องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 905 สามีภรรยาสนทนายามค่ำคืน
ตอนฟ้าใกล้มืด หวังทงก็ออกจากวัง ฮ่องเต้ว่านลี่ที่คลายกังวลก็บรรทมหลับสนิท ไม่มีผู้ใดกล้ารบกวน ทุกคนรู้ว่า หลายเดือนมานี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ซูบผอมลงมาก ย่อมเป็นเพราะไม่ได้พักผ่อนให้ดี พอทุกอย่างจบลง ให้ฮ่องเต้ทรงพัก เรื่องใดๆ ก็ค่อยว่ากันวันพรุ่งนี้ ก็ยังทัน
แม้ว่าแสงตะวันยังคงมีอยู่ แต่ท้องถนนเมืองหลวงกลับไม่มีคนและรถม้าสัญจรแล้ว มีแต่ทหารองครักษ์เสื้อแพรพร้อมอาวุธและเจ้าหน้าที่ศาลซุ่นเทียนลาดตระเวนอยู่เท่านั้น วันนี้เมืองหลวงตรวจตราเข้มงวด พวกไม่เกี่ยวข้องห้ามออกมาเพ่นพ่าน ท้องถนนจึงย่อมต้องมีสภาพเช่นนี้
จะว่าไปหวังทงตอนนี้เหมือนมีสองบ้าน ส่วนใหญ่อยู่ที่เมืองกุยฮว่าเฉิง ที่นี่มีแค่ซ่งฉานฉานคนเดียว สะดวกมาก
หวังทงกลับถึงเมืองหลวงได้หลายวันแล้ว ทว่ากลับมาบ้านนี้เป็นวันแรก จวนในเมืองหลวงไม่รู้มีคนจับตาดูมากเท่าไร ยังไงต้องระมัดระวังให้รอบคอบไว้ก่อน
ไม่ได้พบซ่งฉานฉานมาครึ่งปี อายุซ่งฉานฉานก็ไม่มาก แต่มองแล้วซูบซีดลงมาก หลายวันนี้จิตใจหวาดกลัว กังวลอยู่มาก อยู่เมืองหลวงคอยปั่นสถานการณ์ ช่างลำบากนางเสียจริง
สามีภรรยาพบหน้า สถานการณ์ควบคุมได้แล้ว ซ่งฉานฉานที่ต้องทำตัวเข้มแข็งก็น่าสงสารมาก ต่อหน้าสามีตน ผู้หญิงก็มักจะแสดงความอ่อนแอของตนเองออกมา เรื่องพวกนี้ไม่ต้องพูดก็รู้กัน
เวลาอาหารค่ำ สั่งให้คนรับใช้ออกไป หวังทงบอกกับซ่งฉานฉานเรื่องที่คุยกับจางเฉิง พอได้ยินเช่นนี้ ช้อนในมือซ่งฉานฉานก็ร่วงลงกับพื้น สีหน้าตกใจซีดเผือด อดตัวสั่นไม่ได้
“เจ้าไม่ต้องกลัว เรื่องที่เราจัดการเมืองหลวงเช่นนี้ นอกจากพวกสมองอ่านตำราจนพังไปหมดดูไม่ออกแล้ว ก็มีแต่คนที่ใกล้ชิดกับเราหน่อยที่พอเห็นร่องรอย”
หวังทงปลอบเบาๆ นับว่าแผนการครั้งนี้ผ่านพ้นไปด้วยดี ซ่งฉานฉานตะโกนเรียกสาวใช้เข้ามาเก็บ ดื่มน้ำแกงมือสั่น ก่อนจะสงบสติลงได้ หวังทงกล่าวว่า
“ทว่าเรื่องนี้หากปล่อยให้พวกหยางเหว่ยทำสำเร็จ จางเฉิงจางกงกงก็ไม่อาจรักษาสถานะในสำนักส่วนพระองค์ไว้ได้ พวกหลี่ว์วั่นไฉก็ย่อมต้องจบสิ้นเช่นกัน พวกเขาย่อมช่วยกันปิดบัง จึงได้ผ่านมาได้อย่างหวุดหวิดถึงบัดนี้”
“นายท่าน……จางเฉิงอย่างไรก็อยู่ข้างกายฮ่องเต้ เขาไม่พูดออกไป?”
“ย่อมไม่ หากข้าไม่มีจางเฉิงช่วยเหลือ ตำแหน่งนี้ย่อมไม่มั่นคง เช่นกัน จางเฉิงไม่มีข้าประสานนอกวัง เขาเองก็ไม่อาจอยู่ได้นาน ทุกคนพึ่งพาอาศัยกัน สายพันธมิตรนี้ยังอยู่ ก็ย่อมไม่พูดออกไป”
เห็นสีหน้าซ่งฉานฉานงง หวังทงก็ยิ้มกล่าวว่า
“จางเฉิงวันนี้กล่าวกระจ่างแล้ว เขาเองอายุมากแล้ว ตำแหน่งนี้ก็หวังส่งต่อให้โจวอี้ รอให้โจวอี้อายุมาก ก็คงเป็นเวลาของเสี่ยวเลี่ยงบ้างแล้ว ยังบอกว่าข้าอายุยังน้อย จึงต้องเตรียมการเพื่อวันหน้าอีกยาวไกล ไม่เพียงแต่เพื่อเขากับข้า แต่ยังเพื่อเหล่าลูกศิษย์ของเขาเช่นกัน เรื่องอีกยาวไกล ไม่เพียงแต่เกี่ยวพันกับเขา ยังเกี่ยวพันพรรคพวกเขาด้วย จางเฉิงย่อมรู้จักหนักเบาดี”
กล่าวถึงตรงนี้ ซ่งฉานฉานจึงได้สงบลงได้ พึ่งพากันและกัน ประคองกันและกัน อำนาจในวังกับอำนาจนอกวังร่วมเป็นพันธมิตรกัน นี่เป็นหลักการธำรงอำนาจวาสนาให้สืบต่อไป ความลับเช่นนี้ก็ย่อมเป็นสายเชื่อมโยงกัน หากกล่าวออกไปก็ไม่มีประโยชน์ ยังมีอีกเรื่อง จางเฉิงเองก็แก่แล้ว เขาคิดถึงอำนาจวาสนา และก็คิดถึงคนของเขาเช่นกัน โจวอี้กับเจ้าจินเลี่ยง รวมถึงไช่หนานกับเมิ่งตั๋วล้วนเป็นคนใกล้ชิดกับหวังทง หากรักษาสัมพันธ์ยาวนาน ไม่เพียงแต่มีผลดีต่อเขา หากต่อพรรคพวกเขาเองก็ย่อมมีผลดีระยะยาว นี่เป็นหนึ่งในสาเหตุที่เป็นหลักประกันได้
หวังทงกับฮ่องเต้ว่านลี่รุ่นราวคราวเดียวกัน นายบ่าวล้วนวัยหนุ่ม วาสนาวันหน้าอีกหลายสิบปี ในวังโจวอี้กับเจ้าจินเลี่ยงก็ต้องการคนคอยประคอง หวังทงย่อมให้ความคุ้มครองได้ นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่จางเฉิงคิดได้
ทว่าเรื่องนี้ว่าไปแล้วก็ทำให้คนรู้สึกหวาดกลัวไม่น้อย ซ่งฉานฉานอยู่เมืองหลวงทำเรื่องเช่นนี้กลับมีจางเฉิงพบเห็น ยังช่วยปิดบัง หากกลับกัน เกรงว่าคงมีความผิดโทษล้างตระกูลเป็นแน่
กลัวก็ส่วนกลัว อย่างไรก็สำเร็จไปแล้ว ผ่านไปอย่างปลอดภัย สองสามีภรรยาจากกันมานาน การจากกันระยะหนึ่งทำให้โหยหายิ่งกว่าแต่งงานกันใหม่ๆ ความวิตกเหล่านี้จึงได้แต่ปล่อยวางไปก่อน
หลังจากร้อนแรงหายคิดถึงกันแล้ว ซ่งฉานฉานก็ซบอยู่อ้อมกอดหวังทงถามขึ้นอย่างไม่แน่ใจว่า
“นายท่านไม่รู้ว่าจากนี้ไปจะเกิดเหตุจับเข้าคุกครั้งใหญ่หรือไม่ พวกหยางเหว่ยหากถูกคิดบัญชี ข้าเกรงว่าคงต้องเตรียมการไว้ก่อน”
สามีภรรยาอื่นยามนี้คงต้องคุยเรื่องรักเรื่องใคร่กัน แต่คู่นี้กลับคุยเรื่องงาน หวังทงเองก็ไม่รู้สึกแปลกอันใด ได้แต่ตอบเรียบๆ ว่า
“ดีไม่ดีก็อาจแค่ถูกปรับเบี้ยหวัด คนที่ถูกปลดก็คงไม่มากนัก”
ซ่งฉานฉานเชื่อในการวิเคราะห์ของหวังทง อย่างน้อยการจัดการของหวังทง ก็สามารถจัดการเรื่องต่างๆ ได้มากมาย สถานการณ์เมืองหลวงเดินไปในทิศทางที่เขาคาดไว้หมด
ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ ซ่งฉานฉานกลับกังวล กล่าวอย่างกังวลใจว่า
“นายท่านหากขุนนางพวกนั้นยังอยู่ นายท่านใช่ว่าอยู่ลำบากงั้นหรือ เกรงว่าข้อพิพาทกับนายท่านคงไม่จบ หลังเรื่องนี้ นายท่านย่อมเป็นเป้าของทุกคนแล้ว!”
หวังทงปลุกปลอบซ่งฉานฉานเบาๆ ก่อนจะมองเพดานเตียงกล่าวเบาๆ ว่า
“หากฝ่าบาทไล่พวกเขาออกหมด ผู้ใดจะมาปฏิบัติหน้าที่ ผู้ใดจะมาจัดการการงานใต้หล้า และหากไม่มีพวกเขา ผู้ใดจะมาสมดุลอำนาจกับข้าและพวกจางกงกงเล่า”
กล่าวถึงตรงนี้ หวังทงเยาะตนเองขึ้นว่า
“เหลือพวกนี้ไว้ก็ดี ไม่เช่นนั้นฝ่าบาทไหนเลยจะเห็นความสำคัญข้า!”
วาจาไม่กระจ่าง แต่ซ่งฉานฉานกลับฟังเข้าใจ ความกังวลมาทั้งคืน อยู่ๆ พลันมลายหายไปสิ้น นกหมดเก็บธนู กระต่ายตายหมดหมาถูกต้มแทน แต่นกไม่หมด กระต่ายไม่ตาย ย่อมต้องไม่มีเรื่องถึงฝั่งรื้อสะพานทิ้งเป็นแน่
*************
ฮ่องเต้ว่านลี่บรรทมหลับสนิท จางเฉิงทนไม่ไหวกลับไปพักก่อน เจ้าจินเลี่ยงกลับต้องเฝ้าอยู่ข้างนอกไม่กล้าไปไหน คืนนี้พระสนมเอกเจิ้งอุ้มโอรสมาเป็นเพื่อน
พระสนมเอกเจิ้งที่หวาดกลัวมาตลอดสองเดือนก็เริ่มมีสีหน้าสดชื่นขึ้น ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งบนเตียงบรรทม มองไปยังเปลที่ไกลพระโอรส มองไปยังฮ่องเต้ว่านลี่ที่กรนบรรทมอยู่
ตอนพระสนมเอกเจิ้งเพิ่งจะเป็นที่โปรดปรานก็เคยทรงคิดแต่งตั้งเป็นฮองเฮา แต่พระนางฉลาดมาก รู้ได้ทันทีว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะฮองเฮาหวังเป็นคนที่ไทเฮาฉือเซิ่งเลือกให้ฮ่องเต้ว่านลี่ อำนาจไทเฮาฉือเซิ่งแม้ขึ้นลงไม่แน่นอน แต่เรื่องในวังก็มีสิทธิ์เด็ดขาด
สุดท้าย พระสนมเอกเจิ้งถึงกับกังวลว่าตำแหน่งพระองค์ตอนนี้จะถูกแทนที่หรือไม่ เพราะพระสนมกงได้มีโอรสองค์แรกให้แก่ฮ่องเต้ว่านลี่ การปรากฏขึ้นของพระสนมกงทำให้พระนางไม่เป็นสุข พระสนมกงยังเป็นนางกำนัลจากตำหนักไทเฮาฉือเซิ่ง มีแรงสนับสนุนเช่นนี้ ย่อมทำให้พระนางสะเทือนไม่น้อย
ส่วนเรื่องฮ่องเต้ว่านลี่อยู่ ๆ กลับบังเอิญบรรทมกับพระสนมกงในตอนนั้นที่ยังเป็นนางกำนัล ให้กำเนิดพระโอรสแล้ว ก็เข้าพระกรรณไทเฮาฉือเซิ่ง จากนั้นก็บีบให้ฮ่องเต้ว่านลี่รับ พระสนมเอกเจิ้งไม่เชื่อเรื่องนี้
พระนางอยู่ในวังหลังมานาน ผู้หญิงมากมาย จะมีเหตุบังเอิญเช่นนี้ได้อย่างไร สำหรับฮ่องเต้ว่านลี่อาจเรียกว่าบังเอิญ แต่สำหรับไทเฮาฉือเซิ่งก็ไม่แน่นัก กล่าวได้เพียงว่าตำหนักฉือหนิงกงเตรียมการเรื่องนี้มาตลอด แม้ว่าครั้งนี้พระสนมกงไม่ตั้งครรภ์ ครั้งหน้าก็อาจมีนางกำนัลใดสักนางที่ ‘บังเอิญ’ อีกก็เป็นได้
ทว่ามาถึงตอนนี้ ทุกอย่างแน่นอนแล้ว ไทเฮาฉือเซิ่งออกจากวังไปแล้ว พวกที่ร่วมกันข้างนอกก็ถูกกำราบแล้ว โอรสตนเองได้เป็นรัชทายาทแล้ว แม้ว่าตอนนี้เป็นแค่พระสนมเอก แต่จะได้เป็นฮองเฮาก็คงอีกไม่ไกลแล้ว
ฮองเฮาเป็นอันดับหนึ่งในวังหลัง ทว่าพระสนมเอกเจิ้งไม่คิดเพียงแค่นี้ วังหลังราวกับวงการขุนนาง ตำแหน่งในรัชสมัยนี้ไม่ได้หมายความว่าจะอยู่เช่นนี้ตลอดไป วังหลังมีการแก่งแย่งกันไม่หยุด คิดจะรักษาสถานะตนเองไว้ ก็ต้องคิดให้โอรสตนได้ดำรงตำแหน่งรัชทายาทให้มั่นคง จนได้ขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้ เช่นนั้นก็ต้องมีพันธมิตร มีการสนับสนุน คนอื่นทำเช่นไร ตนเองก็จะทำเช่นนั้น
ตัวอย่างก็มีให้เห็น ไทเฮาฉือเซิ่งทำเช่นไร ไม่ใช่ว่าในวังมีเฝิงเป่า นอกวังมีจางจวีเจิ้งงั้นหรือ สำหรับพระนางแล้ว สถานการณ์ตอนนี้ ในวังมีพวกจางเฉิง นอกวังมีพวกหวังทง และอำนาจเขาสองคนก็ยังต้องได้รับการสนับสนุนจากคนในวัง
พระสนมเอกเจิ้งยอมฝ่าฝืนธรรมเนียมในวัง ยอมไม่สนใจธรรมเนียมจารีตเว้นระยะห่างกับขุนนาง ต้องการที่จะคำนับหวังทงหลังม่าน พระสนมเอกเจิ้งคิดจะส่งเสริมคนที่ไว้ใจมาเป็นหัวหน้าตำหนักเฉียนชิงกง หัวหน้าตำหนักเฉียนชิงกงแม้ว่าไม่ได้อยู่ในระบบ 12 สำนักขันที แต่ก็เป็นตำหนักที่ประทับหลักของฮ่องเต้ ตำแหน่งไม่เป็นรองหัวหน้าสำนัก 12 สำนักขันทีในวัง ถึงกับอาจจะสูงกว่าสำนักที่ไร้อำนาจด้วยซ้ำไป คนที่พระสนมเอกเจิ้งเลือกก็คิดไว้แล้ว ก็คือเจ้าจินเลี่ยง แม้ว่าอายุยังน้อย แต่ก็สนิทกับจางเฉิงและหวังทง และยังจงรักภักดีต่อฮ่องเต้ว่านลี่ คนเช่นนี้ไม่ส่งเสริมแล้วจะส่งเสริมผู้ใด
พระสนมเอกเจิ้งกำลังคิดอยู่นั้น ก็ไม่ทันระวังฮ่องเต้ว่านลี่ที่บรรทมอยู่ อยู่ๆ ผุดลุกขึ้นในคืนเงียบสงบ ในห้องมีแสงไฟริบหรี่ ฮ่องเต้ว่านลี่อยู่ๆ ผุดลุกขึ้น ทำเอาพระสนมเอกเจิ้งตกใจสะดุ้ง ดีที่ไม่ได้ส่งเสียงหวีดร้องออกมา แม้เป็นเช่นนี้ ทารกในเปลก็ตกใจส่งเสียงแผดร้องดัง
ฮ่องเต้ว่านลี่กวาดพระหัตถ์ไปใต้หมอน สูดลมหายใจเข้าอย่างแรง ก่อนจะเริ่มชินกับความมืด มองไปยังพระสนมเอกเจิ้ง ยามนี้นับว่าทรงตื่นบรรทมดีแล้ว ตรัสขึ้นว่า
“ไม่ต้องมากพิธี รีบกล่อมฉางสวิน”
พระสนมเอกเจิ้งรีบอุ้มโอรสขึ้นมาปลอบ ฮ่องเต้ว่านลี่จ้องมองไปยังแสงโคมไฟข้างพระแท่นบรรทมนิ่งไปพักหนึ่งก็ตรัสสุรเสียงดังว่า
“ข้างนอกมีใครอยู่บ้าง!”
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมพะยะค่ะ!”
เจ้าจินเลี่ยงรับคำวิ่งเข้ามา ฮ่องเต้ว่านลี่ลังเลครู่หนึ่งตรัสว่า
“เราต้องการพบเจิ้งกั๋วไท่ตอนนี้ รีบไปจัดการ!”
เจ้าจินเลี่ยงอึ้งไป รีบวิ่งออกไปทันที กลางคืนประตูวังปิดแล้ว แต่คิดออกไปก็มีวิธี พระสนมเอกเจิ้งกล่อมพระโอรส คิดจะถาม แต่ดูสีหน้าเคร่งเครียดฮ่องเต้ว่านลี่แล้วก็เงียบต่อ
*************
“ตอนนั้นที่เจ้าเอาราชโองการเราให้หวังทงอ่าน หวังทงมีปฏิกิริยาเช่นไร!”
เจิ้งกั๋วไท่ยังสวมชุดขุนนางไม่เรียบร้อยดี อยู่ๆ ถูกปลุกเรียกเข้าเฝ้ากลางดึก รีบร้อนเข้าวัง น่าแปลกจริงที่ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงถามเช่นนี้ เจิ้งกั๋วไท่ลังเลครู่หนึ่งทูลว่า
“เขาถามก่อนว่าฝ่าบาททรงปลอดภัยดีหรือไม่ จากนั้นก็บอกว่าตนเองครานี้คงได้ลาออกจากตำแหน่งกลับบ้านเกิดแล้ว จากนั้น…..จากนั้นก็รีบเร่งเดินทางมาเมืองหลวง”
พอฟังจบ ฮ่องเต้ว่านลี่ที่เคร่งเครียดก็ผ่อนคลายลง กลับเริ่มหาวแทน โบกพระหัตถ์ตรัสว่า
“เจ้ากลับไปได้ เราเหนื่อยแล้ว ยังอยากนอนต่ออีกสักหน่อย!”