องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 906 แผนการครอบคลุม
วันที่ 16 เดือนเจ็ด เมืองหลวงเงียบกว่าปกติมาก แม้เป็นเขตที่ทำการหรือที่พักขุนนางและชนชั้นสูงก็ไม่แตกต่าง เขตทักษิณก็เช่นกัน
จวนอู่ชิงโหวที่ถูกคุมเข้ม ประตูหน้าและประตูหลังจวนอู่ชิงโหวมีทหารองครักษ์เสื้อแพรเฝ้ารักษาการณ์ หากคนในนั้นต้องการซื้อหาสิ่งใด คิดจะจัดการงานการใด ก็ทำได้เพียงแค่ให้องครักษ์เสื้อแพรไปดำเนินการ คนข้างนอกคิดจะส่งอันใดเข้าไป ก็จะถูกตรวจสอบก่อนจึงส่งเข้าไปได้
คนในจวนหากคิดจะคุยอันใดกับองครักษ์เสื้อแพร ทหารองครักษ์เสื้อแพรต้องมีสองสามคนร่วมรับฟัง ไม่เช่นนั้นหากปรี่เข้าไปคุยส่วนตัวก็จะถูกลงโทษทางวินัย
ไทเฮาฉือเซิ่งตรัสว่าคิดถึงอู่ชิงโหว คิดจะไปพำนักสักสองสามวัน ทว่าหลายคนเมืองหลวงจะไม่รู้ได้อย่างไรว่ามีอันใดแฝงอยู่ นี่เป็นการขับไล่ไทเฮาฉือเซิ่งออกจากพระราชวังต้องห้าม
เริ่มแรกข้างนอกมีคนแอบครุ่นคิดเองว่า ฮ่องเต้ว่านลี่ทำเช่นนี้ไม่ถูกต้อง ไทเฮาฉือเซิ่งแม้ไม่มีอำนาจ แต่ก็ยังตำแหน่ง กล่าวให้ชัดก็คือ หากคิดจะปลดฮ่องเต้ อัญเชิญองค์เทพเช่นไทเฮาออกมาจัดการก็ยังได้อยู่ องค์เทพเช่นนี้ปล่อยไว้ข้างนอก ใช่ว่าฝังรากภัยร้ายเอาไว้ให้ลงลึกหรอกหรือ?
ทว่าพอได้เห็นการเฝ้าคุมของทหารองครักษ์เสื้อแพรที่เข้มงวดแล้ว ทุกคนก็เข้าใจกระจ่าง ย่อมต้องมีแผนรับมือไว้แล้ว ยามนี้ทุกคนได้แต่แอบอึ้งพูดไม่ออก ฝ่าบาทไม่ใช่ว่ากตัญญูหรอกหรือ? เหตุใดจึงกล้าลงมือเช่นนี้ได้ ไล่พระมารดาพระองค์ออกมาได้อย่างไรกัน
แต่อู่ชิงโหวกลับรู้สึกขอบพระทัย ตามข่าวจากจวนอู่ชิงโหวที่แพร่ออกมา ไทเฮาฉือเซิ่งพอถึงจวนอู่ชิงโหว สองพี่น้องกอดกันร่ำไห้ จวนอู่ชิงโหวย่อมจัดหาที่พักที่สมพระเกียรติให้ไทเฮาฉือเซิ่ง ตกค่ำไทเฮาฉือเซิ่งเสวยอยู่ อู่ชิงโหวถึงกับไปปลอบด้วยตนเองทั้งน้ำตาว่า
“วันนี้ไม่ต้องเรียกท่านพี่ว่าไทเฮา เราพี่น้องได้ร่วมโต๊ะทานอาหาร ตอนนี้เงินทองมากมายอาหารการกินก็สมบูรณ์ ใต้หล้าให้การยกย่อง ก็ควรพอใจแล้ว ลูกชายท่านพี่ได้เป็นฮ่องเต้ และยังบุกเบิกแผ่นดินให้กว้างออกไป ยังตั้งด่านเก็บภาษีเข้าคลังหลวงได้ ทำได้ไม่เลว ท่านพี่ยังต้องกังวลสิ่งใด ท่านพี่เป็นมารดาจะไปแย่งชิงอันใดกับลูกชายตนเองกัน ข้าเป็นน้าชายอยู่ตรงกลางก็รู้สึกอึดอัดยิ่ง ท่านพี่ ท่านออกมาอยู่ที่นี่ ข้าผู้เป็นน้องก็เบาใจ ท่านพี่ไม่รู้หรอกว่าทุกครั้งที่ท่านพี่มีเรื่อง ข้าก็นอนไม่หลับ วัน ๆ ได้แต่จุดธูปไหว้พระขอให้ท่านพี่ปลอดภัย ตอนนี้จบเรื่องแล้ว ท่านพี่ออกจากวังมาแล้ว ได้เสวยความสุขและวาสนาไปตลอดชีวิตแล้ว อย่างไรก็ไม่ได้ถูกกวาดล้างชั่วโคตรก็ดีแล้ว?”
วาจานี้กล่าวจบ พระพักตร์ไทเฮาฉือเซิ่งก็บึ้งตึงทันที โยนตะเกียบใส่ อู่ชิงโหวแม้ว่าสูงศักดิ์มานานหลายปี แต่ก็เคลื่อนไหวว่องไว หลบทันพอดี
หลังมีเรื่องกันเช่นนี้ ไทเฮาฉือเซิ่งก็ร่ำไห้ไปเกือบครึ่งชั่วยาม คืนนั้นไม่ได้บรรทมทั้งคืน รุ่นขึ้นจึงได้ผล็อยหลับไป ทว่านางกำนัลรับใช้เล่าว่า ไทเฮาเหมือนปล่อยวางได้แล้ว สีพระพักตร์ดีขึ้นแล้ว นี่เป็นเรื่องแปลกเรื่องหนึ่ง
อันดับสองในวังเช่นจางจิง วันที่ 15 เดือนเจ็ดตอนบ่ายก็บอกว่าสุขภาพอ่อนแอ ไม่อาจรับใช้สำนักส่วนพระองค์ได้แล้ว ขอไปหนานจิงหรือไม่ก็สุสานที่เฟิ่งหยางแทน ฮ่องเต้ว่านลี่มีพระราชานุญาตทันที
อันดับสามในวังเช่นจางหง วันที่ 16 เดือนเจ็ด เช้ามาก็ขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้ว่านลี่ ที่ต้องการทูลก็คือฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ควรแต่งตั้งองค์ชายรองเป็นรัชทายาท ฮ่องเต้ว่านลี่ย่อมไม่ให้เข้าเฝ้า จางหงยื่นจดหมายตนเองไป จากนั้นก็กลับไปยังที่พัก แล้วมีจดหมายอีกฉบับให้จางเฉิง
จดหมายบอกว่าตนเองไม่อาจทนเห็นการฝ่าฝืนจารีตทำลายหลักการเช่นนี้ได้ จึงขออดอาหารตายแทน อ่านจดหมายนี้แล้ว จางเฉิงถอนหายใจ กลับไม่ส่งคนไปเตือน กล่าวเพียงว่า
“น่าเสียดายๆ”
พอจางจิงจากไป ตำแหน่งเดิมก็มอบให้จางเฉิงควบรวมไป จะว่าไปยามนี้จางเฉิงเรียกได้ว่าเหมือนกับเฝิงเป่าในตอนนั้นมาก ล้วนควบตำแหน่งหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์และหัวหน้าสำนักบูรพา ทว่าจะว่าไปก็ไม่ต่างกันนัก นายกองพันเซวียจานเยี่ยสำนักบูรพาเดิมเป็นคนสนิทจางเฉิง ไม่เช่นนั้นเมืองหลวงวุ่นวายมานานหลายเดือน แต่ไม่เกิดเรื่องอันใดมากมายเท่าไร ครั้งนี้จึงได้ครองตำแหน่งไปอย่างไม่มีผู้ใดค้าน
ตำแหน่งจางหงที่ว่างลงก็ให้เถียนอี้แห่งสำนักส่วนพระองค์เข้าแทน ในวังที่ความคิดและท่าทางเหมือนบัณฑิตที่สุด หนึ่งคือจางหง สองคือเถียนอี้ ครั้งนี้จางหงแสดงออกชัดเจนไม่ยอมอ่อนข้อ แต่เถียนอี้กลับเงียบไม่พูดอันใด ดังนั้นจึงเป็นเหตุให้ได้รับแต่งตั้ง
แต่ผลเป็นเช่นนี้ ทุกคนก็รู้สึกเหนือความคาดหมาย เดิมทุกคนคิดว่า ตำแหน่งจางจิงกับจางหงที่ว่างลง ย่อมมีตำแหน่งหนึ่งเป็นของโจวอี้ คิดไม่ถึงว่าโจวอี้ยังคงตำแหน่งเดิม
***************
ในการออกว่าราชการหน้าพระที่นั่งเกิดเรื่องใหญ่เช่นนั้น ขุนนางทุกคนล้วนหวาดระแวงกันมาก หลายเดือนนี้ เรื่องแต่งตั้งโอรสองค์โตเป็นรัชทายาทนั้น คนที่ไม่ได้ร่วมยื่นฎีกาล้วนได้เลื่อนตำแหน่ง เมื่อวานมีเรื่องกันดุเดือด พวกที่ร่วมขบวนการล้วนรู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก
แม้ว่าทั้งหมดมีเพียงสองคนที่โดนลงมือ ก็คือสองคนที่ไม่เคารพฮ่องเต้ต่อหน้าพระพักตร์จึงถูกจับเข้าคุก คนที่เหลือได้กลับบ้านปกติ แต่สถานการณ์พลิกผัน ทำให้ทุกคนไม่อาจวางใจได้ รอคอยว่าจะถูกจัดการอย่างไรต่อไป
ทว่าในวังก็ไม่ได้มีข่าวว่าจะจัดการหรือลงโทษอย่างไรออกมา พอขุนนางกลับถึงจวนก็มีคนคิดส่งข่าวไปมาระหว่างกัน แต่ท้องถนนยามนี้คุมเข้ม มีหลายคนที่ออกไปนอกบ้านถูกจับกุมทันที คนที่เหลือก็ไร้ความกล้าที่จะติดต่อกัน
ตอนกลับถึงบ้านพวกเขาจึงได้รู้ว่า ตอนขุนนางเข้าประชุมนั้น พวกองครักษ์เสื้อแพรจากหน่วยงานต่างๆ ก็เข้าเมืองมา ควบคุมเส้นทางเดินทางไปยังแต่ละประตูเมือง
จวนอู่ชิงโหวกับกรมทหารถูกทหารองครักษ์เสื้อแพรล้อมไว้หมด เข้าออกไม่ได้ ที่จริงแล้วอาจกล่าวได้ว่าพวกในเมืองหลวงที่สามารถเคลื่อนกำลังทั้งพวกชนชั้นสูงและหน่วยงานทางการทั้งหมดล้วนถูกองครักษ์เสื้อแพรเฝ้าคุมไว้หมดแล้ว
ขันทีถ่ายทอดราชโองการก่อนการประชุมขุนนางก็ไปยังกองกำลังสังกัดวังหลวงและกองกำลังเมืองหลวง ราชโองการชัดเจนว่า ให้แต่ละหน่วยงานห้ามเคลื่อนไหว ไม่มีราชโองการฮ่องเต้ หากเคลื่อนกำลังพลการถือว่าคิดกบฏ ผู้ใดก็สามารถจับตัวหัวได้ก่อนกราบทูล
พอจัดการทหารทุกหน่วยให้นิ่งได้แล้ว ขันทีที่ไปยังกองกำลังเมืองหลวงยังประกาศราชโองการให้นำกำลัง 3,000 นายเข้าป้องกัน กำลัง 3,000 นายนี้เป็นกำลังที่ฮ่องเต้ว่านลี่สั่งการได้ หัวหน้าหน่วยเหล่านี้ล้วนเป็นทหารที่ฝึกมาจากลานฝึกหู่เวย
สำนักองครักษ์เสื้อแพรและกองกำลังเมืองหลวง 3,000 นาย สามารถคุมที่สำคัญต่างๆ ในเมืองหลวงไว้ได้หมด ถนนหนทางก็จัดการควบคุมเข้มงวด ทางกองกำลังสังกัดวังหลวง คนที่ไปประกาศราชโองการก็คือโจวอี้แห่งสำนักอาชาหลวง หากไม่กล่าวถึงว่าโจวอี้เองเป็นหัวหน้าหน่วยงานในสำนักอาชาหลวง กองกำลังสังกัดวังหลวง เพียงแค่ราชโองการก็ไม่อาจต่อต้านแล้ว ฮ่องเต้มีราชโองการให้กองกำลังสังกัดวังหลวงแต่ละหน่วยอย่าเคลื่อนกำลังพลการ ผู้ใดคิดยังคิดเคลื่อนไหว แท้จริงแล้วต้องการอะไรกันแน่
ไม่ว่าที่ไปกองกำลังเมืองหลวง หรือกองกำลังสังกัดวังหลวง ขันทีถ่ายทอดราชโองการไม่ทำเหมือนปกติ หากพวกเขาให้ขุนนางบู๊ที่ไปถ่ายทอดราชโองการนำทหารติดตามมาก่อนจะประกาศ
กองกำลังทุกคนรู้ความในราชโองการ รู้ว่าฮ่องเต้ไม่ให้เคลื่อนกำลัง ยุ่งยากมากไปเรื่องหนึ่ง ไม่สู้ยุ่งยากน้อยลงเรื่องหนึ่ง ทุกคนไยไม่รู้สึกมีความสุขกับการได้อยู่เฉย ๆ เล่า หากยังมีคนคิดกวนน้ำให้ขุ่นเพื่อจับปลาแล้วล่ะก็ พวกทหารก็จะไม่ตามกระแสไปด้วย เพราะหากมีเรื่อง หัวหน้าอาจถูกลงดาบก็เป็นได้
ตอนกลางวันประตูเมืองหลวงก็ปิดแล้ว ทุกอย่างในเมืองล้วนอยู่ในการควบคุม
ที่จริงแล้วพวกหยางเหว่ยเหล่านี้ที่มาสู่ตำแหน่งสูงกัน คนในจวนของพวกเขาเองก็ว่องไวไม่น้อย กระแสหลายเดือนนี้พวกเขาก็รู้ดี มองออกว่าอยู่ๆ องครักษ์เสื้อแพรออกมาเข้มงวดกวดขัน ปิดเส้นทางติดต่อ ก็รู้แล้วว่าไม่ปกติ คิดจะรีบคาบข่าวไปบอกนายตนที่เข้าวังไป รวมถึงพวกสายข่าวนอกเมืองก็เช่นกัน
แต่พวกเขาคิดได้ หวังทงก็คิดเตรียมการไว้ก่อนแล้ว เจ้าหน้าที่ศาลซุ่นเทียนกับองครักษ์เสื้อแพรเป็นพวกรู้พื้นที่ จึงนำกำลังปิดไว้ได้หมด คิดออกจากจวนก็ไม่มีทางให้ไปต่อได้ ถึงกับมีคนที่เลี้ยงไว้นอกจวนคิดไปแจ้งข่าว ก็ถูกคนจับตัวส่งกลับมา ควรรู้ว่าจวนนอกของขุนนางเหล่านี้ ใช่ว่าคนในจวนจะรู้ว่าอยู่ที่ใด
พวกที่ถูกอาวุธข่มขู่ในที่การประชุมหน้าพระที่นั่งต่างตกใจกับการจัดการเช่นนี้ พากันสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ สงบสติ ฮ่องเต้ว่านลี่กับหวังทงขุดหลุมดักทุกคนไว้หรอกหรือนี่? คิดถึงหลายเดือนที่ผ่านมายื่นฎีกาแต่งตั้งโอรสองค์โตเป็นรัชทายาทดุเดือดกันมา รังเกียจว่าตนเองอายุยืนหรืออย่างไรกัน พระองค์เป็นฮ่องเต้ยังขับไล่พระมารดาออกจากวังได้ ยังจะสนใจขุนนางเช่นพวกเขาอีกหรือ
นอกจากพวกหยางเหว่ย คนอื่นๆ ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นใจ หากไม่ใช่พวกเจ้าก่อเรื่อง จะดึงทุกคนลงโคลนไปด้วยได้อย่างไรกัน จะว่าไป เรื่องนั้นแม้สำเร็จลง หรือว่าทุกคนจะได้ประโยชน์อันใดไปด้วย คิดถึงขุนนางกรมพิธีการผู้นั้นที่ด่าทอเสียงดัง ขุนนางส่วนใหญ่ก็ออกมาเริ่มเขียนฎีกาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ด้านหนึ่งก็ด่าทอพวกหยางเหว่ยว่าเป็นขุนนางชั่ว คิดการไม่ซื่อ อีกด้านหนึ่งก็สลัดทิ้งความสัมพันธ์ ประเด็นสำคัญก็คือต้องทูลว่าองค์ชายรองจูฉางสวินปรีชาสามารถ มีพระสติปัญญาแต่กำเนิด ควรได้เป็นผู้สืบทอด แท้จริงแล้วเด็กน้อยอายุไม่ครบเดือนดี อย่างไรก็ดูไม่ออกว่าเก่งกาจเช่นไร
ตอนแรกการแต่งตั้งรัชทายาทเรื่องนี้คิดว่ายืนถูกข้างแล้ว แต่ตอนนี้ต้องเร่งออกมาแสดงจุดยืนให้เร็ว ทุกคนไม่กล้ารอช้า
วันที่ 15 เดือนเจ็ด หลังวุ่นวายกันมานาน วันที่ 16 เดือนเจ็ดทุกคนก็หายใจหายคอไม่คล่องกัน แต่ในวังก็ไม่ได้มีความอะไรชัดเจนออกมา ควรไปประชุมก็ไปประชุม ควรไปทำงานก็ไปทำงาน ไม่เช่นนั้น ไม่มีอะไรให้จับผิดก็ถูกคนจับผิดเอาได้เช่นกัน วันนี้ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ออกว่าราชการ หรือว่าทรงประทับในตำหนักกำลังคิดว่าจะจัดการทุกคนอย่างไรดี ทุกคนคิดเช่นนี้ แต่เท้าก็เดินหน้าต่อไป รีบไปกรมฎีกายื่นฎีกาสำคัญกว่า
พอตกบ่าย ก็มีข่าวมาว่า กองกำลังหู่เวยเคลื่อนมาตั้งห่างจากเมืองหลวงห้าลี้ แปลกมาก ทุกคนได้ข่าวนี้ก็แปลกใจ กองกำลังหู่เวยประจำเทียนจินไม่เคลื่อนกำลังไม่ใช่หรือ มาได้อย่างไรกัน ข่าวอธิบายว่า กองกำลังหู่เวยนั่งเรือปลอมตัวเป็นขบวนพ่อค้ามาจากเทียนจิน มาถึงทงโจวค่อยเปลี่ยนชุด
เทียนจินใกล้กับเมืองหลวงไม่ว่า เรือยังบรรทุกได้มาก อาวุธปืนไฟก็ขนมาครบ ทงโจวห่างจากเมืองหลวง 20 ลี้ กองกำลังหู่เวยมาถึง ก็เท่ากับประจำอยู่ข้างเมืองหลวงแล้ว
พอได้ข่าวนี้ ในใจทุกคนที่ยังมีหวังสุดท้ายก็สิ้นหวังทันที กองกำลังหู่เวยเป็นกองกำลังที่เข้มแข็งอันดับหนึ่งในละแวกเมืองหลวงนี้ กองกำลังเมืองหลวงที่เหมือนกระสอบหญ้าพวกนั้นจะรับมือได้อย่างไรกัน สถานการณ์เป็นที่แน่นอนแล้ว
ทุกคนเมืองหลวงพากันอุทานตกใจ ช่างเป็นแผนที่แยบยล แม้ว่าเมื่อวานในที่ประชุมขุนนางเกิดจลาจล องครักษ์เสื้อแพรก็สามารถปิดประตูเมือง ยืนหยัดไปได้วันหนึ่ง กองกำลังหู่เวยก็จะบุกเข้ามาช่วยได้ ถึงตอนนั้นผู้ใดกล้าก่อความวุ่นวายอีก