ่งเทียนเหมินที่กำลังเอะอะก็เงียบกริบไร้สำเนียง มีแต่เสียงทหารเดิน เกราะส่งเสียงดังเคร้งคร้าง
ทหารในชุดเกราะพร้อมทวนขวานยืนแถวตรงแล้ว ก็มีองครักษ์เสื้อแพรในชุดมัจฉาเวหาพร้อมดาบปักวสันต์วิ่งออกมาสองข้าง ยืนเรียงเป็นสองแถวบนแท่นสูง
ด้านหลังฮ่องเต้ว่านลี่กับหวังทงขันทีอีกกลุ่ม หลายคนเงยหน้ามองอย่างตกใจ จากนั้นสายตาทุกคู่ก็จ้องไปทางจางเฉิง จางเฉิงสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน ยังคงนิ่งสงบ จางจิงถอนหายใจคุกเข่าต่อ จางหงสีหน้าซีดเผือด
“เรื่องแต่งตั้งรัชทายาทของฝ่าบาท พวกท่านกลับออกหน้าคัดค้านหนักเช่นนี้ คิดว่าแผ่นดินหมิงไม่มีกฎลงโทษหรืออย่างไร?”
หวังทงกล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบ ทุกคนยังคงเงียบ หวังทงจ้องมองไปยังเสนาบดีกรมพิธีการเสิ่นหลีด้านหน้ากล่าวว่า
“เสนาเสิ่น เหตุใดไม่รับราชโองการประกาศทั่วหล้า หรือว่าท่านไม่ใช่ขุนนางแผ่นดินหมิง?”
เสิ่นหลีที่คุกเข่าสะดุ้งโหยง กลับไม่กล้าต่อคำ หวังทงหันไปทางฮ่องเต้ว่านลี่ คำนับทูลว่า
“ฝ่าบาท พวกไร้สติไร้บิดาไร้นายในสมองพวกนี้ ควรลงโทษให้หมด”
“จับเข้าคุก ลงทัณฑ์สอบให้หนัก ดูซิว่าผู้ใดให้การสนับสนุนจนเขากล้าเหิมเกริมเช่นนี้ได้!”
ฮ่องเต้ว่านลี่รับสั่งสุรเสียงเย็น หวังทงกำลังจะรับพระบัญชา ท่ามกลางหมู่ขุนนางก็มีคนผู้หนึ่งยืนขึ้นชี้หน้าด่าหวังทงว่า
“เจ้าขุนนางชั่ว เจ้าคิดว่าอาศัยอาวุธเจ้าก็สามารถข่มขู่ขุนนางใหญ่ได้งั้นหรือ จะให้เจ้าได้รู้ว่า…”
ยังกล่าวไม่ทันจบ ทหารในชุดเกราะสองนายก็เข้ามาด้านหลังเขา ใช้ท่อนไม้ที่ทำเป็นขวานทวนสับไปบนคออย่างแรง คนผู้นั้นร่วงล้มพับลงกับพื้น จากนั้นก็ถูกลากออกไปราวกับสุนัขตาย
ในที่นั้นทุกเสียงเงียบกริบ ครู่หนึ่งมีคนกล่าวว่า
“ในที่ประชุมนี้ บัณฑิตรักคุณธรรมมากมายเช่นนี้ เจ้าสังหารหมดหรือ?”
คนผู้นี้อยู่ในหมู่คนที่คุกเข่าอยู่กับพื้น ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนกล่าว หวังทงยิ้มไม่พอใจ เสียงดังตอบไปว่า
“สังหารหมด ข้าสังหารพวกนอกด่านมาหลายหมื่นแล้ว ที่นี่ก็แค่พันเท่านั้น”
เบื้องหน้าเงียบกริบไปหมด
Comments for chapter "ตอนที่ 900 กระแสถาโถมใส่ขุนนางราชสำนัก"
MANGA DISCUSSION
Leave a Reply Cancel reply
This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.
Kyoshimamaru
มันต้องแบบนี้สะใจ มาต่อด้วยยยยยค้าง
yoyo
ทันต้องอย่างนี้สิ หลังจบเรื่องหวังว่าเจ้าอ้วนว่านหลี่จะสำนึกนะ
TheKing
จบเรื่อง ฮ่องเต้ก็คงยิ่งหวาดระแวง แต่หวังทง น่าจะเตรียมการไปตั้งตัวนอกด่านเรียบร้อยแล้ว