องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 907 กระจ่างพ้นภัย
วันที่ 17 เดือนเจ็ดปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 13 ฮ่องเต้ว่านลี่มีราชโองการให้สำนักตรวจสอบ ศาลอาญาใหญ่ร่วมกับกรมอาญา สามหน่วยงานร่วมกันสอบนายกองสำนักตรวจสอบเหยาฟู่
เหยาฟู่วันนั้นยื่นฎีกา นับว่าเป็นคนแรกในใต้หล้าที่ออกมากล่าวชัดเจนเรื่องแต่งตั้งองค์ชายใหญ่เป็นรัชทายาท กล้าเป็นคนแรกของใต้หล้า กระพือกระแสให้บรรดาขุนนางบัณฑิตชิงหลิวทยอยออกมาดาหน้ายื่นฎีกาตาม ทำให้ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ออกว่าราชการถึงสามเดือน ไม่กล้าเคลื่อนกำลัง สถานการณ์ยังเกี่ยวพันไปถึงไทเฮาฉือเซิ่งด้วย
มาถึงสุดท้าย ฮ่องเต้ว่านลี่แอบสั่งการให้หวังทงเข้าเมือง ใช้ทหารองครักษ์เสื้อแพรกับคนศาลซุ่นเทียนและคนที่ไว้ใจได้ในกองกำลังสังกัดวังหลวงกับกองกำลังเมืองหลวงเข้าควบคุมสถานการณ์
วันที่ 15 เดือนเจ็ด ให้ขุนนางราชสำนักกลับจวนตนเองไป นอกจากเขาและอู๋จั้วไหลสองคนแล้ว ไม่มีผู้ใดต้องโทษอีก ไม่มีผู้ใดถูกจำคุกอีก กองกำลังสังกัดวังหลวงและกองกำลังเมืองหลวงก็มีราชโองการไปปลอบขวัญ ไม่มีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งอันใด
พอวันที่ 16 เดือนเจ็ด กองกำลังหู่เวยมาถึงเมืองหลวง นอกเมืองที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้อีกก็ถูกฮ่องเต้กับหวังทงสกัดไว้หมด เริ่มเก็บกวาดแล้ว
ขุนนางบัณฑิตที่ถูกปล่อยปละมานาน อยู่สำนักตรวจสอบเกือบสิบปี ไม่เคยทำเรื่องที่น่าตกใจใด ฎีกากลับทำให้เกิดกระแสใหญ่ เหตุใดจึงกล้าออกความเห็นเรื่องแต่งตั้งรัชทายาทอันเป็นเรื่องใหญ่ของแผ่นดิน และยังเหิมเกริมเพียงนั้น เหตุใดพอคนที่ไม่มีอนาคตในวงการขุนนางออกมายื่นฎีกาเสร็จ ขุนนางใหญ่ในราชสำนักและขุนนางท้องที่ต่างๆ ก็พากันออกมายื่นฎีกาประสานเสียงรับ
ที่จริงแล้วการประชุมในวันนั้น ทุกคนรู้ดีว่าหลังม่านคือผู้ใด ที่จริงแล้วไม่ต้องมามีเรื่องกันหน้าพระที่นั่งให้เหนื่อย ทุกคนก็รู้นานแล้วว่าเบื้องหลังม่านคือผู้ใดบงการ
แต่รู้ก็ส่วนรู้ ขั้นตอนก็ส่วนขั้นตอน จะต้องใช้วิธีการที่ถูกต้องตามขั้นตอนเป็นลำดับไป ให้ใต้หล้ารู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่?
เป็นเพราะเรื่องลำดับอาวุโสในครอบครัว หรือเพราะยืนหยัดในหลักจารีตคุณธรรม หรือเพราะแย่งชิงผลประโยชน์อำนาจ หรือว่าอยากได้ตำแหน่งที่สูงยิ่งขึ้น อยากได้อำนาจที่มากยิ่งขึ้นกันแน่
สามหน่วยงานร่วมสอบ สำนักส่วนพระองค์ส่งขันทีมาร่วมฟัง เรื่องใหญ่เช่นนี้เหมือนว่าแผ่นดินหมิงไม่เกิดมาหลายปีแล้ว และเป็นถึงเจ้าหน้าที่กรมตรวจสอบโดนสอบเอง ก็ยิ่งน้อยมาก
ไม่รู้เมื่อไรที่ขุนนางบัณฑิตกล่าวตักเตือนไร้ความผิดได้กลายเป็นธรรมเนียมแผ่นดินหมิงไป หากกล่าวว่ากล่าวผิดยื่นฎีกาผิดก็ถูกลงโทษ เช่นนั้นคนข้างหลังย่อมกลัวความผิดไม่กล้าออกหน้าตักเตือน ก็จะเป็นการปิดทางไป ทำให้การเมืองการปกครองมืดมน หลักการนี้จึงได้กลายเป็นหลักการประจำไป ขุนนางบัณฑิตมากมายเท่าไรที่ต้องการสร้างชื่อเสียงไปทั่วใต้หล้า ตั้งใจกล่าววาจารุนแรง ใส่ร้ายป้ายสีขุนนางอื่นว่าเป็นขุนนางชั่ว ถึงกับลงมือกับฮ่องเต้อีก โทษหนักสุดของพวกเขาก็คือโทษโบยและเนรเทศ
โทษโบยและเนรเทศแม้ว่าโหดร้าย แต่ก็ไม่ถึงชีวิต แต่ยังกลับทำให้ยิ่งเป็นตราประทับแห่งเกียรติยศ หลายคนที่เป็นคนระดับไม่เท่าไร ถึงกับพอถูกโทษโบยก็ได้กลายเป็นคนมีชื่อเสียงอันดับหนึ่งในใต้หล้าไปในทันที หากกลับไปบ้านเกิดก็ย่อมได้รับการยกย่อง หากยังอยู่วงการขุนนางต่อ ก็ย่อมค่อยๆ ก้าวขึ้นตำแหน่งไปเรื่อยๆ เนรเทศเองก็เช่นกัน ขอเพียงมีโอกาสได้กลับมาอีกครั้ง ก็ย่อมชื่อเสียงโด่งดังหลายเท่า ทุกคนต้องมองอย่างอิจฉา
ฮ่องเต้มีพระราชอำนาจก็มีไป ทำอะไรไม่ได้ ขุนนางต่างรู้หลักการนี้ดี ดังนั้นขุนนางบุ๋นจึงได้มีท่าทีเช่นนี้ ปล่อยพวกเขาพูดไป ถือเสียว่าเสียงนกเสียงกา
แต่เพราะทรงมีท่าทีเช่นนี้ ทำให้ขุนนางบัณฑิตไม่เกรงกลัวยิ่งขึ้น ทำให้คนที่คิดการไม่ซื่อใช้เป็นวิธีการลงมือหาผลประโยชน์ส่วนตน
ทว่าครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม วันนั้นถึงตอนนี้ กองกำลังหน้าพระที่นั่งเฟิ่งเทียนเหมินได้บอกอะไรได้กระจ่างแล้ว นอกเมืองยังมีกองกำลังหู่เวยมาเป็นประจักษ์พยาน หวังทงไม่เคยรับรู้เรื่องขุนนางบัณฑิตกล่าวตักเตือนไร้ความผิดด้วยเลย
รองเจ้ากรมตรวจสอบฝ่ายซ้ายเจ้าจิ่นลาป่วย ฝ่ายขวาก็ลาป่วย แต่กลับถูกขันทีมีราชโองการไปถึงจวน คดีนี้เสนาบดีกรมอาญายังลดตัวลงไปสอบสวนด้วย แล้วสำนักตรวจสอบมีหน้าที่สอบสวนไม่จัดการ ไม่เท่ากับว่าตบหน้าตนเองหรือ? จึงไม่อาจไม่ไปจัดการ
วุ่นวายกันมานานเช่นนี้ แม้แต่เด็กและคนแก่ในเมืองหลวงยังรู้ว่าตอนนี้กำลังจะจบเรื่อง และยังมีสามหน่วยสอบสวน ความวุ่นวายนี้มีหลายคนคิดไปมุงดูกัน
ศาลอาญากันทุกคนไว้ไม่ให้เข้าไป แต่พวกอยากรู้ก็อดไม่ได้ ดังนั้นเจ้าหน้าที่ศาลอาญาใหญ่หลายวันนี้จึงได้ผลประโยชน์ไปไม่น้อย คอยส่งข่าวการสอบสวนให้ทุกคน
ว่ากันว่าคณะงิ้วในเมืองคึกคักสุด คดีนี้หากมาปรับเป็นบทงิ้วก็ย่อมขายได้ดีแน่นอน
กระบวนการสอบสวนไม่ได้มีเรื่องราวน่าตื่นเต้นนัก ปกติขันทีสำนักส่วนพระองค์มาร่วมฟังเงียบๆ และมีขันทีน้อยมาคอยบันทึกความข้างๆ แต่ครั้งนี้นอกจากคนบันทึกความแล้ว ยังมีเจ้าหน้าที่กองอาญาสำนักบูรพามาด้วย ไม่ได้หมายความว่า แค่เอาเครื่องลงอาญาสำนักบูรพามาวางให้ดูเล่นๆ
ของพวกนี้เป็นเครื่องมือลอกหนังเลาะกระดูก รอยคราบเลือดด้านบนเป็นสีดำ ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความโหดร้ายน่ากลัว ขันทีอธิบายว่า
“ครั้งนี้ไม่ต้องโบยให้สารภาพ หากไม่พูด ก็ให้เขาได้ลิ้มลองวิธีการสำนักบูรพาดู”
วาจากล่าวเรียบๆ แต่ขุนนางที่ได้ยินกลับอดหนาวไม่ได้ กงกงท่านนี้กล่าวชัดเจนแล้ว แสดงท่าทีไม่ยี่หระ คิดว่าในวังคงสั่งการมาแล้ว
หลายคนล้วนคิดว่า ขุนนางบัณฑิตที่กล้าออกหน้าเพื่อใต้หล้า ย่อมมีความทระนงในศักดิ์ศรีบ้าง คนเช่นนี้เข้าคุกยังไม่กลัว ไม่ต้องพูดถึงลงทัณฑ์
แต่พอเหยาฟู่ถูกนำตัวออกมา ท่าทีที่ได้เห็นทำให้ทุกคนแปลกใจ ศาลอาญาใหญ่เริ่มสอบสวน ยังไม่ทันรอให้ขันทีเอ่ยถึงเครื่องลงทัณฑ์ ขุนนางบัณฑิตที่เป็นความหวังของทุกคนก็พรั่งพรูออกมาหมดสิ้น
“ทุกท่านใต้เท้า ข้าน้อยถูกใส่ร้าย ข้าน้อยยื่นฎีกาก็เพราะถูกข่มขู่ ตอนนั้นมีคนใช้ชีวิตภรรยาและลูกข้าน้อยมาข่มขู่ บอกว่าหากข้าน้อยไม่ยื่นฎีกา ภรรยาและลูกข้าน้อยก็จะสิ้นชีวิต ข้าน้อยกับภรรยาและลูกรักกันมาก ถูกบีบบังคับจึงต้องทำเช่นนั้นจริงๆ!!”
กล่าวจบ โถงสอบสวนก็มีแต่คนสบตากัน ทุกคนคิดไม่ถึงว่าเหยาฟู่จะมีปฏิกิริยาเช่นนี้ และเพราะเช่นนี้ ขุนนางสอบสวนจากกรมอาญากับสำนักตรวจสอบก็อึ้งไป ปล่อยให้เหยาฟู่พูดเองเออเองต่อไป
“เรื่องของฝ่าบาท ไหนเลยจะมีที่ให้คนนอกเข้าแทรกแซงได้ ข้าน้อยยื่นฎีกาเป็นความผิดล่วงเกินเบื้องสูง ได้แต่สำนึกเสียใจที่ได้ทำลงไป คิดจะปลิดชีวิตตนเองในคุก แต่ก็คิดได้ว่าหากข้าน้อยไม่กล่าวความจริงออกมา ใช่ว่าทำให้ฝ่าบาทต้องแบกรับความอยุติธรรมนี้ไปหรอกหรือ เช่นนั้นแม้ตายไปก็ใช้ความผิดไม่ได้ ข้าน้อยจึงได้ยอมทนมีชีวิตมาถึงวันนี้”
คณะสอบสวนล้วนสีหน้าเคร่งเครียด ตามที่พวกเขาคิด เหยาฟู่คงไม่ใช่ยอมทนมีชีวิตมาแน่ ในโถงสอบสวน ขันทีข้างๆ จ้องมองเขม็ง จึงได้แต่หน้าตาบึ้งตึงถามขึ้น
“เหยาฟู่ เจ้าไม่ต้องปัดสวะเช่นนี้ ในเมื่อเจ้าบอกว่ามีคนบงการให้ทำ แท้จริงแล้วเป็นการกระทำของผู้ใด!?”
“อู๋จั้วไหลแห่งสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยน เขาให้เงินก้อนโตแก่ข้าน้อย ให้ที่นาข้าน้อย และสุดท้ายยังจับตัวภรรยาและลูกข้าน้อยไปเป็นตัวประกันอีกด้วย”
ได้ยินเช่นนี้ คณะสอบสวนก็สบตากันไปมา กลับไม่มีผู้ใดคิดถามต่อ อู๋จั้วไหลสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยนเป็นผู้ใดนั้นทุกคนล้วนรู้ดี ฮ่องเต้ว่านลี่ต้องการให้ขยายวงกว้างไปเช่นนี้จริงหรือ?
“อู๋จั้วไหลสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยนเป็นขุนนางระดับ 6 ที่ไม่มีเงินทอง เขามีเงินมากมายเช่นนั้นได้อย่างไร มีที่นามากมายได้อย่างไร บีบให้เจ้ายื่นฎีกาด้วยเหตุผลใด ตำแหน่งขุนนางเล็กๆ ของเขาคิดอย่างได้ประโยชน์ในเรื่องนี้ด้วยงั้นหรือ”
ขันทีที่ร่วมฟังถามขึ้น ได้ยินขันทีถามเช่นนี้ คณะสอบสวนก็เข้าใจกระจ่างทันทีว่าควรมีจุดยืนอย่างไร สีหน้าดำคล้ำก็ดำคล้ำกันไป แต่ยามนี้ต้องหนาวไปทั้งตัว ดูท่าแล้วฮ่องเต้เตรียมจัดใหญ่ ต้องการกวาดล้างใหญ่
ทว่าพวกเขาเองก็แปลกใจ เหยาฟู่ตอนแรกกล้ายื่นฎีกา หากไม่มีความกล้าย่อมไม่ได้ เหตุใดตอนนี้กลับพูดออกมาหมด
“นั่นเพราะ…….อู๋จั้วไหลบอกว่าเป็นความคิดของอาจารย์ อาจารย์อู๋จั้วไหลคิดว่ากงกงและใต้เท้าทุกท่านคงรู้ ก็คือเสนาบดีกรมปกครองหยางเหว่ย ใต้เท้าหยาง อู๋จั้วไหลข่มขู่ข้าน้อยว่าใต้เท้าหยางต้องการเช่นนี้ หากข้าน้อยไม่ทำตาม ก็จะทำให้ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดอีก ข้าน้อยเป็นนายกองเล็กๆ ในสำนักตรวจสอบ จะไปกล้าต่อกรกับเสนาบดียิ่งใหญ่ได้อย่างไร จึงได้แต่ต้องทำตาม!“
“ขุนนางระดับเจ็ด ไปต่อกรกับขุนนางระดับสองเช่นเสนาบดีนี้ ไม่ได้จริงๆ คนผู้นี้ช่างน่าสงสารอยู่หลายส่วน!”
น้ำตาเหยาฟู่ไหลอาบยามกล่าวจบ ขันทีกล่าวอย่างเห็นใจเต็มเปี่ยม ทุกคนในห้องสอบสวนต่างไร้วาจา หรือว่าหลายเดือนที่ต่อสู้กันมาดุเดือดเป็นกระแสนี้จะเป็นเพราะมีคนวางแผนล่อให้ทุกคนติดกับงั้นหรือ ยังมีอันใดให้ต้องกล่าวอีก
**************
เหยาฟู่ตอนถูกสอบสวนไม่ได้แสดงท่าทีแข็งกร้าวยืนหยัดหลักการใด เขาเล่าเรื่องที่คุยกับอู๋จั้วไหลตอนแรกออกไปจนหมดสิ้น
ทว่าการยอมรับนี้มีมาแต่ในคุก พอในวังได้ข่าวนี้ ก็ไม่ลังเลนาน จัดการให้เหยาฟู่ได้มาสารภาพต่อหน้าสามหน่วยงานสอบสวนนี้ เพื่อให้เรื่องนี้ได้แพร่ออกไปในวงกว้าง
ในเมื่อเหยาฟู่ออกมาซัดทอดอู๋จั้วไหล ก็ได้แต่ตามจับตัวอู๋จั้วไหลและเสนาบดีกรมปกครองหยางเหว่ยมาเข้าคุกสอบสวน ถูกใส่ความจนดำหมดสิ้น
มาถึงขั้นนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่กับหวังทงก็พบว่าประเมินกำลังขุนนางบุ๋นต่ำไป ทหารองครักษ์เสื้อแพรไปที่จวนอู๋จั้วไหล พบว่าเขาดื่มยาพิษปลิดชีวิตตนเองแล้ว
ตอนพบอู๋จั้วไหล สีหน้าดำเขียวไปนานแล้ว แต่คนในจวนอู๋จั้วไหลกลับบ้านเกิดกันไปนานแล้ว ไม่อาจสอบถามความใดเพิ่มเติมได้อีก
องครักษ์เสื้อแพรกับเจ้าหน้าที่กรมอาญาที่ไปพิสูจน์ศพกลับมารายงานว่าดื่มยาพิษจริง แต่ดื่มเองหรือถูกคนบีบให้ดื่มนั้นก็ไม่แน่ชัด แม้ว่าร่องรอยต่างๆ ในจวนอู๋จั้วไหลจะชี้ไปว่าอู๋จั้วไหลดื่มยาพิษเอง แต่สถานการณ์ตอนนี้ การถูกวางยาน่าจะมีความเป็นไปได้มากกว่า
คนก็ตายไปคน ทุกเรื่องก็ควรจบ เหยาฟู่ซัดทอดได้เพียงอู๋จั้วไหล เป็นหยางเหว่ยบงการหรือไม่ อู๋จั้วไหลก็ตายไปแล้ว ไม่อาจกล่าวอันใดได้แล้ว
พอจบเรื่องนี้ เสนาบดีกรมปกครองหยางเหว่ยก็ตำหนิตนเองว่าสั่งสอนศิษย์ไม่ดี บอกว่าตนเองมีหน้าเป็นเสนาบดีกรมปกครองต่อ ขอลาออกจากตำแหน่งกลับบ้านเกิด เช่นนี้แม้ว่าสูญเสียอำนาจ แต่ก็จะไม่มีความผิดมาถึงตัวอีก