องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 910 บทเรียนจากรถคันหน้า
“ฝ่าบาท กระหม่อมขอลาออกจากตำแหน่งพะยะค่ะ!!”
ท้องพระโรงเงียบกริบ ขันทีปรนนิบัติข้างพระวรกายฮ่องเต้ว่านลี่ทุกคนได้ยินคำกราบบังคมทูลของหวังทงทุกคำชัดเจน
ฮ่องเต้ว่านลี่ทอดพระเนตรเห็นหวังทงก้าวออกมาก็แย้มสรวลรอ จากนั้นก็แย้มสรวลค้าง จางเฉิงทางด้านขวาของฮ่องเต้ว่านลี่กับเถียนอี้ก็เงยหน้าขึ้น อึ้งมองหวังทง จางเฉิงถึงกับอ้าปากเตรียมจะออกปากถาม แต่ทำงานในส่วนกลางในวังมาหลายปีทำให้เขารู้สึกระงับเสียงไว้ได้
บรรดาขุนนางบุ๋นที่คุกเข่าอยู่ก็ไม่สนใจธรรมเนียมนายบ่าว พากันเงยหน้าขึ้นเบิกตากว้างจ้องมองไปยังหวังทงที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้า
การประชุม ณ พระตำหนักข้างพระที่นั่งเฟิ่งเทียนเหมิน บรรดาขุนนางที่ได้ร่วมประชุมนี้ล้วนเป็นพวกที่ร่วมยื่นฎีกาในวันนั้น สองมือหวังทงประคองฎีกาในมือกำลังคุกเข่าตัวตรงแน่วแน่
ตามธรรมเนียม ขุนนางทูลจบ เจ้าจินเลี่ยงข้างพระวรกายฮ่องเต้ว่านลี่ก็จะออกมารับฎีกาไปส่งให้ฮ่องเต้ หากยามนี้ขุนนางทุกคนพากันแตกตื่นตกใจ เจ้าจินเลี่ยงเองก็อึ้งไป ทว่าเขานับว่าได้สติเร็ว พอได้สติ ก็รีบวิ่งลงไปรับฎีกา เดินออกไปได้สองสามก้าวก็ได้ยินเสียงด้านหลังมีคนตวาดดังว่า
“รีบอะไรกัน! เราไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น!”
เป็นฮ่องเต้ว่านลี่ตวาดดัง เต็มไปด้วยความกริ้ว เจ้าจินเลี่ยงรีบคุกเข่าลงไม่กล้าขยับอีก เจ้าจินเลี่ยงมีสถานะในวังไม่ธรรมดา แม้ว่าติดตามรับใช้ใกล้ชิดฮ่องเต้ว่านลี่ แต่ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่เคยทรงดุว่าอันใดหนักหนา แต่ดำรัสเมื่อครู่ กลับเต็มไปด้วยความกริ้วหนัก
เห็นเจ้าจินเลี่ยงหมอบไม่กล้าขยับ ฮ่องเต้ว่านลี่กวาดพระเนตรมองทุกคนในที่นั้น บรรดาขุนนางในคณะเสนาบดีใหญ่กับเสนาบดีหกกรมกองล้วนจ้องมองหวังทง ในสายพระเนตรฮ่องเต้ว่านลี่ ขุนนางบุ๋นพวกนี้มีแววตายินดีลิงโลด หวังทงหากลาออกจากตำแหน่งไปจริง หนามยอกในตาพวกเขาก็จะหายไป ย่อมยินดีปรีดายิ่ง
“หวังทง เราได้ยินไม่ชัด เจ้าว่าอีกครั้ง!”
ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสเย็นเยียบ หวังทงคุกเข่าอยู่ที่พื้นนิ่ง น้ำเสียงก็ไม่แปรเปลี่ยน ทูลน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“ฝ่าบาท กระหม่อมขอลาออกจากตำแหน่งพะยะค่ะ!!”
ถามอีกทีผลก็เหมือนเดิม ถามอีกทีก็ยิ่งทำให้ดูเหมือนเด็กไร้เดียงสา ช่างเหลวไหล สีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่แดงก่ำ สุรเสียงกริ้วหนัก ตรัสถามขึ้น
“หวังทง ทำไมต้องลาออกด้วย หรือเราทำไม่ดีอันใดกับเจ้ากัน!?”
“ฝ่าบาท กระแสเมืองหลวงคุมได้แล้ว หากกระหม่อมอยู่เมืองหลวง ฝ่าบาทจะมองหน้าขุนนางทั้งหลายอย่างไร”
น้ำเสียงหวังทงนิ่งเรียบ ไม่มีสะดุดแม้แต่น้อย ความนิ่งของเขาทำให้ฮ่องเต้ว่านลี่ยิ่งกริ้วหนัก ไม่อาจระงับได้อีกต่อไป คำรามดังออกมาทันทีว่า
“เราเป็นฮ่องเต้ เราคิดจะทำเช่นไรก็เช่นนั้น เจ้าเป็นขุนนางจงรักภักดีของเรา มีเจ้าข้างกายเรา จงรักภักดีเรา เราทำไมจะไม่อาจมองหน้าขุนนางทั้งหลายได้กัน!!? เราคิดว่าได้ ทำไมเจ้าคิดว่าไม่ได้ เจ้าเป็นฮ่องเต้!? หรือเราเป็นฮ่องเต้!?”
พระดำรัสสุดท้ายจบลง ทุกคนในที่นั่นก็สบตากันอย่างไม่อาจระงับ บรรดาขันทีพากันคุกเข่าลง ขุนนางใหญ่ก็พากันก้มหน้าลงต่ำอีกครั้ง
หวังทงโขกศีรษะทูลต่อว่า
“ฝ่าบาททรงระงับความกริ้วด้วยพะยะค่ะ วันนี้กระหม่อมเป็นติ้งเป่ยโหว ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร มีอำนาจมาก ยังมีข่าวลืออีกมาก บอกว่าฝ่าบาทจะให้กระหม่อมคุมกองกำลังเมืองหลวง หากฝ่าบาททรงทำเช่นนี้ องครักษ์เสื้อแพรบวกกับทหารกองกำลังเมืองหลวง กำลังสามในห้าของเมืองหลวงก็จะอยู่ในมือกระหม่อมผู้เดียว กระหม่อมจะจัดการเช่นไร?”
ฮ่องเต้ว่านลี่อึ้งไป ไม่ได้ออกเสียงค้านที่กล่าวมา ขุนนางใหญ่กลับเริ่มสบตากัน ให้หวังทงคุมกองกำลังเมืองหลวง ข่าวนี้พวกเขาก็ได้ยินมา วันนี้ดูปฏิกิริยาฮ่องเต้ว่านลี่แล้วก็มั่นใจว่าจริง หวังทงกล่าวต่ออีกว่า
“แผ่นดินหมิงใต้หล้า ฝ่าบาททรงอำนาจสูงสุด หากขุนนางใหญ่กว่า เช่นนี้ก็จะเป็นภัยหายนะแห่งแผ่นดิน ขุนนางก็มีหน้าที่ขุนนาง กระหม่อมรู้ว่ามีความชอบ ฝ่าบาทย่อมพระราชทานรางวัล แต่ตำแหน่งกระหม่อมสูงมากแล้ว ไม่อาจพระราชทานให้อีกได้แล้ว ทำให้ฝ่าบาทต้องลำบากพระทัย เป็นความผิดกระหม่อม กระหม่อมไม่อยากให้เป็นเช่นนี้ กระหม่อมขอลาออกจากตำแหน่ง”
“หวังทง? เจ้าหมายความว่าเราใจแคบ เจ้ากังวลว่าวันหน้าเราจะระแวงเจ้า?”
“กระหม่อมมิกล้า ฝ่าบาท กระหม่อมรู้ดีกว่ากระทำเช่นนี้เป็นการมิบังควร แต่กระหม่อมวันนี้ทำให้ฝ่าบาททรงกริ้ว กลับเป็นเพราะต้องการรักษาสายสัมพันธ์นายบ่าวเราในวันหน้า กระหม่อมเป็นขุนนางบู๊ ไม่รู้จักพูดจา แต่วาจาล้วนมาจากใจ ขอฝ่าบาททรงไตร่ตรองให้รอบคอบ”
ฮ่องเต้ว่านลี่แทรกขึ้น สุรเสียงเย็นลง ไม่ได้มีโทสะอันใดอีกแล้ว หวังทงยังคงตอบอย่างนุ่มนวล ทูลจบว่า ‘ทรงไตร่ตรองให้รอบคอบ’ หวังทงก็ลุกขึ้นประสานมือถวายบังคมด้วยความเคารพอย่างที่สุด พอยืดตัวตรงก็สบตากับฮ่องเต้ว่านลี่ สีหน้าหวังทงหนักแน่น สายตาแน่วแน่
เห็นท่าทีหวังทงเช่นนี้ ไม่ได้มีความโกรธแค้นใดที่คาดไว้ ถึงกับไม่มีรอยยิ้มเช่นกัน มีแต่ความจริงจังและหนักแน่น ฮ่องเต้ว่านลี่เข้าใจในทันที หวังทงต้องการลาออกจากตำแหน่งจริง ไม่ใช่เพียงแค่ต้องการระบายโทสะที่ถูกกำราบไปเมื่อปีก่อน และที่ถูกพระองค์ขับไล่ไสส่งออกจากเมืองหลวง
ฮ่องเต้ว่านลี่ถอนหายใจยาว จากนั้นเงียบไป ในที่ประชุมก็เงียบไปหมด แต่ครั้งนี้เงียบไปนานสักหน่อย ฮ่องเต้ว่านลี่เงียบไปนานมาก ขันทีและขุนนางใหญ่แอบลอบเงยหน้ามอง
ฮ่องเต้ว่านลี่ยังประทับยืนนิ่ง มองไปยังหวังทง จากนั้นก็กวาดตามองไปยังขุนนางและขันทีทุกคนรอบๆ สีพระพักตร์แปรเปลี่ยนไปมา อ้าพระโอษฐ์แล้วก็หุบลง ลังเลอยู่นานก่อนจะตรัสถามขึ้นเบาๆ ว่า
“หวังทง เจ้ากังวลว่าเราจะระแวงงั้นหรือ?”
“กระหม่อมมิบังอาจ!”
“หวังทง หรือว่าเจ้ากลัว กลัวว่าปีก่อนที่เจ้าสร้างความชอบใหญ่กลับมา เรากลับมีสมรสพระราชทานเช่นนั้น จากนั้นยังส่งเจ้าลงใต้ไปอีก เจ้ารู้สึกว่าเราไม่อาจรับเจ้าที่สร้างความชอบใหญ่ได้ เทียบกับว่ารอให้เราจัดการเจ้า มิสู้เจ้าจัดการตนเองลาออกก่อนดีกว่าใช่ไหม จะได้ไม่ยุ่งยากภายหลัง”
“พระประสงค์ฝ่าบาท กระหม่อมไม่กล้าคิดไปเอง กระหม่อมขอลาออกจากตำแหน่งเมื่อครู่ก็บอกสาเหตุไปแล้ว ขุนนางย่อมมีธรรมเนียมหน้าที่ขุนนาง มิบังอาจทำให้ฝ่าบาททรงต้องลำบากพระทัย ดังนั้นจึงขอลาออกจากตำแหน่งพะยะค่ะ”
หวังทงยืดตัวตรง ตอบเสียงดังกังวาน ฮ่องเต้ว่านลี่ยกพระหัตถ์ชี้หวังทง คิดจะตรัสสิ่งใด แต่ก็นิ่งไป เงียบลงอีกครั้ง
ครั้งนี้เงียบไปค่อนข้างนาน ขันทีใหญ่และขุนนางใหญ่อายุน้อยสุดก็ราว 40-50 เข้าเฝ้าถวายบังคมลงก็ลุกขึ้น ไม่ลำบากนัก แต่แม้เป็นเช่นนี้ เข่าพวกเขาก็รับไม่ค่อยไหว อายุมากในท่าเช่นนี้ ช่างลำบากเกินทนรับไหว
เงียบไปนานมาก หลายคนไม่อาจทรงตัวอยู่ได้ พากันเงยหน้าไม่ก็ขยับไปมา หลายคนส่งสายตาให้กัน สถานการณ์ตอนนี้ทุกคนคาดไม่ถึง ที่ทุกคนเตรียมป้องกันไว้ก็คือ อำนาจจะเหนือกว่าเฉียนหนิงและเจียงปินในสมัยนั้นที่ทำให้ขุนนางบุ๋นไม่อาจต่อกรได้ เขามีทั้งเงินและกำลังทหาร ยังมีฝ่ายในคอยช่วยเหลือ แม้แต่พระสนมเอกเจิ้งก็ให้การส่งเสริม เขาสามารถวางตัวเหิมเกริมได้
ที่ยิ่งน่ากลัวก็คือ หวังทงอายุน้อย ก็หมายความว่า เขาตอนนี้ยังไม่ได้ถึงที่สุดแห่งตำแหน่ง เพียงแค่เริ่มต้นเท่านั้น ต่อไปยังไม่รู้จะเป็นเช่นไร แต่ทุกคนที่นี่คงได้เปลี่ยนผ่านกันไปหลายคนแล้ว
คิดไปมากมาย และวางแผนไปมากมาย หวังทงถึงกับรู้จักถอย ถึงกับขอลาออกหน้าท้องพระโรงเปิดเผยเช่นนี้
หากเข้าเฝ้าฮ่องเต้ว่านลี่ส่วนตัว หวังทงทูลเช่นนี้ออกมา ท่าทีเช่นนี้อาจเสแสร้งแกล้งทำ แต่การทูลต่อหน้าสถานที่เป็นทางการเช่นนี้ มีขุนนางทั้งในและนอกวังรวมตัวกันเช่นนี้ หากมีรับสั่งแล้ว อันใดก็ยากจะเรียกคืนมาได้
เสนาบดีกรมทหารคนใหม่ปี้เชียงคุกเข่าลังเลครู่หนึ่งก็กัดฟันตัดสินใจลุกขึ้นถวายบังคม ทูลดังว่า
“ฝ่าบาท กระหม่อมมีวาจากราบทูล ใต้เท้าหวังทำเช่นนี้แม้กะทันหัน แต่ก็เป็นการตัดสินใจที่เด็ดเดี่ยวกล้าหาญ เขายอมถอย ก็เพื่อให้ฝ่าบาทจัดการได้ง่าย ให้ใต้หล้าได้สบายใจ และยังรักษาสัมพันธภาพฝ่าบาทกับใต้เท้าหวังได้ เป็นการตัดสินที่ดีพร้อม วันหน้าต้องเป็นเรื่องดี”
ฮ่องเต้ว่านลี่ยิ้มเยียบเย็นมุมปาก กำลังจะตรัส รองอำมาตย์หวังซีเจวี๋ยในคณะเสนาบดีใหญ่ก็ทูลขึ้นว่า
“ฝ่าบาทพระราชทานรางวัลแก่ใต้เท้าหวัง เป็นสิ่งที่ควรกระทำ ที่นาบรรดาศักดิ์ล้วนได้หมด ยกเว้นอำนาจการทหารที่ไม่อาจพระราชทาน หากกำลังองครักษ์เสื้อแพรและกองกำลังเมืองหลวงล้วนอยู่ในมือคนผู้เดียว กอปรกับใต้เท้าหวังยังมีสายสัมพันธ์กับกองกำลังหู่เวย พื้นที่เมืองหลวงมีกำลังเกินครึ่งอยู่ในมือคนผู้เดียว แม้ใต้เท้าหวังจงรักภักดี แต่เกรงว่าจะมีพวกคนชั่วคิดใช้โอกาสนี้ลงมือ ปล่อยให้พวกหาช่องลงมือได้ ฝ่าบาท สมัยราชวงศ์ถังภัยจากกองกำลังสังกัดวังหลวง หรือว่าไม่ใช่ตัวอย่างที่ดี?”
“พวกเจ้าก็ช่างคิดเพื่อแผ่นดินนะ!”
ฮ่องเต้ว่านลี่ที่พระพักตร์นิ่งมานานก็เริ่มมีรอยแย้มสรวล ทว่ากลับเป็นยิ้มเยียบเย็น เสนาบดีกรมทหารปี้เชียงไม่กล้ากล่าวต่อ หวังซีเจวี๋ยกลับโขกศีรษะ ทูลเสียงดังว่า
“ฝ่าบาท กระหม่อมอยู่ในตำแหน่งก็ย่อมต้องคิดเพื่อแผ่นดิน!”
“ขอฝ่าบาททรงพิจารณาให้รอบคอบพะยะค่ะ!”
หวังซีเจวี๋ยทูลจบ มหาอำมาตย์เซินสือหังก็ทูลน้ำเสียงนิ่งเรียบลงคุกเข่า ขุนนางหกกรมกองก็ลงโขกศีรษะตาม กล่าวพร้อมกัน
ฮ่องเต้ว่านลี่มุมพระโอษฐ์ขยับคิดจะตรัสแต่ก็หยุดลง อยู่ๆ ทรงพบว่า นี่เป็นโอกาสอันดี ตอนนี้หวังทงสถานการณ์เหมือนปีก่อน ถึงกับยุ่งยากกว่าปีก่อนเสียอีก เมื่อปีก่อน หวังทงแค่สร้างความชอบที่ไม่มีผู้ใดทำได้มาก่อน ตอนนั้นก็กังวลว่าหวังทงจะวางอำนาจเหิมเกริมยากจัดการ จึงคิดกำราบไว้ หากไม่กำราบ ตำแหน่งติ้งเป่ยโหวกับผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรเรียกได้ว่าเพียงพอต่อการพระราชทานความชอบ
แต่ตอนนี้ หวังทงไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยกับการกำราบและจัดการของเมื่อปีก่อน ยังคงเสี่ยงภัยเข้าเมืองหลวงมารวบรวมกำลังสยบขุนนางบุ๋น ครั้งนี้หากผิดพลาดแม้เล็กน้อย หวังทงก็ย่อมไม่อาจฟื้นคืนได้อีก ก็จะกลายเป็นเป้าโจมตีทันที แต่หวังทงยังคงยืนอยู่ข้างฮ่องเต้ว่านลี่
ความชอบเช่นนี้ ท่าทีเช่นนี้ ก็จำเป็นต้องได้รับพระราชทานรางวัล แต่หวังทงตอนนี้กุมอำนาจสำนักองครักษ์เสื้อแพรกับศาลซุ่นเทียนไว้แล้ว และยังมีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับกองกำลังหู่เวย หากให้เขาได้คุมกองกำลังเมืองหลวงอีกคงไม่ดี แต่เพราะยังหาคนที่วางพระทัยไม่ได้ ให้หวังทงมาคุม กำลังหวังทงก็จะมากไป ทำให้หลายคนกังวลไปต่างๆ นานา
ที่จริงแล้ว หวังทงตอนนี้แม้ว่าไม่ให้คุมกองกำลังเมืองหลวง อำนาจกับกำลังเขาก็พอให้คนกังวลแล้ว หากอาศัยโอกาสนี้ ไม่ว่าตั้งใจลาออกหรือคิดวางแผนใดไว้ ผลักเรือตามน้ำปลดอำนาจเขาลงให้หมด ก็จะวางใจได้….
เรื่องสมดุลอำนาจสามฝ่าย เรื่องพระราชทานรางวัลความชอบ ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่อาจสนพระทัยคิดต่อแล้ว แก้ปัญหานี้ไปก่อน……ทว่าหากไม่มีหวังทง……
Comments for chapter "ตอนที่ 910 บทเรียนจากรถคันหน้า"
MANGA DISCUSSION
Leave a Reply Cancel reply
This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.
จ้ะ
ใช่เพราะเหตุนั้นแหละ ยังจำที่ลำบากออกไปเทียนจินแล้วโดนลอบฆ่ามั้ย ทหารรักษาไปก็ไม่มี