องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 909 ขุนนางลาออกจากตำแหน่ง
หลังหยางเหว่ยลาออก เสนาบดีกรมพิธีการเสิ่นหลีหลังดำเนินเรื่องแต่งตั้งรัชทายาทเสร็จ ก็ขอลาออกลับบ้านเกิด ฮ่องเต้ว่านลี่มีพระราชานุญาต
โอรสพระสนมเอกเจิ้งจูฉางสวินเป็นรัชทายาท โอรสองค์โตจูฉางลั่วเป็นอ๋องฝู แต่งตั้งบรรดาศักดิ์ไปยังเมืองลั่วหยางที่เหอหนาน พอได้ยินข่าวนี้ หลายก็ได้แต่ทอดถอนใจ คิดว่าไม่เป็นตามธรรมเนียม เขาเดิมมีชะตาเป็นรัชทายาทแท้ๆ ตอนนี้กลับได้เป็นแค่อ๋อง
เทียบกับพวกหลายคนข้างนอกที่ได้แต่ทอดถอนใจแล้ว พระสนมกงกลับยินดีปรีดายิ่ง พระนางเดิมก็เพราะกำลังหวาดกลัวกับการที่พระนางและพระโอรสต้องเข้าสู่ภัยหายนะครั้งนี้ ตอนนี้กลับมีวาสนาเป็นถึงอ๋องไปชั่วชีวิต เป็นเรื่องมงคลใหญ่ยิ่ง
ข่าวจากตำหนักเฉียนชิงกง อ๋องฝูจูฉางลั่วได้รับแต่งตั้งแล้ว ก็จะมารับพระสนมกงออกไปอยู่ด้วย แม้กล่าวว่านางสนมไม่อาจออกจากวังได้ ทว่าไทเฮาฉือเซิ่งไปจวนอู่ชิงโหวได้ ทางนี้ก็ไม่ต้องคิดมากเรื่องพวกนี้แล้ว
เดิมพระสนมกงเองก็ไม่ค่อยได้มีหวังในเรื่องการแก่งแย่งชิงดีในวังแล้ว สามารถได้อยู่กับพระโอรสไปตลอดชีวิตได้ ก็ถือเป็นความหวังสูงสุดแล้ว
เรื่องจูฉางสวินเป็นรัชทายาท เมืองหลวงพากันเงียบกริบ พื้นที่รอบเมืองหลวงก็เงียบกริบ แต่นอกเมืองออกไปและเขตแดนใต้กลับมีเสียงวิจารณ์ไม่น้อย
ขุนนางเมืองหลวงลาออกจากตำแหน่ง เข้าใจเรื่องเรื่องแต่งตั้งรัชทายาทแล้วก็ได้แต่เงียบกริบ พวกที่เข้าใจวงการขุนนางต่างพากันหนาวสันหลังไม่น้อย
ฮ่องเต้แผ่นดินหมิงแต่ไรมีแต่ต้องเก็บกดต่อหน้าขุนนางบุ๋น ไม่เคยได้เปรียบอันใด แม้แต่ฮ่องเต้อู่จงที่ไม่เกรงกลัวขุนนาง ก็ใช้ขันทีทำงาน สร้างเครือข่ายขุนนางบู๊และชนชั้นสูงเท่านั้น
ตัวอย่างหนึ่งเดียวก็คือสมัยฮ่องเต้เจียจิ้ง เกิดเหตุวิจารณ์คุณธรรมใหญ่ครั้งนั้นที่ใช้กำลังองครักษ์เสื้อแพรออกมาจัดการขุนนางบุ๋นทั้งหมด กำราบไว้ได้อยู่หมด ดังนั้นสุดสมัยฮ่องเต้เจียจิ้ง บรรดาขุนนางบุ๋นจึงถูกฮ่องเต้กดไว้ตลอด
แต่พอถึงปลายสมัยฮ่องเต้เจียจิ้ง สวีเจี้ยครองอำนาจ มาจนหลังฮ่องเต้ว่านลี่ครองราชย์สิบปีแรก กลุ่มขุนนางบุ๋นผู้เป็นหัวหน้าหกกรมกองก็กุมอำนาจปกครองไว้ทั้งหมด แต่หลังจากพวกหวังทงปรากฏตัว ขุนนางบุ๋นที่เคยเรืองอำนาจก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป หลังจากนั้นก็เป็นเหตุการณ์เจริญรุ่งเรืองของเทียนจิน และชัยชนะใหญ่ ณ เมืองกุยฮว่าเฉิงที่สั่นสะเทือนทั่วแผ่นดิน ยังมีเหตุการณ์ต่างๆ ที่ทำให้สถานการณ์เปลี่ยนไป
เรื่องเหล่านี้ทำให้ทุกคนตกใจ แต่ก็ยังนั่งดูเฉยได้ เพราะไม่ได้เกี่ยวข้องกันตนเองมากนัก แต่ครั้งนี้ กลับทำให้ทุกคนต้องพากันตกใจหวาดกลัวกันหมด
ฮ่องเต้ว่านลี่ขณะออกว่าราชการใหญ่ เคลื่อนกำลังทหารมาล้อมไว้ และยังเคลื่อนกำลังจากเทียนจินมาประชิดเมืองหลวง ฮ่องเต้คิดทำสิ่งใด เห็นชัดว่าฮ่องเต้คิดจะกำจัดขุนนางเมืองหลวงให้สิ้นซาก
ฮ่องเต้ทำเช่นนี้ได้อย่างไร ฮ่องเต้กล้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร ประเด็นสำคัญก็คือ ฮ่องเต้ถึงกับมีกำลังทำได้ คนที่เกี่ยวข้องกับวงการขุนนางต่างพากันแตกตื่นตกใจและหวาดกลัว จากนั้นก็ปิดปากเงียบกันหมด
แสวงหาชื่อเสียงก็ได้ ยืนหยัดในหลักการจารีตก็ได้ แต่ไม่อาจทำลายชีวิตตนเอง ไม่อาจทำให้ผลประโยชน์เงินทองของเองต้องสูญเสียไป ตอนนี้ฮ่องเต้ลงมืออย่างไม่ยั้งมือเช่นนี้ ยังไงก็ปิดปากเงียบดีกว่า!
เทียบกับขุนนางที่รู้รักษาตัวรอดในวงการขุนนางแล้ว พวกร่ำเรียนที่ไม่เคยได้เป็นขุนนางในท้องที่ต่างๆ รวมทั้งบรรดาปราชญ์ลัทธิขงจื่อทั้งหลายต่างมีความเห็นต่างในเรื่องนี้
มีคนเขียนจดหมายไปเมืองหลวง มีคนฝากคนยื่นฎีกา ทว่าความเห็นพวกเขาไม่ส่งผลอันใด การโต้แย้งพวกเขาก็แค่แสดงความเห็นแย้งเท่านั้น พวกเขามีกิจการครอบครัว ฮ่องเต้ทรงโปรดโอรสองค์รองไม่ได้เกี่ยวอันใดกับพวกเขาแม้แต่น้อย นับประสาอันใดกับพวกเขาเองก็รักลูกชายคนเล็กกันเป็นเรื่องปกติ
*************
วันที่ 22 เดือนเจ็ด ในวังมีคนส่งข่าวมายังสำนักส่วนพระองค์ จางหงอดีตรองหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์อดอาหารตายไป ข่าวนี้ทำให้จางเฉิงเศร้าใจมาก
กองกำลังสังกัดวังหลวงกับกองกำลังเมืองหลวงเริ่มผลัดเปลี่ยนเลือดใหม่ พวกนายทหารจากลานฝึกหู่เวยไม่ได้เลื่อนตำแหน่งสูงมากนัก แต่ตำแหน่งที่ได้ก็สูงมากพอ ได้รับผลประโยชน์มากมาย ตำแหน่งที่ขาดไปหลายตำแหน่งเป็นตำแหน่งนายกองพันเสียมาก ตำแหน่งนี้มีผลประโยชน์ สามารถคุมกำลังได้ สามารถเคลื่อนกำลังได้ในทันทีที่ต้องการ นายกองพันนี้ เป็นตำแหน่งที่ขันทีคุมเสบียงกับเสนาบดีกรมทหารปลดไม่ได้
เฉินซือเป่าในฐานะขุนพลที่ปรึกษาครานี้ได้รับผลประโยชน์ไปมากมาย เขาได้เป็นหัวหน้ากองกำลังหย่งซื่อ กองกำลังสำนักอาชาหลวงเป็นหนึ่งในห้ากองกำลังหย่งซื่อ มีทหารที่เข้มแข็งมาก สถานะสูงที่สุด เฉินซือเป่ารับตำแหน่งหัวหน้ากองกำลังหย่งซื่อก็นับว่าเป็นระดับสูงมากของขุนนางบู๊ในแผ่นดินหมิงแล้ว
การเปลี่ยนแปลงโยกย้ายขันทีฝ่ายในและบรรดาขุนพลทหารเป็นไปตามคาดทุกคน ที่ทุกคนใส่ใจที่สุดก็คือติ้งเป่ยโหวผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรหวังทงควรได้รับการแต่งตั้งอย่างไร
หวังทงสถานะและอำนาจสูงมาก แม้ว่าก่อนหน้าถูกฮ่องเต้ระแวง ขอขับตนเองไปสู่เมืองกุยฮว่าเฉิง แต่ครั้งนี้เขาแอบกลับมาเมืองหลวงช่วยฮ่องเต้ว่านลี่แก้ปัญหาเรื่องกระแสแต่งตั้งรัชทายาท มีความชอบมาก
ท่ามกลางกระแสครานี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ถูกพวกไทเฮากับขุนนางบุ๋นทั้งหลายบีบเกือบจนมุม หวังทงไม่นำพาความระแวงครั้งก่อนและการจะโดนประชาด่าทอหากมาช่วยครั้งนี้ ยังถึงกับมาด้วยตนเอง เขาควรได้รับพระราชทานรางวัลใดกัน
เขาเองสถานะสูงส่งแล้ว หากยังได้รับพระราชทานอีก เช่นนั้นควรได้รับพระราชทานอันใด หากยังให้อำนาจหวังทงเพิ่มอีกเพื่อตอบแทนความชอบครั้งนี้เขา อำนาจหวังทงจะกระทบกับคนรอบข้างหรือไม่ จะทำให้คนหวาดระแวงหรือไม่
ใกล้เดือนแปดแล้ว ข่าวจากในวังมีออกมาว่าครั้งนี้เตรียมจะให้หวังทงคุมกองกำลังเมืองหลวง กระแสนี้ออกมา เมืองหลวงก็เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังทันที
ที่เรียกว่า ‘ดัง’ ก็มิใช่รวมกลุ่มกันวิจารณ์ หากเป็นกระแสแอบวิจารณ์แลกเปลี่ยนความคิดกัน อำนาจหวังทงแผ่อิทธิพลเป็นสิ่งที่ทุกคนคาดไว้แล้ว ประเด็นคือจะแผ่ออกไปอีกแบบใด ในมือหวังทงมีองครักษ์เสื้อแพร หากยังมีกองกำลังเมืองหลวงอีก ก็เท่ากับว่าสามในห้าของการทหารเมืองหลวงอยู่ในมือเขาผู้เดียว นี่ไม่ใช่หลักการของการเป็นขุนนางในพระองค์
หากสถานการณ์ตอนนี้เช่นนี้ ผู้ใดจะกล้าพูดอันใดกัน ฮ่องเต้ตอนนี้ก็ทรงดีพระทัยเช่นนี้ ก็ปล่อยให้ทรงจัดการไปก็แล้วกัน
**************
หวังทงแม้ไปเมืองกุยฮว่าเฉิงแล้ว แต่ก็ยังคงเป็นผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร พอกลับถึงเมืองหลวง ก็ยังคงได้เข้าร่วมประชุมขุนนาง ติดตามอยู่ข้างพระวรกายฮ่องเต้
ทว่าเพิ่งกลับมาเมืองหลวง สถานการณ์เมืองหลวงยังไม่มั่นคง ต้องการให้หวังทงไปจัดการในฐานะองครักษ์เสื้อแพร ดังนั้นมาจนวันที่ 3 เดือนแปด หวังทงจึงเพิ่งได้มาร่วมประชุมขุนนาง
ในการประชุมปกติ คณะเสนาบดีใหญ่ เสนาบดีหกกรมกอง เจ้ากรมนายกองสำนักตรวจสอบและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องล้วนต้องเข้าประชุม เทียบกับเมื่อครึ่งเดือนก่อน เรียกได้ว่าเปลี่ยนขุนนางเลือดใหม่มาหลายคน
เสนาบดีกรมปกครองกับเสนาบดีกรมพิธีการได้เจ้ากรมมาแทนที่ เสนาบดีหน่วยที่เหลือก็ไม่มีอำนาจเหมือนหยางเหว่ยกับเสิ่นหลี พวกเขาย่อมเห็นแก่ตำแหน่งตนในตอนนี้ ไม่กล้ากระทำการวาดหวังฝันหวานอันใด และไม่กล้าทำเรื่องเสี่ยงภัยใดเช่นกัน
หวังทงออกมาร่วมประชุมขุนนางในตอนนี้ เสนาบดีหกกรมกองพากันมองอย่างเย็นชา แต่ไม่มีปฏิกิริยาอันใด การประชุมทุกวัน ก็เป็นฮ่องเต้ว่านลี่ที่มาถึงช้าที่สุด
ปกติขุนนางศูนย์กลางการปกครองของแผ่นดินหมิงพวกนี้อย่างไรก็ต้องร่วมหารือคุยสัพเพเหระทั่วไป แต่หลังเหตุประชุมหน้าพระที่นั่งคราก่อน มีที่ไหนที่เจ้ากรมจะโมโหตำหนิเสนาบดี แต่การโจมตีทั่วไปในราชสำนักก็เกิดขึ้นอย่างมากมายเพื่อสลัดทิ้งความสัมพันธ์ให้กระจ่าง พริบตาทุกคนก็ต่างกระดากกันเอง หรือไม่ก็ว่าแต่ละฝ่ายก่อนหน้ามีท่าทีสุภาพต่อกัน แต่หลังจากเปิดเผยตัวตนออกให้เห็นความร้ายกาจแล้ว คิดจะกลับมาเหมือนดังเดิม ก็ย่อมต้องใช้เวลาอีกนานพอควร
การออกว่าราชการ ณ พระที่นั่งข้างพระที่นั่งเฟิ่งเทียนเหมินที่มีพื้นที่ไม่มาก แม้ว่าคุยกันเบาๆ ก็ย่อมมีคนได้ยิน โดยเฉพาะหวังทง ทุกคนก็ยิ่งต้องระวังตัวเองไว้ก่อน
หวังทงเข้าประชุมวันแรก รองอำมาตย์หวังซีเจวี๋ยในคณะเสนาบดีใหญ่กลับออกหน้ามาคุยด้วยก่อน หวังซีเจวี๋ยก้าวออกมาคารวะก่อนกล่าวว่า
“ตอนนี้ติ้งเป่ยโหวเป็นเสาหลักของราชสำนักเราแล้ว ก่อนหน้าสถานการณ์ขัดแย้งมากมาย พอติ้งเป่ยโหวกลับมา ก็เปลี่ยนเป็นใต้หล้าสงบสิ้น ช่างเป็นเสาหลักของแผ่นดินจริงๆ!”
วาจาเสียดสีนี้หวังทงฟังออก พวกขุนนางบุ๋นมักจะตีฝีปากหลอกด่าคนอื่นเสมอ หวังทงไม่สนใจ ได้แต่ตอบกลับตามมารยาทไปว่า
“ตอนนี้ทุกอย่างสงบสุข ก่อนหน้าเมืองหลวงที่อยู่ๆ ก็วุ่นวาย หรือว่ามีพวกโจรชั่วใดอยู่เบื้องหลัง?”
หวังซีเจวี๋ยกระแอมไอในลำคอก่อนจะกล่าวว่า
“ใต้เท้าหวัง ข้ามีวาจาบางอย่างล่วงเกินแล้ว พวกเราเป็นขุนนาง ก็ต้องทำหน้าที่ขุนนางให้ดี อำนาจได้มาจากฮ่องเต้ทรงเมตตา เรื่องนี้ไม่มีอันใดต้องพูดถึง แม้ว่าจะทรงเมตตา แต่เป็นขุนนางก็ต้องรู้จักประมาณตน เป็นขุนนางหากอำนาจมากไป หากได้ใจคิดลำพอง ทำลายสัมพันธ์นายบ่าว ก็จะเป็นการทำผิดต่อพระเมตตาฝ่าบาท”
หวังทงเงียบไปครู่หนึ่ง กล่าวนิ่งเรียบว่า
“สวรรค์บัญชา ฝ่าบาทต้องการสิ่งใดเป็นเรื่องของฝ่าบาท เราเป็นขุนนางจะลืมตัวได้อย่างไร?”
ได้ยินหวังทงตอบอย่างไม่ลดละ หวังซีเจวี๋ยส่ายหน้า สีหน้าไร้รอยยิ้ม ได้แต่ถอนหายใจ กล่าวจริงจังว่า
“ใต้เท้าหวัง มีบางอำนาจได้มาเพราะทรงพระเมตตาเป็นพิเศษ มีบางอำนาจก็เป็นทางแห่งการรนหาที่ตาย ใต้เท้าหวังตอนนี้มีสถานะเช่นนี้ มีครอบครัว ไม่ควรเป็นเพราะการตัดสินใจวู่วาม ทำให้สถานการณ์ถึงขั้นไม่อาจเรียกคืนได้!”
กล่าวจบหวังซีเจวี๋ยก็พยักหน้ากำลังจะหันกลับไปเข้าที่ตนเอง พอเขาขยับกลับได้ยินหวังทงด้านหลังกล่าวว่า
“ขอบคุณท่านอำมาตย์ที่ตักเตือน ข้ารู้ตนเองดี และก็รู้ว่าตนเองควรทำเช่นไร!”
หวังซีเจวี๋ยหันกลับมามอง เห็นหวังทงประสานมือคำนับ ก็รับการคำนับ หวังซีเจวี๋ยรู้สึกตกใจอยู่บ้าง หวังทงไม่ได้เป็นขุนนางไร้ธรรมเนียมอย่างที่ลือกัน ยังพอรู้ธรรมเนียมอยู่บ้าง
ได้ยินเสียงรายงานข้างนอก ฮ่องเต้ว่านลี่เสด็จเข้ามา ขันทีตะโกนพิธี ทุกคนพากันคุกเข่าลง ทุกคนเงยหน้าขึ้นมาก็สังเกตเห็นฮ่องเต้ว่านลี่พยักพระพักตร์ให้หวังทง นับเป็นการทักทาย นี่ยังเป็นนายบ่าวหรือ เมื่อใดกันที่ขุนนางถวายบังคมแล้วนายเหนือหัวคำนับตอบ
“……มีฎีกานำทูลเกล้าได้……”
สถานการณ์ตอนนี้ ขุนนางทั้งหลายต่างได้แต่ทำหน้าที่ตนเองให้ดี ไม่มีเรื่องยื่นฎีกา ทุกคนก็ได้แต่เงียบไป เงียบไปครู่หนึ่ง หวังทงก็ถวายบังคมกราบทูลว่า
“ฝ่าบาท กระหม่อมขอลาออกจากตำแหน่งพะยะค่ะ!!”