องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 911 ดีหรือเสีย ได้หรือสูญ ตัดสินใจได้
เมื่อเป็นผู้ปกครองต้องรู้จักจัดการอำนาจ ฮ่องเต้ว่านลี่พระชนมายุยิ่งมาก ในวังนอกวัง แต่ทรงพระเยาว์ถึงวันนี้ ผ่านอะไรมากมาย ยิ่งรู้ว่ายิ่งต้องสมดุลอำนาจ ยิ่งรู้ว่าการป้องกันผู้อื่นนั้นไม่อาจไม่มี อำนาจขุนนางมาก ก็ต้องระวัง หากปล่อยให้ใหญ่โตมากไป ก็ย่อมคุกคามถึงสถานะฮ่องเต้ของพระองค์เอง
หวังทงนำกำลังตะลุยแดนเหนือกลับมา ความชอบมากเกินไป ดังนั้นต้องกำราบ หากจะให้สมดุล หวังทงต้องรู้จักยอมถอยเอง ลงแดนใต้ไปแล้วกลับมาก็ขอไปอยู่ตอนเหนือด้วยตนเอง
แต่หลังหวังทงไปแล้ว ขุนนางบุ๋นก็เปลี่ยนเป็นเหิมเกริมทันที ใช้การแต่งตั้งรัชทายาทมาบีบฮ่องเต้ว่านลี่ให้สิ้นหนทาง ขุนนางบุ๋นคิดจะแทนอำนาจแบบจางจวีเจิ้งในตอนนั้น และไทเฮาก็ยังคงคิดคุมอำนาจบริหาร พระองค์ไม่กล้าเคลื่อนกำลัง ได้แต่ปล่อยให้พวกเขาอยู่ในที่ตั้งไม่เคลื่อนไหว
ก่อนหวังทงกลับเมืองหลวง แม้ว่าเป็นการโต้แย้งเรื่องลำดับอาวุโสของบุตรชาย แต่ฮ่องเต้ว่านลี่กลับรู้สึกว่าเป็นการบีบอำนาจปกครองของพระองค์และตำแหน่งฮ่องเต้ของพระองค์ รู้สึกว่าตำแหน่งฮ่องเต้สั่นคลอน
หวังทงนำทัพออกปราบเผ่าอันต๋า ยึดเมืองกุยฮว่าเฉิง ไทเฮาฉือเซิ่งก็ส่งอิทธิพลกดดันฮ่องเต้ว่านลี่อย่างหนัก แต่พอหวังทงรบชนะกลับมา ทุกคนก็รีบหยุดลั่นกลองรบทันที ครั้งนี้ก็เช่นกัน ในวังนอกวังประสานเสียงรับกัน บีบฮ่องเต้ว่านลี่ไร้หนทาง แต่สุดท้ายพอหวังทงกลับมา ทุกอย่างก็เงียบสงบราวกับไม่เคยมีเรื่องราวมาก่อน
ตอนนี้หวังทงจะลาออกจากตำแหน่ง หากทรงผลักเรือลอยตามน้ำไป ก็ไม่ต้องกังวลว่าหวังทงจะครองอำนาจมากไป ไม่ต้องกังวลการสมดุลอำนาจขุนนาง แต่พอหวังทงบอกจะไปจริงๆ ผู้ใดจะรู้ว่าจากนี้จะเกิดกระแสนี่นั่นอีกหรือไม่ หวังทงมาช่วยไว้ถึงสองครั้ง สองครั้งล้วนได้รับผลตอบแทนไม่ดีนัก จากนี้ไป เขายังจะมาอีกหรือ? คนอื่นมองเห็นจุดจบหวังทงแล้ว ยังจะมาช่วยให้ซ้ำรอยแบบเดิมอีกหรือ?
คนที่ฮ่องเต้ว่านลี่สามารถทรงเชื่อใจได้ หวังทงเป็นเพียงคนเดียวที่มีกำลังสามารถ และยังได้แสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดี คนอื่นไม่สามารถจัดการภาพรวมได้เช่นนี้ ความสามารถรอบด้านไม่ว่า พวกเขาจะมีความจงรักภักดีหรือไม่ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเหมือนหวังทง ที่รับประกันความจงรักภักดีได้ และยังสามารถแสดงถึงความภักดีทั้งสองครั้งไม่เปลี่ยน
พระที่นั่งเฟิ่งเทียนเหมินเงียบมาก ฮ่องเต้ว่านลี่ยังคงประทับยืน ยืนเหม่อคิดอยู่ คนที่เหลือก็ได้แต่คุกเข่า นอกจากหวังทงที่ยังคงท่าตามเดิม สีหน้าท่าทางไม่แปรเปลี่ยนแล้ว คนอื่นๆ พากันสบตาไปมา บ้างก็ลอบมองสีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่
ขุนนางบุ๋นไม่กล้ากล่าวอันใดอีก เมื่อครู่เซินสือหัง หวังซีเจวี๋ยกับปี้เชียงทูลขึ้นราวกับราดน้ำมันบนกองไฟ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็กริ้วหนักแล้ว หากยังทูลต่อ คงได้ถูกพระอารมณ์ระเบิดใส่เป็นแน่
ขันทีทุกคนที่คุกเข่า จางเฉิงสีหน้าสับสนที่สุด เขาคิดจะพูดแต่ก็รู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่ควรพูด หากพูดออกไป เกรงว่าจะได้ผลร้ายมากกว่า คนอื่นๆ ก็เอาแต่คุกเข่า ไม่กล้าเงยหน้า เรื่องเช่นนี้ไม่เกี่ยวอันใดกับพวกเขา เจ้าจินเลี่ยงคุกเข่าอยู่นั่นก็คลานเข่าเดินเข้ามาด้านหน้า จางเฉิงลังเลครู่หนึ่ง คิ้วขมวดทันที จ้องมองหวังทง
ในตอนนี้จุดศูนย์กลางอยู่ที่ฮ่องเต้ว่านลี่ หวังทงอยู่หรือไป ล้วนขึ้นกับการตัดสินใจวินาทีนี้ของฮ่องเต้ หากตอนหวังเพิ่งยื่นฎีกาลาออก ฮ่องเต้ว่านลี่ปัดตกไปทันทีก็จบเรื่อง แต่ตอนนี้ไปสู่อีกกระบวนการแล้ว ฮ่องเต้ว่านลี่ลังเลเงียบไป แสดงให้เห็นว่า ฮ่องเต้ไม่ได้ทรงกริ้ว แต่กำลังคิดหนักเรื่องจะรั้งหวังทงไว้หรือไม่
“เรา……”
ฮ่องเต้ว่านลี่ส่งเสียงออกมาคำหนึ่ง ทุกคนเงยหน้ามอง ฮ่องเต้ว่านลี่ส่ายพระพักตร์ตรัสอีกว่า
“เสี่ยวเลี่ยง ไปเอากระถางไฟมานี่!”
ทุกคนอึ้งไป ผู้ใดก็คิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้ว่านลี่จะรับสั่งอะไรที่เหมือนไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่กำลังจัดการอยู่ตอนนี้แม้แต่น้อย เจ้าจินเลี่ยงพอได้ยินรับสั่งเช่นนี้ก็อึ้งไป รีบลุกขึ้นออกไปสั่งการ
เดือนแปดแล้ว ในวังเตรียมกระถางไฟไว้อยู่ ไม่นานกระถางไฟก็ถูกยกเข้ามา ฮ่องเต้ว่านลี่กวักพระหัตถ์เรียกให้เคลื่อนกระถางไฟเข้ามาใกล้อีกนิด
พอมาถึงหน้าแท่นที่ประทับ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ก้าวลงมา โยนฎีกาในพระหัตถ์ลงไป กระดาษติดไฟ ลุกไหม้ทันที ควันลอยกระจายไปทั่วพระที่นั่ง มีคนอดไม่ได้ไอขึ้นเบาๆ
ฮ่องเต้ว่านลี่มองฎีกาลาออกของหวังทงถูกเผา จนกลายเป็นเถ้า จึงได้โบกมือให้คนนำออกไป หวังทงเงยหน้าขึ้นมองการกระทำของพระองค์แต่ต้นจนจบ
“หวังทงสร้างความชอบใหญ่ พระราชทานยศถาและที่นา เรายังมีรางวัลอีก……งานองครักษ์เสื้อแพรตอนเจ้าไม่อยู่นั่นวุ่นวายมาก เจ้าควรไปจัดการให้ดี ไม่ต้องเอาแต่คิดว่าจะไปสบายที่ตอนเหนือ ปล่อยให้เราอุดอู้อยู่เมืองหลวงคนเดียว”
“ระบบองครักษ์เสื้อแพร กระหม่อมจะดูแลกวดขันให้เข้มงวด ขอทรงวางพระทัย”
หวังทงโขกศีรษะทูลตอบจริงจัง ฮ่องเต้ว่านลี่กวาดพระเนตรมองขุนนางใหญ่ตรัสอีกว่า
“ลุกขึ้นทุกคน คุกเข่าอยู่นานแล้วไม่ปวดขาหรือไง หากยังมีฎีกาก็รายงานมา!”
พระกระแสรับสั่งเริ่มรำคาญเล็กน้อย ขุนนางพากันลุกขึ้น พวกอายุมาก็อาศัยจังหวะนี้ขยับขาไปมา จากนั้นก็ลอบมองไปยังหวังทงกับฮ่องเต้ว่านลี่ เรื่องนี้นับว่าจบแล้ว เห็นสองคนถามตอบกัน เหมือนเมื่อครู่ไม่ได้มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น แต่วาจาพวกนั้นทุกคนได้ยินกับหู กระดาษแม้เผาไปหมดแล้วก็ยังส่งกลิ่นคละคลุ้งไปทั่ว
“เลิกประชุม~~~”
ทุกคนไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ได้ยินขันทีขานปิดประชุม เงยหน้าขึ้นอีกที ฮ่องเต้ว่านลี่ก็หันพระวรกายกลับออกไปแล้ว
หวังซีเจวี๋ยสะบัดแขนเสื้อ กำลังจะเข้าไปกล่าวอันใด ก็มีคนรั้งไว้ หันไปมอง เป็นมหาอำมาตย์เซินสือหังส่ายหน้า สีหน้าจริงจัง หวังซีเจวี๋ยลังเลไปมา ก็ส่ายหน้าถอนหายใจเบาๆ
พอเลิกประชุม ราชบัณฑิตในคณะเสนาบดีใหญ่ทุกท่านก็ไปทำงานที่หอประชุมเหวินเหยียนเก๋อต่อ เสนาบดีหกกรมกองกับเจ้ากรมสำนักตรวจสอบก็หันหลังกลับ ปล่อยหวังทงไร้เพื่อนเดิน หวังทงเองไม่สนใจ
มีขุนนางใหญ่ลอบสังเกตสีหน้าหวังทง ทว่าพวกเขาต้องผิดหวัง หวังทงแม้อายุยังน้อย แต่ก็แสดงออกนิ่งเฉยมาก ตั้งแต่เข้าประชุมจนเลิกประชุม สีหน้าก็ยังคงไม่แปรเปลี่ยน
ตอนเดินไปถึงระเบียงคด เจ้าจินเลี่ยงวิ่งตามมาด้านหลัง ระยะห่างพอควรแล้วก็โบกมือเรียกดังว่า
“ใต้เท้าหวังโปรดรอก่อน ฝ่าบาทมีกระแสรับสั่ง!”
ขุนนางใหญ่หลายคนก็พลอยหยุดฝีเท้าไปด้วย แม้ว่าตามมารยาทแล้วพวกเขาไม่ควรหยุดฟังก็ตาม แต่เรื่องใหญ่ในราชสำนัก รับสั่งฮ่องเต้ ได้ยินมากอีกสักหน่อย เข้าใจมากอีกสักหน่อย อย่างไรก็ไม่ผิด
หวังทงถวายคำนับรับพระบัญชา เจ้าจินเลี่ยงยืนกล่าวเสียงดังว่า
“ฝ่าบาท มีกระแสรับสั่งว่า ให้หวังทงวางใจทำหน้าที่ต่อไป ไม่ต้องคิดมาก รับราชโองการ!”
ประกาศจบ เจ้าจินเลี่ยงรีบก้าวเข้าไปประคองหวังทงกล่าวว่า
“พี่หวัง มีแค่นี้ ไม่มีอย่างอื่นแล้ว”
ขุนนางใหญ่หลายคนที่หยุดฟังสบตากัน พากันส่ายหน้า เห็นได้ถึงสีหน้าผิดหวังของทุกคน แต่เรื่องถึงบัดนี้ พวกเขาเขาที่ยังมีหวังริบหรี่อยู่นั่นก็พังทลายสิ้น พวกเขาไม่อาจทำอันใดได้อีกแล้ว
***************
“น้องหวังกระทำเช่นนี้ก็เสี่ยงไป แม้ว่ามั่นใจ แต่หากพลิกผันเล่า!?”
ในจวนหวังทงคืนนั้น มีงานเลี้ยงเล็กๆ คนที่มาร่วมก็มีเพียงหลี่ว์วั่นไฉคนเดียว พออาหารขึ้นโต๊ะครบ สองคนนั่งลง หลี่ว์วั่นไฉก็กล่าวขึ้น
วาจามีน้ำเสียงตำหนิ หวังทงยิ้มไม่รับคำ หลี่ว์วั่นไฉกลับควักเอาฎีกาจากอกเสื้อ ออกมาจุดไฟเผาทิ้ง จากนั้นก็โยนลงกระถางทองแดง ดูเผาหมดแล้วก็กล่าวอีกว่า
“หากฝ่าบาทอนุญาตให้น้องหวังลาออกจริง พี่อย่างไรก็ต้องยื่นฎีการั้งไว้ ยังอาจกระเทือนถึงขุนนางอีกหลายคน ถึงตอนนั้นไม่รู้ว่ารั้งกลับคืนมาได้หรือไม่ ยังต้องลงมืออีกหลายขั้นตอน”
“นี่คือฎีกานั่นกระมัง?”
หวังทงยิ้มถาม เห็นหลี่ว์วั่นไฉพยักหน้า หวังทงยกจอกสุราแสดงการคารวะ ชนจอกสุรากับหลี่ว์วั่นไฉแล้วก็กล่าวว่า
“พี่หลี่ว์ไม่ต้องกังวล ฝ่าบาทใช่ว่าเผาฎีกาข้าไปแล้วหรือ? แสดงให้เห็นท่าทีฝ่าบาท……”
หลี่ว์วั่นไฉกระดกจอกสุราดื่มจนหมด ส่ายหน้ากล่าวว่า
“เรื่องวันนี้คนในเมืองหลวงที่ควรรู้ก็รู้กันหมดแล้ว น้องหวังยื่นฎีกาลาออก ฝ่าบาทลังเลนาน นี่มันอันตรายมาก แสดงให้เห็นชัดว่า ฝ่าบาทเองก็หวั่นไหวเรื่องให้เจ้าลาออกเช่นกัน เกิดทรงอนุญาตเล่า น้องหวังสร้างความชอบมามากมาย เมืองหลวงจัดการไว้มากมาย สุดท้ายใช่ว่าหมดสิ้นราวหมอกควันหรือ หรือว่าจะต้องต่อสู้ลำบากอีกสักตั้งให้ได้กัน!?”
“พี่หลี่ว์ แม้ว่าครั้งนี้อันตราย แต่ท่านไม่อาจไม่คิดว่าหลังครั้งนี้ไปแล้ว ข้าจะมั่นคงในเมืองหลวงมายิ่งขึ้น ฝ่าบาทแม้ลังเล แต่ทรงทำเช่นนี้ กลับทำให้แต่ละฝ่ายในเมืองหลวงได้รู้ว่า คิดจะใช้วาจาความดีความชอบเหนือนายมาโจมตีข้านั้นไม่ได้แล้ว!”
สาวใช้ยกกระถางไฟที่ดับมอดออกไป หลี่ว์วั่นไฉหยุดวาจาไว้ก่อน พอสาวใช้ออกไป หลี่ว์วั่นไฉถอนหายใจยาวกล่าวว่า
“ไยต้องลำบากเช่นนี้ ครั้งนี้เจ้าช่วยฝ่าบาทไว้ยิ่งใหญ่ เท่ากับสร้างคุณความชอบกับฝ่าบาท น้ำใจนี้มอบให้ฝ่าบาทใช่ว่าจะได้ประโยชน์ใหญ่หรือ เจ้าทำเช่นนี้เท่ากับหมดกัน หากเหมือนปีก่อน อืม ไม่สู้ตอนเจ้าสร้างความชอบใหญ่กลับมา!”
หวังทงหุบยิ้ม เล่นจอกชาในมือไปมา กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“น้ำใจจะสักเท่าไรกัน คุณความชอบจะสักเท่าไรกัน ทุกอย่างพอเกี่ยวพันถึงอำนาจ ล้วนไร้ราคาจะเอ่ย หากข้ายังคิดว่ามีคุณความชอบกับฝ่าบาท ฝ่าบาทก็จะยิ่งไม่สบายพระทัย หากยามนี้มีคนคิดยุแยงให้ฝ่าบาททรงระแวง เช่นนี้ก็จะเป็นภัยใหญ่ การทำเช่นนี้ก็เพื่อให้ฝ่าบาทละทิ้งที่ทรงติดค้างไว้ทุกสิ่ง คิดเพียงผลได้ผลเสียเท่านั้น หากไม่มีหวังทงอยู่ข้างพระวรกาย สถานการณ์จะเปลี่ยนไปเช่นไร ฝ่าบาทย่อมทรงวิเคราะห์เองได้กระจ่าง ทรงให้ข้าได้อยู่ต่อ จากนี้ข้าอยู่เมืองหลวงก็จะมั่นคงแท้จริง”
หลี่ว์วั่นไฉได้ยินวาจาหวังทงกเงียบไปนานก่อนจะถอนหายใจกล่าวว่า
“ปีนั้นเช่นนี้ วันนี้ก็ไม่ต่าง มันช่าง…”
ที่ต้องการพูดไม่อาจพูดต่อ