องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 904 กลุ่มพันธมิตรที่ชาญฉลาด
“พระสนมเอกต้องการพบข้า?”
หวังทงถามอย่างแปลกใจ เจ้าจินเลี่ยงย่อมพยักหน้า พระสนมในวังต้องการพบขุนนาง ส่วนใหญ่ต้องมีสถานะเป็นไทเฮาก่อน เช่น ไทเฮาฉือเซิ่ง จึงทำได้ แต่พระสนมเอกเจิ้งตอนนี้ยังไม่ใช่ แน่นอน สามปีก่อนตอนในวังกับต่อสู้กับกลุ่มก่อจลาจล หวังทงก็เคยได้เข้าเฝ้าพระสนมเอกเจิ้ง
สถานการณ์ตอนนี้กับตอนนั้นต่างกัน หวังทงลังเลเล็กน้อยก่อนจะจัดแต่งเกราะตนให้เรียบร้อยตามเจ้าจินเลี่ยงเข้าไป
ตอนอยู่ตำหนักฉือหนิงกง ขันทีกับนางกำนัลล้วนมองหวังทงด้วยความโกรธแค้น อยากจะจับเขาลอกหนังทิ้งแล้วกินเนื้อ พออยู่ตำหนักเฉียนชิงกง ขันทีกับนางกำนัลกลับแสดงท่าทีนอบน้อมยิ่ง และยังมาจากใจอีกด้วย
สำหรับคนในวังแล้ว นายตนได้เรืองอำนาจหรือไม่ก็หมายถึงตนเองมีวาสนาต่อไปหรือไม่ หากนายตนสูญอำนาจ พวกตนก็ย่อมไร้ค่า
หวังทงในความคิดพวกเขาจึงเป็นดังผู้มีพระคุณยิ่งใหญ่
แต่ในนอกย่อมมีข้อห้ามชัดเจน หวังทงเดินไปตามระเบียงคด นางกำนัลก็ย่อมหลบแต่ไกล หลบอยู่สองข้างทางลอบมองเขาพากันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
หวังทงย่อมไม่มองซ้ายขวา เขายังคงรักษาจังหวะก้าวเดินต่อไปเงียบๆ ตามระเบียงคด มีขันทีอายุมากก็มิได้มาไล่นางกำนัลเข้มงวดเท่าไร
เดินมาไม่นานก็มาถึงพระที่นั่งกลางตำหนัก หวังทงถูกนำทางเข้าไปในกลางลานด้านหน้า ขณะรออยู่นั้น เจ้าจินเลี่ยงก็วิ่งออกมารายงาน ลานนี้น่าจะเป็นลานประทับส่วนพระองค์ แต่มองไม่เห็นความหรูหราฟุ่มเฟือยใด แต่ความประณีตก็ยังคงพอเห็นอยู่บ้าง หวังทงกวาดตามองไปรอบหนึ่งก็ก้มหน้านิ่งยืนตรง
ผ่านไปครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงเคลื่อนไหว เงยหน้าขึ้นมองเล็กน้อย นางกำนัลสองคนเปิดประตูปิดม่าน ไม่นานก็มีคนส่งเสียงดังรายงานว่า
“พระสนมเอกเสด็จ”
เสียงไม่ดังนัก หวังทงรีบคำนับ กำลังจะโขกศีรษะ ก็กลับได้ยินสตรีหลังม่านกล่าวว่า
“เราแม่ลูกได้รับบุญคุณจากใต้เท้าหวัง จะรับการคุกเข่าคำนับใต้เท้าหวังได้อย่างไร รีบลุกขึ้นเถิด”
หวังทงหยุดการเคลื่อนไหว หากก็ยังคำนับก่อนจะลุกขึ้น เสียงหลังม่านเงียบไปครู่หนึ่ง พระสนมเอกเจิ้งจึงได้ตรัสว่า
“ฉางสวินอายุยังน้อย วันหน้าก็คงต้องหวังพึ่งใต้เท้าหวังอีกมาก ลมฝนกระหน่ำมาก็ขอใต้เท้าหวังช่วยเหลือ ขอรบกวนใต้เท้าหวังแล้ว”
กล่าวถึงตรงนี้ ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวหลังม่านดังขึ้นอีก หวังทงเงยหน้ามอง ก็เห็นเงาหลังม่านค่อยๆ คำนับ หวังทงรีบคำนับตอบ กล่าวว่า
“ไม่อาจรับการคารวะจากพระสนมได้ ทำหวังทงอายุสั้นแล้ว ตอนนี้ในวังเรื่องแต่งตั้งรัชทายาท กระหม่อมเป็นขุนนาง ต้องทำหน้าที่ด้วยความภักดี ขอพระสนมวางพระทัยได้”
“วันหน้าอีกยาวไกล วาสนาใต้เท้าหวังเพิ่งเริ่มต้น ขอใต้เท้าหวังวางใจ”
พระสนมเอกเจิ้งกล่าวจบก็ไม่เคลื่อนไหวใด ไม่นาน ก็มีนางกำนัลเลิกม่านขึ้น พระสนมเอกเจิ้งเสด็จกลับไปแล้ว หวังทงสีหน้าคงเดิม ณ ที่นี่เขาไม่อาจไปไหนมาไหนเองได้ เจ้าจินเลี่ยงนำเขามา ก็ต้องให้เจ้าจินเลี่ยงนำเขาออกไป
พอม่านเลิกขึ้นได้ครู่หนึ่ง เจ้าจินเลี่ยงก็วิ่งเข้ามา ยิ้มกล่าวว่า
“พี่หวัง ฝ่าบาททรงง่วงมาก ขอบรรทมสักครู่ ทรงให้พี่หวังไปรอที่ห้องทรงอักษร จางกงกงเชิญท่านไปดื่มน้ำชาก่อน!”
หวังทงยิ้มรับคำ เดินตามเจ้าจินเลี่ยงออกไป พอออกจากตำหนักเฉียนชิงกง ออกมาไกลพอควรแล้ว หวังทงกลับให้เจ้าจินเลี่ยงไปบอกองครักษ์ในวังให้เปลี่ยนคนของเขาออกไป
ตอนนี้คนที่อีกฝั่งออกคำสั่งได้ล้วนถูกจับขังและปลดตำแหน่งไปหมดแล้ว สถานการณ์ตอนนี้หากไม่มีคำสั่งตามระเบียบ ย่อมไม่อาจเคลื่อนย้ายกำลัง หวังทงวางใจ ยามนี้หากยังให้ทหารติดตามตนเองเข้ามายังคงอยู่ในวัง คงเปิดโอกาสให้คนอื่นนำไปเป็นเรื่องใหญ่แน่นอน
ไปถึงห้องทรงอักษร เจ้าจินเลี่ยงกลับไม่นำเขาเข้าไป หากนำหวังทงไปยังเรือนเล็กข้างๆ เดินไปอธิบายไป กล่าวว่า
“จางกงกง ต้องอยู่ข้างพระวรกาย สำนักส่วนพระองค์ก็มีงานที่ไม่อาจรอช้าได้ ดังนั้นจึงให้คนมาสร้างเรือนเล็กไว้ที่นี่ เพื่อทำงานและพักผ่อน”
ข้างนอกเรือนก็มีผู้คุ้มกัน ทว่าเมื่อเจ้าจินเลี่ยงนำเข้ามาย่อมไม่มีผู้ใดขวาง หวังทงเข้ามาในห้อง จางเฉิงยิ้มโบกมือบอกให้หวังทงนั่งลง จากนั้นก็กล่าวกับเจ้าจินเลี่ยงว่า
“เสี่ยวเลี่ยง เจ้าไปยืนรอด้านนอก รอบๆ ไม่ให้คนไม่เกี่ยวข้องเข้าใกล้ ข้ามีเรื่องคุยกับใต้เท้าหวังหน่อย”
เจ้าจินเลี่ยงคำนับรับคำอย่างเชื่อฟัง จากนั้นก็วิ่งออกไปพร้อมปิดประตูลง ไม่นานก็ได้ยินเจ้าจินเลี่ยงตะโกนจากที่ไกลออกไป จางเฉิงจึงได้ยิ้มยกกาน้ำชาขึ้นเทให้หวังทง หวังทงรีบยืนขึ้นท่าทีเกรงใจ
“โจวอี้ ยังจับตาดูสนามฝึกเหนือไว้อยู่ ยังไงความคิดเจ้าก็ถูก ฝ่าบาท มีราชโองการให้พวกเขาเคลื่อนไหว พวกเขาบางทีอาจขัดราชโองการ แต่ให้พวกเขาไม่เคลื่อนกำลัง พวกเขากลับหาเหตุผลปฏิเสธไม่ได้ ข่าวเพิ่งมาว่า แต่ละหน่วยร้อนใจยิ่ง แต่กลับไม่กล้าลงมือเคลื่อนไหวพลการ”
จางเฉิงยิ้มกล่าว หวังทงยิ้มพยักหน้า จางเฉิงกล่าวต่ออย่างสบายอารมณ์ว่า
“กองกำลังสังกัดวังหลวง ใกล้กับที่นี่มาก แต่ก็ไม่กล้าทำอะไรพลการ โจวอี้กำลังจับตาดูพวกเขาไว้ มาถึงตอนนี้ ก็ไม่อาจก่อเรื่องใดได้แล้ว”
จางเฉิงสีหน้าผ่อนคลาย ยกจอกชาขึ้นจิบ สัพยอกว่า
“แผ่นดินหมิงเราตั้งแต่ตั้งราชวงศ์มาถึงบัดนี้ ขอเพียงมีโอรสมากกว่าหนึ่ง ก็ต้องเกิดกระแสแย่งชิงเรื่องแต่งตั้งรัชทายาท เกรงว่าเรื่องที่ตอกฝาโลงไปแล้ว ก็ยังมีคนคิดก่อไฟหาประโยชน์ต่ออีกเพื่อจะลองว่าพอจะสู้อีกได้ไหม ทว่ามีเรื่องกันถึงขั้นนี้นั้น มีน้อยมาก”
กล่าวถึงตรงนี้ สีหน้าจางเฉิงก็มีสีหน้าดูถูกและไม่พอใจกล่าวต่อว่า
“คนพวกนี้ในสายตามองเห็นแต่อำนาจและสถานะของจางจวีเจิ้ง กลับไม่ดูความสามารถของท่านจาง ทำเรื่องสมคบคิดน่าสะอิดสะเอียนนี้ออกมาได้ ช่างเลอะเลือน สมองพังไปหมดแล้วจริงๆ”
“ทว่าก็แค่กลุ่มน่ารังเกียจก่อเรื่อง จางกงกงไยต้องโมโหพวกคนเช่นนี้ด้วย”
“วันนี้ได้เห็นบรรดาขุนนางแล้ว ฎีกาที่ยื่นมาแต่ละฉบับอ้างคุณธรรมใหญ่กันทั้งนั้น แต่พอเอาจริง เห็นอาวุธตรงหน้าก็กลับแสดงท่าทีน่ารังเกียจเช่นนั้นออกมาได้ พวกเขาดูได้ซะที่ไหนกัน ตัวที่ป่วนจริงก็ลากออกไปนั่น เจ้าคนนั้นน่ะ มือพอมีอำนาจ ก็ไม่คิดปล่อยวาง มักคิดเอาคืน เพื่ออำนาจแล้ว แม่ลูกแท้ๆ ก็ยังไม่อาจนำพาอันใด ทำเอาจนเป็นเช่นนี้ ช่าง”
คนเราพอเคร่งเครียดแล้วคลายลงก็มักจะมีท่าทีปลดปล่อยเช่นนี้ วาจาก็ย่อมกล่าวออกมาอย่างไม่ทันคิดอะไรมาก จางเฉิงจิบชาไปก็หัวเราะไปว่า
“รู้สึกว่าฝ่าบาทยุ่งมากไป รู้สึกว่าข้าขวางทาง รู้สึกว่าคณะเสนาบดีใหญ่หลายคนขวางทาง ก็คิดใช้โอกาสนี้ก่อกระแสโจมตี ……หลายวันก่อนข้าก็คิด ตั้งแต่เป็นขันทีในวังอ๋องอวี้มาจนอยู่สำนักส่วนพระองค์ ขันทีร่างกายไม่สมบูรณ์อย่างข้า อะไรก็ผ่านมาหมด ยังเป็นหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์นานเช่นนี้ ยังคิดเอาอะไรอีก พวกเขาจะแย่งก็ให้ไปก็แล้วกัน แต่พอเห็นเจ้ากลับมา ใจข้าก็ผ่อนคลายลงไปมาก จึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วอำนาจนี้ข้าก็วางไม่ลงเช่นกัน”
จางเฉิงเยาะตนเอง หวังทงไม่ตอบรับ จางเฉิงส่ายหน้ากล่าวว่า
“จางจิงตอนอยู่ตำหนักอ๋องอวี้ก็มักเปรียบเทียบกับข้า เฝิงเป่าเขาเทียบไม่ติด ก็เลยเอาแต่จับตาข้าไว้ ข้ามาอยู่สำนักส่วนพระองค์ เขาก็ไปอยู่สำนักอาชาหลวง เขาสูงกว่าข้า เดิมคิดว่าจะเดินเส้นทางเฝิงเป่า อาศัยว่าเป็นคนโปรดไทเฮา ตำแหน่งหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ก็ควรให้เขาได้ดูแล ในในคงไม่พอใจ แต่จะทำไงได้ หลังครั้งนี้ไป เกรงว่าคงต้องกลับไปเฝ้าสุสานหลวงแทนแล้ว”
จางจิงเป็นคนโปรดไทเฮาฉือเซิ่ง ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่อาจสั่งเคลื่อนกำลังกองกำลังสังกัดวังหลวงมาข่มขุนนางกับอู่ชิงโหวได้ ก็เพราะว่าจางจิงคุมสำนักอาชาหลวงมานาน ผู้ใดก็ยากจะแทรกแซงสั่งการ การพลิกกระดานครานี้ จางจิงย่อมเสียอำนาจ เขากับจางเฉิงคบหากันมาหลายสิบปี ยามนี้ก็ย่อมอดใจหายไม่ได้
จางเฉิงยกถ้วยชาวางลง เคาะมือสองสามทีก็กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“จางจิงทำเองย่อมรับเอง เขาเองไม่เสียภายหลัง ผู้อื่นก็ไม่ต้องไปเสียดายแทน แต่ว่าจางหงนั้นช่าง…….ปฏิบัติหน้าที่ได้ดี แต่น่าเสียดายที่อ่านตำราร่ำเรียนมาจนสมองพังไปแล้ว!”
หวังทงได้แต่ยิ้มรับฟัง วาจาพวกนี้เหมือนคำบ่นของคนแก่เท่านั้น ฟังแล้วก็แล้วไป ไม่มีหน้าที่กล่าวแทรกอันใด
จางเฉิงกล่าวจบก็มองหวังทง จากนั้นกดเสียงให้เบาลงกล่าวว่า
“เจ้าไม่อยู่เมืองหลวง องครักษ์เสื้อแพรชุลมุนไปหมด เมืองหลวงนี้ไม่มีผู้ใดดูแล ไม่คนจับตา กระแสเมืองหลวงกับข้างนอกยิ่งหนักขึ้นเรื่อย สุดท้ายบีบจนฝ่าบาทไม่กล้าออกว่าราชการ แต่พอเจ้ากลับมา องครักษ์เสื้อแพรก็เริ่มทำงาน เจ้าอยู่จัดการอีกสักสองวันละกัน ตอนนี้ให้ทุกอย่างนิ่งสงบก่อน เจ้านี้ไม่ธรรมดาเลยนะ ไม่เสียทีที่เป็นถึงผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร”
สีหน้าจางเฉิงยังคงมีรอยยิ้ม แต่หวังทงที่นั่งอยู่กลับไร้รอยยิ้ม สองมือกำแน่นไม่รู้ตัว จ้องมองจางเฉิง หวังทงถอนหายใจยาว กลับคืนสู่ปกติ แต่กลางฝ่ามือยังคงชื้นเหงื่อ สีหน้าจางเฉิงยิ้มมากยิ่งขึ้น กล่าวอย่างสบายใจว่า
“เจ้าให้คนข้างนอกก่อเรื่องให้ใหญ่โต บีบให้ฝ่าบาทไร้หนทาง จำต้องเรียกตัวเจ้ากลับมาคุมสถานการณ์ ใช่แบบนี้หรือไม่?”
“จางกงกงกล่าวอันใด? หวังทงฟังไม่เข้าใจ!”
หวังทงตอบนิ่งๆ จางเฉิงยกชาขึ้นจิบ เหมือนว่าชานี้มีอันใดให้น่าพิสมัยอยู่มาก จิบไปก็ทอดถอนใจไป วาจากลับเปลี่ยนประเด็น
“ตอนนั้นเฝิงเป่าทำไมกุมอำนาจได้ ตอนนั้นจางจวีเจิ้งทำไมกุมอำนาจปกครองใต้หล้าได้ ก็เพราะพวกเขา หนึ่งนอก หนึ่งใน ร่วมประคองกัน ร่วมประสานกำลังกัน ร่วมช่วยเหลือกัน แต่พวกเขาสองคนหากไม่มีไทเฮาฉือเซิ่งสนับสนุน พวกเขาก็ย่อมราวกับไร้แหล่งน้ำ ไม่อาจต่อเนื่องมาได้ถึง 20 ปีเช่นนี้หรอก”
เบื้องหน้าเป็นชายชราท่าทางอ่อนแอ หากตนลงมือ ก็อาจจะสร้างสถานการณ์ว่างตายกะทันหันเองได้ แต่หวังทงกลับสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะสลัดความคิดนี้ทิ้ง เรื่องยังไม่ถึงขั้นนั้น
“ตอนนี้ข้ามาถึงจุดสูงสุดแล้ว นอกวังเจ้าก็ถือว่าสูงสุดแล้ว พระสนมเอกเจิ้งก็ได้เป็นพระมารดารัชทายาทแล้ว ตำแหน่งไทเฮานั้นก็คงไม่ช้าไม่เร็ว เจ้าดูสิ เหมือนกับตอนนั้นไหม?”
“กงกงหมายความว่า?”
หวังทงตอนนี้รู้สึกผ่อนคลายลง จางเฉิงกล่าวอย่างสบายอารมณ์ว่า
“พระสนมเอกพระชนมายุไม่มาก เจ้าก็แค่ 20 ต้นๆ ข้าแก่แล้ว ยังไม่รู้จะปรนนิบัติฝ่าบาทไปอีกกี่ปี ทว่าโจวอี้เพิ่งจะ 40 เสี่ยวเลี่ยงเพิ่งจะ 13 วันเวลาแห่งวาสนายังอีกยาวไกล”