องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 912 ปลายปีที่เหลือในปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 13
การเมืองไม่มีคนคิดหาเรื่องใส่ตัวอีก ได้ยินบทสรุปราชสำนักเช่นนี้ ก็รู้ว่าหวังทงกลับเมืองหลวงมาแล้ว และยังมีสถานะที่มั่นคงมากอีกด้วย
ในเมื่อหวังทงกล่าวชัดเจนในที่ประชุมขุนนางแล้ว ผู้บัญชาการกองกำลังเมืองหลวงตำแหน่งนี้ก็ไม่ได้มอบให้เขาตามที่ลือกัน เมืองหลวงมีกำลังมากพอ ยังมีชนชั้นสูงที่นำกำลังเป็น และคนนี้ยังค่อนไปทางฮ่องเต้ว่านลี่ ก็คือเซียงเฉิงป๋อเฉินจินเซิ่ง ไม่ได้เหนือความคาดหมายแต่อย่างใด เป็นตัวเลือกที่แน่นอนตามคาด
ทว่าการรับตำแหน่งนี้ก็ทำให้คนรู้สึกเสียดแทงไม่น้อย เซียงเฉิงป๋อเฉินจินเซิ่งเป็นผู้บัญชาการคุมกองกำลังเมืองหลวง ลูกชายเขาเป็นหัวหน้ากองกำลังหย่งซื่อ อำนาจการทหารตระกูลเฉินใช่ว่าครองครึ่งหนึ่งของกองกำลังเมืองหลวงนี้หรือ
เสียดแทงจริงๆ เพราะข่าวหวังทงทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ตระกูลเฉินพ่อลูกเลยได้ไปครองแทน แล้วก็กลับไม่มีผู้ใดวิจารณ์อีก
เป็นเรื่องปกติที่ชนชั้นสูงปกติมีชื่อแค่คุมกำลัง แต่ไม่มีอำนาจสั่งการจริง กองกำลังสังกัดวังหลวงจะมอบให้ขันทีที่เป็นตัวแทนจากในวังมีหน้าที่ดูแลหลัก ยามนี้กองกำลังเมืองหลวงแสนกว่าที่สำคัญที่สุดก็คือกำลังใต้การควบคุมของขุนพลทหารที่มาจากลานฝึกหู่เวย เช่นนี้ก็จะไม่ทำให้เกิดเหตุการณ์ที่ว่าสั่งเคลื่อนกำลังไม่ได้ หรือที่เรียกว่าบ่าวเหนือกว่านาย นายไม่อาจสั่งการได้
พ่อลูกตระกูลเฉินรวมทั้งตระกูลถัง ตอนนั้นเป็นวงชนชั้นสูงเมืองหลวงชายขอบ ตอนนี้กลับได้เป็นตระกูลอันดับต้น พ่อลูกล้วนดำรงตำแหน่งที่ทรงอำนาจ
ยังมีอีกตำแหน่งที่ไม่ค่อยเป็นที่จับตาก็คือ ผู้ว่าเมืองเว่ยฮุยสวีกว่างกั๋วที่สร้างผลงานได้ดี จึงได้ไปเป็นรองที่ปรึกษาฝ่ายขวากรมปกครองประจำเหอหนาน ก็เท่ากับก้าวไปอีกขั้น อาจเป็นไปถึงเจ้ากรมปกครองท้องที่ ดูแลราษฎรทั้งมณฑล แม้ยามถูกเรียกตัวกลับเมืองหลวงก็คงได้ไม่ต่ำกว่าตำแหน่งเจ้ากรม
มีคนอุทานว่าหวังทงมีขึ้นมีลง แต่คนที่สัมพันธ์กับเขาล้วนได้เรืองอำนาจวาสนา สวีกว่างกั๋วมาจากตำแหน่งจวี่เหริน ตระกูลเฉินเป็นชนชั้นสูงตกอับ ยังมาสู่สถานะตอนนี้ได้ ไม่ต้องพูดถึงพวกองครักษ์เสื้อแพรปลายแถว ที่ตอนนี้ล้วนเรืองอำนาจวาสนา
**************
ตั้งแต่หวังทงยื่นฎีกาลาออก แม้ว่าฎีกาถูกฮ่องเต้ว่านลี่เผาทิ้งต่อหน้าที่ประชุม ตำแหน่งหน้าที่เดิมก็ยังทำต่อไป แต่ปกติตอนหวังทงอยู่เมืองหลวง อย่างน้อยสามวันก็ต้องเข้าเฝ้า แต่ทว่าปีนี้ มาถึงกลางเดือนเก้า ฮ่องเต้ว่านลี่จึงได้เรียกเข้าเฝ้า ยังเป็นการเข้าเฝ้าแบบประชุมหารือใหญ่กับขุนนางหลายคน
ผู้ใดก็รู้ว่าฮ่องเต้ว่านลี่กำลังกริ้วที่หวังทงขอลาออก ทว่าความเหินห่างนี้ ผู้ใดก็ไม่คิดว่าเป็นการสูญอำนาจของหวังทงคิดแต่ว่าหวังทงจากนี้คงยืนมั่นคงยิ่งขึ้น
ขุนนางบัณฑิตในราชสำนักน้อยใหญ่ กล้ามีเรื่องกับฮ่องเต้เรื่องแต่งตั้งรัชทายาท กล้าทำเรื่องเล็กขี้ปะติ๋วให้เป็นเรื่องใหญ่ระดับหลักจารีตคุณธรรมใหญ่ แต่สถานการณ์มาถึงตอนนี้ พวกเขาย่อมรู้ว่าควรประจบฮ่องเต้
ฮองเฮาหวังพระวรกายอ่อนแอ ไม่อาจมีโอรสได้ พระญาติก็เหิมเกริม ทำลายชื่อเสียงราชวงศ์ เหตุผลอีกมากมายหลายข้อ บรรดาขุนนางก็จึงร่วมยื่นฎีกาขอให้ฮ่องเต้ว่านลี่แต่งตั้งฮองเฮาใหม่
ฮองเฮาหวังมีไทเฮาฉือเซิ่งเป็นที่พึ่ง ตอนนี้ไทเฮาออกจากวังไปพำนักที่จวนอู่ชิงโหวเพื่อ ‘รักษาพระวรกาย’ โอรสพระสนมเอกเจิ้งได้เป็นรัชทายาท สถานการณ์นี้ยังมีอันใดไม่กระจ่างอีก ทุกคนพลาดโอกาสแต่งตั้งรัชทายาทไปแล้ว ก็ต้องชดเชยคืน ด้วยการขอให้แต่งตั้งพระสนมเอกเจิ้งแทน
จุดยืนแปรเปลี่ยนไปมาก ประชาย่อมเสียดสี แต่พวกเป็นขุนนาง นอกจากพวกยอมหักไม่ยอมงอแล้ว ผู้ใดก็ล้วนใส่ใจเรื่องเล็กพวกนี้ พากันออกมาประสานเสียงรับเรื่องแต่งตั้งฮองเฮาใหม่
ในวังก็ร้องรับเรื่องนี้ ฎีกาเกี่ยวกับฮองเฮาฮ่องเต้ว่านลี่เก็บค้างไว้หมด แต่ก็ยังเรียกตัวมหาอำมาตย์เซินสือหัง รองอำมาตย์หวังซีเจวี๋ยในคณะเสนาบดีใหญ่ และเสนาบดีกรมพิธีการคนใหม่ จูชง ยังมีหวังทงมาร่วมหารือ เดิมคิดว่าอาจมีข้อพิพาทบ้าง แต่ความจริงแล้วกลับราบรื่นดี
ฮ่องเต้ว่านลี่ได้จัดการกำราบขุนนางทั้งหมดไปในครั้งเรื่องแต่งตั้งรัชทายาทแล้ว การเปลี่ยนฮองเฮานี้เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ทุกคนไม่จำเป็นต้องออกมาหาเรื่องขัดแย้ง
เสนาบดีกรมพิธีการจูชงถึงกับยังเสนอเรื่องพิธีการแต่งตั้ง สุดท้ายกลับเป็นฮ่องเต้ว่านลี่เองที่ทรงคิดหนัก รู้สึกว่าปีนี้เรื่องวุ่นวายมากมายแล้ว สู้เอาไว้ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 14 ค่อยเปลี่ยนฮองเฮาจะดีกว่า ทุกคนก็ล้วนเห็นตามนั้น
ปลายเดือนสิบ ครอบครัวหวังทงก็มาถึงเขตปกครองเหนือภายใต้การคุ้มกันของทหารคุ้มกัน จากนี้ไปภาระหน้าที่หวังทงจะอยู่ที่เมืองหลวง ครอบครัวก็ย่อมตามมาอยู่ด้วย
ตอนนี้พระสนมเอกเจิ้งมีอำนาจสั่งการมากในวังหลัง และพระสนมเอกเจิ้งยังสนิทกับจางเฉิงและโจวอี้ที่เรืองอำนาจ ยังมีเจ้าจินเลี่ยงอีก ยิ่งทำให้พระสนมเอกเจิ้งเรืองอำนาจมาก หวังทงข้างนอกแม้ว่าไม่ได้กุมอำนาจกองกำลังเมืองหลวง แต่อำนาจบารมีเขานั้นไม่มีผู้ใดกล้าตั้งคำถาม
ข้างในมีพระสนมที่ทรงโปรด ข้างนอกมีขุนนางทรงอำนาจ ขุนนางบุ๋นสูญอำนาจ โครงสร้างนี้เรียกได้ว่าวันเวลาแห่งความมืดมิดที่คนมักว่ากัน พระสนมและขุนนางชั่วร่วมมือกัน ให้ร้ายคนดี บันทึกพวกนี้แต่ไรมาก็มีอยู่มากมาย มีบัณฑิตเริ่มเขียนบทความเช่นนี้ พรรคพวกเขาที่โรงงิ้วก็เตรียมเล่นเรื่องนี้
ในเรื่องนี้หวังทงได้แต่หัวเราะขำ เรื่องเช่นนี้ทำอันใดเขาไม่ได้ ไม่จำเป็นต้องสนใจมากนัก ทว่าหยางซือเฉินกลับใส่ใจมาก และยังบอกว่าราษฎรไม่รู้เรื่อง งิ้วเขียนเช่นนั้น ก็จะคิดว่าเป็นเช่นนั้น เขาจึงได้เรียกตัวบัณฑิตมากลุ่มหนึ่งเตรียมตัวเขียนบทงิ้วโต้กลับ
เมืองหลวงและเขตปกครองเหนือ รวมมณฑลซานซี ซานตงและเหอหนาน หวังทงล้วนมีสายสืบอยู่ อย่างไรก็เป็นตอนเหนือ เมืองหลวงควบคุมได้ดี กระแสวิพากษ์วิจารณ์หวังทงในเมืองหลวงครั้งนี้ถูกระงับลงอย่างรวดเร็ว และค่อนข้างเอนเอียงเป็นพวกฮ่องเต้ว่านลี่ แต่แดนใต้นั้นกลับกัน ทางนั้นเดิมเป็นพื้นที่มั่นของลูกหลานที่เป็นขุนนางบุ๋น ครั้งนี้ที่เสียหายมากที่สุดก็คือพวกเขา ย่อมต้องไม่มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ดีนัก
หวังทงกลับไม่รู้สึกหนักใจในเรื่องนี้ หากเป็นเมื่อก่อน กระแสโกรธแค้นแดนใต้ หวังทงอย่างไรก็ย่อมไม่อาจรู้ได้ แต่ตอนนี้ นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรหนานจิงจางเหลียนเซิงทำงานฉับไว ข่าวต่างๆ รายงานมายังเมืองหลวงอย่างเร็วที่สุด ความต้องการของหวังทงก็คือ ให้ร้านสามธาราส่งคนมากหน่อยไปแดนใต้ ที่นั่นมีการค้าที่ประมาณมิได้ หวังทงไปมาครั้งหนึ่ง ก็รู้สึกว่าจะต้องสร้างเส้นทางการข่าวของตนเองที่นั่น
****************
ผ่านปีที่ 12 และ 13 ในรัชสมัยว่านลี่ สองครั้งที่ทรงถูกบีบจนอึดอัดไปไม่เป็น ฮ่องเต้ว่านลี่ในที่สุดก็รับรู้แล้วว่า สถานะฮ่องเต้ไม่ได้หมายความจะทรงกุมอำนาจทุกอย่างไว้ในมือได้ ต้องสั่งการได้จึงจะเป็นผล
ขุนพลทหารเมืองเซวียนฝู่กับเมืองจี้โจวและขุนพลทหารที่มาจากลานฝึกหู่เวยถูกโยกไปกองกำลังเมืองหลวงกับกองกำลังสังกัดวังหลวง ฮ่องเต้ว่านลี่เตรียมการในเรื่องนี้ไม่หยุด
ขณะฮ่องเต้ว่านลี่กำลังโยกย้ายทหาร หวังทงกลับไปเทียนจินหลายครั้ง แม้ว่าเมืองหลวงจะมั่นคงแล้ว แต่หวังทงก็รู้ว่าตนเองเรืองอำนาจมีอิทธิพลยิ่งมาก ไม่ว่าพูดอย่างไรก็ย่อมต้องส่งผลให้อำนาจฮ่องเต้อ่อนแอลง อย่างไรห่างไกลไว้หน่อยดีกว่า
เรื่องอิทธิพลบนท้องทะเลที่เทียนจิน ตามที่ได้คุยส่วนตัวกับทังซาน ซาต้าเฉิงนำครอบครัวจากเขตปกครองใต้มาอยู่เทียนจินแล้ว และยังซื้อที่ทำนาในเขตเมืองหย่งผิงและซุ่นเทียน เตรียมลงหลักปักฐาน แต่เสิ่นหวั่งกลับอยู่เทียนจินน้อยลง
จางซื่อเฉียงส่งคนปะปนไปในกองกำลังของเสิ่นหวั่ง เสิ่นหวั่งแท้จริงแล้วมีลูกที่อื่นอีกหรือไม่ ปีนี้ก็จะได้คำตอบ
ยามนี้เมืองเหลียวโจวระแวงป้องกันเทียนจินมากยิ่งขึ้น ทว่าการค้าทางทะเลก็ยังคงมากอยู่ สินค้าเทียนจินราคายังคงสูง คิดจะไล่ไปก็คงไม่ได้
บรรดาพ่อค้าเทียนจินเริ่มถูกกีดกันมากขึ้นเรื่อยๆ เดิมที่เปิดร้านไว้ที่เหลียวหยางและเสิ่นหยางหลายร้านก็ถูกขับออกไป ตอนนี้มีเหลือแค่สามที่ คือเหนียงเหนียงกงที่ปากน้ำเหลียวเหอ วั่นไห่ไถที่กองกำลังหนิงหย่วน และยังมีเหลียนอวิ๋นที่เกาะเหลียนอวิ๋นเท่านั้น บรรดาพ่อค้าต่างแสดงความกังวลในเรื่องนี้มาทางหวังทง ตอนนี้แม้ว่ายังกำไร แต่วันหน้าจะเป็นเช่นไร?
ทว่าราวปลายเดือนสิบ ก็ต้องปิดทะเลปิดเส้นทางน้ำ มีแต่เส้นทางบกที่มาทางเมืองหย่งผิงกับด่านซานไห่กวาน อ้อมไกลไปเมืองเหลียวโจว ทุกอย่างยุ่งยาก แต่เรื่องนี้ยังไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน
*****************
ถึงเดือนสิบเอ็ด เมืองกุยฮว่าเฉิงเกิดเรื่อง
เมืองกุยฮว่าเฉิงเป็นพื้นที่นอกชายแดนแผ่นดินหมิงตอนเหนือ รอบด้านล้วนเป็นศัตรู ไม่มีเรื่องสิแปลก แต่ครั้งนี้กลับเป็นกระแสดังในเมืองหลวง
ขุนนางกรมอากรกับกรมโยธาและสำนักอาชาหลวงที่ประจำอยู่เมืองกุยฮว่าเฉิง บางคนก็อยู่ประจำ บางคนก็ไปตอนฤดูใบไม้ผลิ ใกล้ปีใหม่ก็จะกลับมารายงานตัว
เรื่องเมืองกุยฮว่าเฉิงไม่ซับซ้อน ขบวนพ่อค้าหนึ่งขึ้นตอนเหนือเมืองกุยฮว่าเฉิงไปถูกปล้น ไม่ใช่ทุกขบวนพ่อค้าที่จะป้องกันแน่นหนา ที่สามารถจะรอกำลังมาช่วยเหลือตอนกองโจรม้ามา ขบวนพ่อค้าถูกกองโจรม้าปล้น จากนั้นก็บาดเจ็บไปกว่าครึ่ง คนที่เหลือคือหนีอออกมา
ตามกฎเมืองกุยฮว่าเฉิง ขบวนพ่อค้าแขวนป้ายคุ้มกันเสียเปรียบย่อมต้องกลับมาเรียกร้อง พ่อค้าที่เสียหายไปก็ย่อมแค้นใจส่งกำลังออกไป ตอนนี้ทุ่งหญ้านอกด่านเป็นที่พักของลูกหลานชนชั้นสูงเมืองกุยฮว่าเฉิงไม่น้อย พวกนี้เป็นพวกเก่งการต่อสู้ไม่น้อย เห็นเมืองกุยฮว่าเฉิงรุ่งเรือง ก็ย่อมต้องลงมือเพื่อกอบโกยให้ตนเองบ้าง
การเอาคืนนี้ นอกจากกองกำลัง 300 นายที่ควรไปแล้ว ยังมีคนนอกเมืองที่อยากไปร่วมด้วยอีกราวพันนาย ทุกคนไปอย่างฮึกเหิม กองโจรม้านั่นหนีไปอย่างไร้ล่องลอยก่อนหน้าแล้ว จะไปหาพบได้อย่างไร
แต่กองทัพม้าใหญ่ออกนอกเมือง อย่างไรก็ไม่ควรมือเปล่ากลับมา ดังนั้นทุกคนก็วิ่งออกไปทางตะวันออกอีกสองวัน เพื่อหาเผ่ารอบนอกของพวกเผ่าฉาฮาเอ่อ ลงมือทันที กวาดล้างปล้นชิงสัตว์เลี้ยงและเงินทองกลับเมืองกุยฮว่าเฉิง
หลังจากนั้นเผ่าฉาฮาเอ่อก็รวมบรวมทหารม้าหลายพันนายมาเอาคืน ขวางทางขบวนพ่อค้าไปเมืองกุยฮว่าเฉิง จากนั้นร้านค้าเมืองกุยฮว่าเฉิงก็รวมกำลังผู้คุ้มกัน 2,000 กว่าพร้อมรถใหญ่และปืน ยังมีทหารม้าประจำเมืองอีก 3,000 ไปด้วย เพื่อทำลายกองกำลังทหารม้าหลายพันให้สิ้นซาก
จากนั้นไม่รู้เป็นมาอย่างไร ขุนนางกรมอากรที่ยื่นฎีกาเรื่องนี้กลับเมืองหลวง มาถึงก็ยื่นฎีกาฟ้อง เหตุผลก็คือ การทำเช่นนี้เป็นการสร้างภัยให้แผ่นดินหมิง และยังไร้คุณธรรม จะทำให้เผ่าต่างๆ บนทุ่งหญ้าเอาใจออกห่าง