องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 913 ที่ประชุมถกชายแดน
ปัญหาชายแดน สี่คำนี้ไม่ว่าสมัยใดล้วนเป็นเรื่องร้อนใจ ไม่ต้องพูดถึงว่ารบด้วยเหตุผลหรือไม่ แต่การเปิดศึกพวกนอกเผ่า ล้วนเป็นเรื่องระดับชาติ ย่อมต้องคิดให้รอบคอบ
ว่าจากใจแล้ว ขุนนางกรมอากรที่มายื่นฎีกานี้ไม่ได้เกี่ยวข้องใดกับการแก่งแย่งระหว่างขุนนางบุ๋นและบู๊ รวมถึงอำนาจหวังทง ยังไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์วุ่นวายเลอะเทอะเมื่อคราก่อนด้วย เพียงแต่เป็นห่วงเท่านั้น
ฎีกาที่ยื่นจากใจแท้จริงนี้ในสถานการณ์ตอนนี้ ทำให้เกิดผลกระทบไม่น้อย อย่างน้อยขุนนางกรมอากรก็ได้พูดเรื่องที่ต้องการพูด ไม่หวังว่าเมืองหลวงจะสนใจอันใด แต่ฎีกาเขานั้นถูกเสนาบดีเรียกตัวไปสอบถามละเอียด และจากนั้นในวังก็มีขันทีมาสอบถาม
หลังจากเข้าใจเรื่องพวกนี้แล้ว จึงได้นำมาเข้าในการประชุมขุนนาง
การประชุมขุนนางเมื่อก่อนหากถกกันเรื่องการเมืองหลายเรื่อง มักเป็นการโจมตีบุคคลมากกว่าถกเรื่องราวจริงๆ แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิม ทุกคนล้วนรู้จักสงบเสงี่ยม
“……ทว่าการขัดแย้งระหว่างขบวนพ่อค้ากับพวกโจร เงินหลายพันตำลึงเข้าออก หลายสิบชีวิตบาดเจ็บล้มตาย จากนั้นก็สังหารเผ่าพวกนอกด่านนับพัน จับตัวเชลยนับพันและกวาดต้อนทรัพย์สินกลับมา จากนั้นก็เปิดศึกหลายหมื่นคน ตายไปอีกหลายพันคน ตอนนี้เมืองกุยฮว่าเฉิงไม่มีข่าวมา เผ่าฉาฮาเอ่อเป็นเผ่าใหญ่บนทุ่งหญ้า จากนี้หากจะมีสงครามอีก คาดว่าทางเมืองกุยฮว่าเฉิงคงพอจะรับมือได้ แต่หากจะดึงดันยืดยื้อต่อไป ดีไม่ดีอาจทำให้เกิดเหตุสงครามเช่นตอนยึดเผ่าอันต๋า หากเป็นเช่นนี้….”
เสนาบดีกรมทหารปี้เชียงกล่าวชัดถ้อยชัดคำ ที่เขาว่ามาสุดท้ายแล้วหยุดไม่พูดต่อ พวกเขาเป็นพวกที่สลัดพวกหยางเหว่ยทิ้งจนได้ขึ้นมา ตอนนี้ทำอะไรจึงระมัดระวังตัวยิ่ง
ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ได้แตะต้องพวกเขา เหลือพวกเขาไว้สมดุลอำนาจกับหวังทง แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะอยู่ในตำแหน่งได้อย่างมั่นคง และไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะโจมตีหวังทงได้ แต่เรื่องนี้ เป็นหน้าที่กรมทหาร และยังเกี่ยวพันกับหวังทง ดังนั้นวาจาจึงต้องระมัดระวังไม่ให้ล่วงเกิน
เห็นเขาอ้ำอึ้ง รองอำมาตย์หวังซีเจวี๋ยในคณะเสนาบดีใหญ่ก็รับมากล่าวต่อว่า
“หลายปีนี้การรบบนทุ่งหญ้านอกด่าน แม้ล้วนเป็นชัยชนะแผ่นดินหมิง แต่อย่างไรก็ทำให้ชาวประชาลำบาก เสียเงินเสียทองไปมาก และการรบที่เสี่ยงมากไป ผู้ใดก็ให้การรับรองทั้งหมดไม่ได้ว่าจะชนะ พวกกลุ่มชายฉกรรจ์เมืองกุยฮว่าเฉิงกระทำเรื่องราวที่ไร้ขอบเขต แม้ว่าโชคดีรอดมาได้ แต่ครั้งหน้าหากยั่วยุพวกนอกด่านให้มาอีก เมืองกุยฮว่าเฉิงเป็นพื้นที่สำคัญไม่อาจปล่อยปละไปโดยง่าย คงได้แต่ส่งกำลังกองทัพไปช่วย ถึงตอนนี้ก็ย่อมเป็นสงครามระดับชาติ”
หวังซีเจวี๋ยกล่าวถึงตรงนี้ก็หยุดไปครู่ก่อนจะกล่าวอีกว่า
“กระหม่อมหมายความว่าไม่ใช่กำราบพวกนอกด่านไม่ได้ แต่เพราะว่าไม่อาจทำเพียงเพราะกำไรเล็กน้อยของพวกพ่อค้าจิตใจโหดเหี้ยมในเมืองกุยฮว่าเฉิงที่หวังแต่ประโยชน์ตนเท่านั้น ทำเอาทหารเราต้องออกไปร่วมด้วย เกรงว่าจะเหลวไหลไปเสียหน่อย ได้ไม่คุ้มเสีย”
ฮ่องเต้ว่านลี่ประทับนั่งอยู่คิดหนัก ครั้งแรกที่ทรงได้อ่านฎีกาความจริงจากขุนนางที่กราบทูลจากใจ รู้สึกตื่นเต้นมาก ชายฉกรรจ์แผ่นดินหมิงเก่งกล้าเพียงนี้หรือ สังหารพวกนอกด่านมากอีกหน่อยเป็นเรื่องดี ทว่าเรื่องใดที่ส่งผลกระทบใหญ่ก็ต้องมีขอบเขต ต้องคำนึงถึงไม่ใช่แค่เรื่องรบและความสะใจเล็กน้อยพวกนี้
ฮ่องเต้ว่านลี่แต่ทรงพระเยาว์ก็ได้รับการสอนสั่งว่า ‘ไม่ให้ใช้อาวุธลงมือ’ และ ‘สามัคคีปรองดองมีค่าที่สุด’ เช่นนี้มา เพราะประวัติศาสตร์นั้นผู้ปกครองที่ชื่นชอบการสงครามไม่มีจุดจบที่ดีสักองค์ แม้ว่าได้รับชัยชนะ แต่เงินทองในท้องพระคลังหลวงก็ร่อยหรอ และกำลังคนก็ร่อยหรอ มักจะทำให้การปกครองเกิดความวุ่นวาย
ความหมายหวังซีเจวี๋ยก็คงประมาณนี้ ที่จริงแล้วรองอำมาตย์ท่านนี้ในคณะเสนาบดีใหญ่ค่อนข้างไม่พูดมากและถ่อมตน ฮ่องเต้ว่านลี่ก็พอฟังความนัยเขาออก หากไม่ได้เตรียมตัวออกศึกแล้วยั่วยุให้พวกนอกด่านเปิดศึก ก็เท่ากับทำให้แผ่นดินยุ่งยากวุ่นวาย
แต่ฮ่องเต้ว่านลี่ก็พอรู้สึกได้ว่ามีอันใดไม่ถูกต้องนัก เพราะใต้หล้าหลังทรงครองราชย์ เหมือนว่าแตกต่างจากเมื่อก่อน มีหลายเหตุผลของเมื่อก่อนใช่ว่าเหมาะกับตอนนี้
เงียบไปครู่หนึ่ง ฮ่องเต้ว่านลี่หันไปทางหวังทง ตรัสถามว่า
“หวังทง เรื่องนี้ เจ้าเห็นอย่างไร?”
หวังทงใช้ชีวิตที่เมืองกุยฮว่าเฉิงมาระยะหนึ่ง ระบบทางนั้นเขาย่อมเป็นคนสร้างกับมือ เขาย่อมมีสิทธิ์ออกเสียงที่สุด หวังทงได้ยินก็ก้าวออกมาถวายบังคมทูลน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“ฝ่าบาท กระหม่อมขอถามก่อนสักสองสามคำถาม?”
ฮ่องเต้ว่านลี่พยักหน้า หวังทงกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“ปีนี้ต้นปีมาถึงตอนนี้ เมืองหลวงเคยได้ยินข่าวเช่นนี้มาสี่ครั้ง จำนวนพวกนอกด่านบาดเจ็บล้มตายที่รายงานมาไม่เคยชัดเจน แต่ก็น่าจะมากกว่า 7,000 ได้ ขบวนพ่อค้าผู้คุ้มกันกับลูกหลานเมืองกุยฮว่าเฉิงตายไปราวพันคน ขอใต้เท้าทุกท่านลองคิดดู ชายแดนรายงานมา หัวศัตรูที่ได้มีรายงานมาเท่าไร?”
ทุกคนสบตากัน ตัวเลขนี้เป็นเรื่องสำคัญของทางการ ปี้เชียงกำลังคิดในใจ ฮ่องเต้ว่านลี่กลับหันไปทางจางเฉิงตรัสถามว่า
“จางเฉิง เท่าไร?”
“ทูลฝ่าบาท หากไม่นับรวมที่ใต้เท้าหวังออกศึกมา เกือบ 20 ปีนี้ทางเหนือตัวหัวศัตรูมาได้ทั้งหมด 6,320 พะยะค่ะ”
กล่าวจบ ในที่ประชุมก็เงียบไป สีหน้าขุนนางบุ๋นครุ่นคิดหนักแต่กลับไม่กล้ากล่าวอันใด ฮ่องเต้ว่านลี่ก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตรัสว่า
“หวังทง เจ้าว่าต่อไป!”
“ใต้เท้าทุกท่าน ทุ่งหญ้านอกด่านมีเผ่าใหญ่ทั้งหมดเท่าไร เผ่าพวกนี้จะเคลื่อนกำลังทหารม้าได้เท่าไร ปีนี้เมืองกุยฮว่าเฉิงไม่กระไรนักก็ตัดหัวไปได้หลายอยู่ ที่เหลือกระสานซ่านเซ็น ไม่มีรายงานก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว ใต้เท้าทุกท่าน หวังทงคิดถามว่าตั้งแต่ตั้งเมืองกุยฮว่าเฉิงมา เคยให้ราชสำนักออกค่าเสบียงใดหรือไม่ เคยออกรบกี่ครั้ง?”
ถามเช่นนี้ออกมา ขุนนางใหญ่ก็ได้แต่เงียบ วิพากษ์วิจารณ์มาถึงขั้นนี้ มหาอำมาตย์เซินสือหังกลับไม่อาจเงียบต่อ เข้าออกมากล่าวว่า
“ราชสำนักไม่เคยออกค่าเสบียงใด ทหารที่นั่นก็ไม่เคยเคลื่อนกำลัง”
กล่าวจบ เซินสือหังเองก็ส่ายหน้า การวิพากษ์วิจารณ์ตอนนี้เหมือนทุกอย่างถูกหวังทงจูงไปหมด ช่างน่าอึดอัดที่สุด หวังทงกล่าวอีกว่า
“ฝ่าบาท กระหม่อมกลับจากเมืองกุยฮว่าเฉิง เข้าใจความเป็นไปในเมืองกุยฮว่าเฉิงถ่องแท้ ไม่รวมพวกกลุ่มชาวบ้านที่รับการฝึกการต่อสู้ตามโรงบ้าน แค่ผู้คุ้มกันขบวนการค้าก็ราว 5,000 กว่าแล้ว เหล่านี้ล้วนมีทหารปลดประจำการเราเป็นหัวหน้าฝึก ขุนนางบู๊อาวุธพร้อมก็มี นอกเมืองยังมีคนจากเผ่าต่างๆ บนทุ่งหญ้ากระจัดกระจาย หลายครั้งที่เรียกตัวก็จะมีอีกราวพันกว่า หากรวมกันขึ้นมา ห้าพันกว่าก็พอได้”
กล่าวถึงตรงนี้ กลับถูกฮ่องเต้ว่านลี่ขัดขึ้นถามขึ้น
“ทุกหน่วยรวมกันแล้วได้ราวกี่คน?”
“ทูลฝ่าบาท พวกหน่วยฝึกตามโรงบ้านยามทำนาก็ทำนา เวลาว่างก็ฝึก จำนวนไม่น้อยกว่า 20,000 คน”
“กำลังรบเป็นอย่างไร?”
“แต่ละหน่วยไม่ด้อยกว่าทหารชายแดน”
ที่ประชุมเริ่มมีเสียง ฮ่องเต้ว่านลี่พยักพระพักตร์ สีพระพักตร์พึงพอพระทัยหน้า ขุนนางทั้งหมดได้แต่สบตากันไปมา กล่าวเช่นนี้ เรียกได้ว่าเป็นกองกำลังนับหมื่นที่ไม่ขาดแคลนเสบียง มีทหารปลดประจำการเป็นแกนหลัก ยังมีชัยชนะหลายครั้ง คิดแล้วกำลังปกป้องตนเองนั้นไม่ต้องกังวล
“ใต้เท้าหวังกล่าวเช่นนี้ ใช่ว่าจะบอกว่ารอบเมืองกุยฮว่าเฉิงก็เหมือนดังเมืองชายแดน?”
ขุนนางใหญ่คนหนึ่งอดไม่ได้ถามขึ้น หวังทงยิ้มตอบ
“ใต้เท้าท่านนี้ ชายแดนแผ่นดินหมิง ที่สามารถมีกำลังรักษาตัวเองได้มีกี่ที่?”
ทางนั้นพูดไม่ออก หลายปีนี้ที่ชนะสงครามมาตลอด นอกจากเมืองจี้โจวที่ร่วมรบเมืองกุยฮว่าเฉิงแล้ว ก็มีเมืองเหลียวโจวที่ยกกำลังปราบเผ่าเคอเอ่อชิ่นยึดตัวหลุน ที่เหลือทุกปีตัดหัวศัตรูมาร้อยพันหัวก็เรียกได้ว่าสำเร็จมีหน้ามีตาแล้ว ไหนเลยจะเทียบกับชัยชนะที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้
กล่าวถึงตรงนี้ หวังทงก็สรุปได้แล้ว เขาถวายคำนับฮ่องเต้ว่านลี่ ก่อนจะหันไปกล่าวว่า
“ความสามารถการรบนั้น ฝ่าบาทกับทุกท่านใต้เท้าก็ได้รู้แล้ว ตั้งแต่ตั้งแผ่นดินหมิงมา ตอนเหนือแผ่นดินหมิงอยู่ในสถานะป้องกัน แต่ตั้งแต่ปราบเผ่าอันต๋าลง ยึดครองเมืองกุยฮว่าเฉิง แผ่นดินหมิงก็เปลี่ยนสถานการณ์ทุ่งหญ้านอกด่านไปทันที การรบใหญ่สองครั้ง แผ่นดินหมิงล้วนมีชัยเด็ดขาดเหนือพวกนอกด่าน”
ฮ่องเต้ว่านลี่เริ่มมีรอยแย้มสรวล ไม่ว่าขุนนางหกกรมกองหรือขันทีสำนักส่วนพระองค์ หรือแม้แต่ขันทีปรนนิบัติในที่ประชุม ทุกคนล้วนมีสีหน้าภูมิใจ อย่างไรก็ทำให้แผ่นดินหมิงได้ยืดอก ทุกคนย่อมรู้สึกมีเกียรติไปด้วย
“ตอนนี้แต่ละเผ่าบนทุ่งหญ้านอกด่านไม่อาจไม่มีเมืองกุยฮว่าเฉิง พวกเขาต้องการสินค้าอาหาร ต้องการอาศัยหลบหนาว ต้องการแลกเปลี่ยนกับพ่อค้าเมืองกุยฮว่าเฉิง พวกที่เห็นเมืองกุยฮว่าเฉิงเป็นศัตรู ชาวเมืองกุยฮว่าเฉิงย่อมไม่เกรงใจ จึงปล้นชิง สังหารทิ้ง ผู้คุ้มกันขบวนการค้าสังหารมากอีกหนึ่ง วันหน้ากองกำลังแผ่นดินหมิงก็ประหยัดแรงไปอีกหนึ่ง แม้เผ่าใหญ่คิดเคลื่อนกำลังมาโจมตีแล้วอย่างไร แผ่นดินหมิงรบกับพวกนอกด่านมา 200 กว่าปี อาศัยสงครามใหญ่สังหารให้ราบคาบก็ดี เพื่อแผ่นดินหมิงจะยืนยาวสงบสุขไปอีกหลายร้อยปี”
หวังทงพูดจบชัดถ้อยชัดคำ ที่ประชุมเงียบกริบ ขุนนางใหญ่อึ้งจ้องมองหวังทง ในใจคิดว่าพูดเช่นนี้ใช่ว่าเสียสติไปแล้วหรือ แต่ทุกคนเป็นขุนนางใหญ่ ล้วนเข้าใจสภาพทุกอย่างดี ลองคิดให้ดี ก็เหมือนเป็นดังว่ามา
ฮ่องเต้ว่านลี่เองก็คิดเช่นกัน เริ่มแรกที่อึ้งไป ต่อมาก็เริ่มเห็นว่าที่หวังทงว่ามานั้นทำได้ดี หลายปีนี้เปลี่ยนแปลงไปเร็วมาก ความคิดทุกคนยังคงตามไม่ทัน
ฮ่องเต้ว่านลี่ตบพระหัตถ์ยิ้มตรัสว่า
“สถานการณ์ตอนนี้ ไม่ใช่ก่อสงครามชายแดน เห็นชัดว่าเป็นการทำลายกำลังศัตรู มีความชอบ ท่านอำมาตย์ คณะเสนาบดีใหญ่กับกรมทหารหารือกันสักหน่อย เรื่องเช่นนี้ในเมื่อมีประโยชน์ ก็กำหนดให้ชัดเจน ส่งเสริมให้แต่ละที่ทำตาม”
เซินสือหังอึ้งไป ก้าวออกมาถวายคำนับทูลว่า
“ฝ่าบาท เรื่องนี้หากให้ราชสำนักกำหนดวิธี ให้แต่ละที่ไปทำตาม เกรงว่าจะเสียเกียรติราชสำนัก ประเทศรอบๆ ได้ยินได้เห็น ก็จะหัวเราะเยาะราชสำนักเรา”
สีหน้าฮ่องเต้ว่านลี่กับหวังทงดำคล้ำ คิดว่าอำมาตย์เซินจะกล่าวอ้างหลักการอันใดอีก คิดไม่ถึงว่าเซินสือหังจะเปลี่ยนประเด็นไปทูลต่อว่า
“ราชสำนักไม่ต้องพูดอะไร ครั้งหน้าหากมีเรื่องนี้ก็ให้ขุนนางท้องที่มีหนังสือมาว่าพวกนอกด่านโจมตีพ่อค้าแผ่นดินหมิง หากพวกนอกด่านไม่สงบเสงี่ยม ราชสำนักจะลงโทษ ฝ่าบาทคิดว่าเป็นอย่างไรพะยะค่ะ?”
“ท่านอำมาตย์เสนอได้ดี!”