องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 914 เมืองหลวงหิมะตกหนัก
แย่งของพวกเจ้า สังหารพวกเจ้า ยังไม่เสียคำว่าคุณธรรม นี่สิเรียกว่าหน้าตาศักดิ์ศรีแห่งประเทศใหญ่ เซินสือหังกล่าว ออกมา ทุกคนพากันชื่นชม
อ้างหลักการคุณธรรมใหญ่ เรื่องราวทำไปแล้วก็เห็นว่าสมเหตุสมผล บนทุ่งหญ้านอกด่าน ขบวนพ่อค้าสังหารปล้นชิงอย่างไร ทำชั่วอย่างไรก็เป็นเรื่องของพวกเขาไป หากเสียเปรียบ ราชสำนักก็ยอมรับ พวกเจ้าเสียเปรียบมา ทางการก็จะออกหน้าให้เอง แต่หาก ‘ชาวบ้านออกหน้า’ ไปช่วยแก้แค้นเองก็ย่อมดี
เช่นนี้ราษฎรใต้หล้าย่อมร่วมแก้แค้น ส่วนเรื่องทุ่งหญ้านอกด่านเป็นเช่นไร ห่างกันหลายพันหลายหมื่นลี้ ผู้ใดอยากจะสนใจกัน
แต่โบราณกาลมาประเทศใหญ่ก็มักเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าทำจะทำเรื่องน่าละอายเพียงใด ก็มักจะหาเหตุผลสวยหรูอ้างหลักการคุณธรรมใหญ่โต
ในความจริงแล้วการตั้งระเบียบเช่นนี้ พวกขบวนพ่อค้าจะไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรได้อย่างไร ก็ย่อมเป็นการส่งเสริมให้พวกเขาปล้นสังหารได้อย่างสบายใจ ยังต้องกล่าวอันใดให้กระจ่างไปกว่านี้อีกหรือ
การประชุมนี้ เดิมทุกคนกังวลว่าชาวบ้านเมืองกุยฮว่าเฉิงยั่วยุให้เกิดสงครามชายแดน ปรากฏวาจาหวังทงไม่กี่คำ สุดท้ายกลายเป็นว่าส่งเสริมให้พวกเขากำราบทุ่งหญ้านอกด่าน ทำให้ทุกคนอยากจะร้องไห้ก็ไม่ออก อยากจะยิ้มก็ไม่ได้
การหารือนี้นับเป็นการเปิดตัวครั้งแรกบนแผ่นดินหมิง แผ่นดินหมิงแต่ไรมาก็มักเรียกร้องให้จัดการชายแดนแบบหัวหด ยามนี้กลายเป็นการเปิดกว้างออกให้ออกไปสังหารศัตรู แผ่นดินหมิงที่เคยหดหัวอยู่ก็กลายเป็นโจมตีได้อย่างไม่เกรงกลัว
ในภาพรวมนี้ หวังทงกล่าวมาก็เพื่อให้ทุกคนไม่มีความเห็นค้านในเรื่องนโยบายจัดการเมืองกุยฮว่าเฉิง แผ่นดินหมิงอยู่ในความระมัดระวังมานาน เห็นการกระทำที่ไม่เก็บงำท่าทีเช่นนี้ย่อมไม่ชิน ทว่าหวังทงปรรับความคิดพวกเขาทิ้งไป ไม่ได้คิดถึงหลักการคุณธรรมที่ซับซ้อนใด
ก่อนจบการประชุมขุนนาง หวังทงก้าวเดินออกไปสองสามก้าวลงทูลรายงานว่า
“ฝ่าบาท ตอนนี้เผ่าอันต๋าถูกทำลายลง เผ่าฉาฮาเอ่อกับเผ่าเคอเอ่อชิ่นก็ค่อยๆ ถอยร่นไป ชายแดนมีแต่เพียงรักษาการณ์ให้เข้มแข็ง การจะส่งงบประมาณลงไปอีก เกรงว่าจะไม่ค่อยเหมาะ”
หวังทงทูลจบ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็จมในภวังค์ความคิดทันที พวกจางเฉิงสีหน้าแปรเปลี่ยน เห็นชัดว่าวาจาหวังทงทำเอาให้ต้องคิดหนัก
ตอนนั้นไม่ได้แสดงอาการใด แต่หลังประชุมหวังทงกลับมาที่สำนักองครักษ์เสื้อแพร โจวอี้แห่งสำนักอาชาหลวงก็ตามมาติดๆ
การมาของโจวอี้ ทำให้ทุกคนในสำนักองครักษ์เสื้อแพรตกใจเล็กน้อย ในใจคิดว่าติ้งเป่ยโหวผู้บัญชาการเรานี่ไม่ธรรมดา หลังเลิกประชุมในวังก็มีขันทีสำนักอาชาหลวงตามมาเยือนด้วย คิดถึงท่านนั้นในตอนนั้น ไม่ใช่คนติดตามคณะเสนาบดีใหญ่ก็เป็นคนติดตามสำนักส่วนพระองค์ เห็นเจ้านายทรงอำนาจแล้ว อย่างไรก็ต้องโขกศีรษะคำนับ
เป้าหมายของโจวอี้ก็ง่ายมาก สอบถามที่หวังทงกล่าวก่อนเลิกประชุมขุนนาง คำตอบหวังทงง่ายมาก บอกว่าเพราะคำวิพากษ์วิจารณ์ในราชสำนักทำให้ตนเองได้คิดเรื่องนี้ขึ้นมา
“เรื่องที่เจ้าว่ามาวันนี้ ฝ่าบาทกับกงกงทุกท่านเริ่มแรกคิดว่าเหลวไหล ชายแดนและการปกป้องคุ้มกันแผ่นดินหมิงตอนเหนือเป็นรากฐานแผ่นดินหมิง มีอันใดไม่เหมาะสมกัน แต่พอกลับไปคิดให้ดี ก็เป็นดังที่เจ้าว่ามา ตอนนี้สถานการณ์เช่นนี้ อวี้หลิน เหยียนสุย ต้าถง ไท่หยวน เมืองพวกนี้ไม่จำเป็นต้องจัดตั้งกองกำลัง เมืองเซวียนฝู่อาจมีทหารประจำต่อไปได้บ้าง นี่ไม่รู้ว่าจะประหยัดไปอีกเท่าไร แต่การตัดงบชายแดนเป็นเรื่องใหญ่ แม้ว่าฝ่าบาทกับทุกท่านจะเริ่มเห็นด้วย แต่ก็ยังต้องให้เจ้าหาข้อมูลนำเสนอเพิ่ม”
งบชายแดน ทุกปีเมืองหลวงต้องจัดงบไปถึงสี่แสนตำลึง เกือบเท่ากับภาษีที่ดินตอนนี้ ยังมีการรวบรวมเองของชายแดนอีก ทุกปีแผ่นดินหมิงต้องเสียงบไปอีกเกือบล้านตำลึง นี่เป็นภาระงบประมาณที่หนักมาก
ชายแดนเป็นเรื่องที่ไม่อาจละเลย แผ่นดินหมิงแม้มีประชาอดอยากภัยแล้ง ไม่ได้สร้างเขื่อน ก็ต้องจัดงบประมาณ ชายแดนให้เพียงพอ
แต่ตั้งแต่หวังทงปราบเผ่าอันต๋าลงได้ ยึดเมืองกุยฮว่าเฉิงมาได้ ศูนย์กลางแผ่นดินหมิงอยู่ ๆ ก็พบว่า ที่ว่าชายแดนน่ากลัวก็เป็นเพียงดังเสือกระดาษ เพราะหลังปราบเผ่าอันต๋า เมืองกุยฮว่าเฉิงเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ สมัยก่อนเพื่อป้องกันพวกเผ่าต่างๆ บนทุ่งหญ้าตอนเหนือ จึงต้องจัดตั้งทหารประจำชายแดนห้าเมือง ทุกปีเสียงบประมาณไปไม่น้อย การนี้จะทำให้แผ่นดินหมิงปลดภาระลงไปได้มาก
เมื่อก่อนไม่เคยมีความคิดนี้ เพราะเหมือนเป็นการทลายกำแพงป้องกันตนเอง แต่วันนี้ที่หวังทงว่ามา อำนาจบนทุ่งหญ้านอกด่านค่อยๆ อ่อนกำลังลงอย่างต่อเนื่อง ค่อยๆ ถูกทำลายราบ หลังปราบเผ่าอันต๋าลงมาได้ปีกว่า เริ่มปล้นชิงเผ่าต่างๆ บนทุ่งหญ้านอกด่าน ล้วนไม่ได้ส่งผลอันใดกับชายแดนหมิง ล้วนอาศัยกำลังชาวบ้านรวมตัวกันเอง
แผ่นดินหมิงเสียงบประมาณไปกับการทหารทุกปี สุดท้ายกลับไม่ได้อาศัยคนที่ราชสำนักจ่ายเงินให้มาตลอดในการศึกที่ได้มาซึ่งชัยชนะ พอคิดได้เช่นนี้ ทหารเช่นพวกเจ้ามีไว้ทำไมกัน ทว่าทหารชายแดนแม้ไม่มีความชอบแต่ก็มีความดี หากหลายปีนี้ได้แต่รักษาป้องกันไม่บุกออกไป เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไร้ประโยชน์ หรือการจัดตั้งนี้เดิมก็เป็นปัญหา ต้องเปลี่ยนแปลง
คนในวัง ตั้งแต่ฮ่องเต้ว่านลี่ไปจนถึงบรรดากงกงทั้งหลาย ก็ล้วนเห็นตามหวังทง หรืออาจเรียกว่าหลงใหลคล้อยตามไปหมดก็ว่าได้
ในเมื่อหวังทงกล้าเอ่ยเช่นนี้ เช่นนั้นเขาย่อมมีวิธีจัดการ ผู้มากสามารถต้องเหนื่อยมาก ในเมื่อเรื่องนี้เป็นประโยชน์ต่อแผ่นดิน และทุกคนก็คิดทำ อย่างไรก็ต้องส่งคนมาสอบถาม
คำถามโจวอี้ หวังทงได้แต่ยิ้มเฝื่อนๆ ตอบรับว่า
“ข้าแค่คิดได้กะทันหัน ทูลฝ่าบาทเช่นนี้แล้วกัน”
สองฝ่ายสบตากันหัวเราะ พอหัวเราะเสร็จ หวังทงจึงกล่าวว่า
“ในเมื่อฝ่าบาทกับกงกงทุกท่านล้วนคิดเช่นนี้ ข้าก็จะลองตรวจสอบดู อย่างไรก็ต้องได้ตัวเลขออกมา ค่อยส่งเข้าวัง ขอโจวกงกงกลับไปรายงานว่าเรื่องนี้ไม่เร่งรีบ อย่างน้อยครึ่งปีจึงจะมีเอกสารรายงาน เพราะชายแดนกินพื้นที่มาก”
ในเมื่อหวังทงกล่าวเช่นนี้ โจวอี้ก็ไม่มีอันใดต้องกล่าว คุยกันสักพักก็ยิ้มขอตัวกลับ
*************
มาจนปลายเดือนสิบเอ็ด ครอบครัวหวังทงก็กลับมาเมืองหลวงพร้อมหน้า ทางเมืองกุยฮว่าเฉิงไม่มีข่าวอันใดมาอีก เป็นไปตามคาดของหวังทง เผ่าฉาฮาเอ่อที่เสียเปรียบใช่ว่ากล้าจะแก้แค้น หากต่อสู้กันจริง เผ่าฉาฮาเอ่อย่อมไม่ได้ประโยชน์แม้แต่น้อย อาจถึงกับเปิดให้เผ่าอื่นมากินลงท้องไปแทน
วันที่ 25 เดือนสิบเอ็ด หิมะตกหนักในเมืองหลวงมาสามวันแล้ว ทิวทัศน์ไม่เลว หิมะหนักเช่นนี้ตกมาได้สองวัน เมืองหลวงกับเมืองใกล้เคียงต้องยุ่งวุ่นวายอีกครั้ง เพราะย่อมมีคนหิวและหนาวตายเพราะหิมะหนัก แม้ว่าไม่ออกแรงช่วย แต่การเคลื่อนย้ายศพออกไปนอกเมืองก็ต้องทำ
ทว่าปีนี้ไม่มีปัญหานี้ ผลเก็บเกี่ยวประจำปีดี เสบียงอาหารเมืองหลวงมีพอ และคนว่างงานในเมืองหลวงก็น้อยกว่าเมื่อก่อนมาก ภายใต้การลาดตระเวนของกองลาดตระเวนองครักษ์เสื้อแพร พวกเร่รอนและพวกยากจนในเมืองหลวงถูกกวาดต้อนไปใช้แรงงานที่โรงบ้านเทียนจินหมด ทำงานมีกิน ทำให้เมืองหลวงสงบลงไปมาก
และเพราะไม่มีอันใดให้ทำ ดังนั้นพวกขุนนางที่ชอบหาโอกาสกันอยู่ก็ออกบทความสรรเสริญว่รา ‘หิมะตกปีมงคล’ เพื่อให้ฮ่องเต้พอพระทัย
ฮ่องเต้ว่านลี่ก็สบายพระทัยมาก วันที่ 25 เดือนสิบเอ็ดไม่ได้ออกว่าราชการ แต่ไปทำอะไรนั้น คนนอกวังก็รู้กัน ฮ่องเต้ว่านบี่เสด็จชมหิมะที่อุทยานปัจจิม
พูดไปแล้วก็แปลก ตอนไทเฮาฉือเซิ่งส่งเสริมพระสนมกง ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ยอมพบพระสนมกง ไม่สนใจแม้แต่น้อย แต่พอไม่มีไทเฮาฉือเซิ่งแทรกแซง ฮ่องเต้ว่านลี่กลับมีท่าทีต่อสนมที่ให้กำเนิดพระโอรสดีกว่าแต่ก่อน
ครั้งนี้เสด็จอุทยานปัจจิม ไม่เพียงพระสนมเอกเจิ้งตามเสด็จ ยังมีพระสนมหลี่ และมีพระสนมกงไปด้วย พระโอรสพระธิดามากันครบ นับว่าเป็นความสุขสันต์แห่งครอบครัว
โจวอี้ส่งคนนำข่าวไปแจ้งหวังทง บอกว่าฮ่องเต้ว่านลี่ส่งเจ้าจินเลี่ยงนำผ้าแพรและเตาอุ่นไปยังจวนอู่ชิงโหวถวายไทเฮาฉือเซิ่ง และยังทรงถามไถ่พระวรกาย
จวนอู่ชิงโหวแม้ว่าปิดล้อมแน่นหนา แต่ก็ไม่ได้มีของใช้ของกินขาดตกบกพร่อง ย่อมไม่ขาดแคลนผ้าแพรและเตาอุ่น อย่างไรก็เป็นแม่ลูก ฮ่องเต้ว่านลี่แสดงท่าทีพระองค์แล้ว แสดงให้เห็นว่าไม่ได้ทรงตัดเยื่อตัดใยสิ้น
ฮ่องเต้ว่านลี่กำลังอยู่ท่ามกลางครอบครัวสุขสันต์ ขุนนางเมืองหลวงก็สุขสันต์ผ่อนคลายเช่นกัน มีงานต้องทำก็ทำไป ไปรายงานตัวที่ทำการ แล้วก็กลับบ้านเร็วหน่อย หรือไม่ก็อยู่บ้าน หรือไม่ก็ไปสังสรรค์กับเพื่อนสามสี่คน ชมหิมะร่ำสุรา มีหม้อไฟที่หวังทงเป็นคนคิดขึ้นมา เป็นสิ่งสร้างความสุขในชีวิตให้ผู้คนอีกสิ่งหนึ่ง
คนอื่นว่าง หวังทงเองก็ว่างสบายอารมณ์ ปีกว่ามานี้ผ่านมรสุมมามากมาย มาถึงตอนนี้ทั้งครอบครัวได้มาอยู่ด้วยกันพร้อมหน้า และยังไม่มีงานเร่งด่วนใด สำหรับหวังทงแล้วนับเป็นเวลาสบายๆ ที่หาได้ยากยิ่ง
หวังทงไปสำนักองครักษ์เสื้อแพรได้หนึ่งชั่วยามก็กลับบ้าน ภรรยาทั้งหมดอยู่ร่วมกัน คุยกันสัพเพเหระ ตอนกลางวัน จัดโต๊ะอาหารเลี้ยงฉลองชมหิมะ
เซียงเฉิงป๋อไปล่าสัตวนอกเมืองได้มามากมาย จึงส่งคนนำไก่ป่าหลายตัวและกวางตัวหนึ่งมามอบให้ พ่อครัวหอรุ่งเรืองจัดการเรียบร้อย ไก่ป่าหั่นเป็นชิ้นเต๋าผัดกับซอส ปรุงรสชาติ เป็นอาหารกับแกล้มชั้นดี เนื้อกวางก็ย่างไฟ ไก่ป่าและเนื้อกวางส่วนใหญ่หั่นเป็นแผ่น ยังมีปลาที่หั่นแล้วส่งมาจากเทียนจิน ล้วนทำเป็นหม้อไฟลวกกิน การกินเช่นนี้สบายอารมณ์ยิ่ง ยังเป็นหม้อไฟที่ทั้งครอบครัวได้ร่วมวงกินกัน ทุกคนมีความสุข
บรรยากาศตระกูลหวังสบายๆ เช่นนี้หาได้ยากยิ่ง บรรดาภรรยาหวังทงก็กำลังสนทนาหัวเราะมีความสุข สีหน้าหวังทงก็มีแต่รอยยิ้ม เป็นเวลาพักผ่อนและผ่อนคลายที่หวังทงไม่ค่อยได้มีนัก
หลังอาหารกลางวันทั้งครอบครัวตอนบ่ายก็มารวมตัวกันที่โถงกลาง มีพ่อค้าทำขนมประณีตมา มีนักดนตรีหลายคนกำลังบรรเลงเพลงพิณและร้องเพลง กำลังดื่มด่ำกับความสุข
“นายท่าน ใต้เท้าซุนโส่วเหลียนแห่งเมืองเหลียวโจวขอเข้าพบ”
ขณะกำลังดื่มด่ำกับความสุขก็มีคนส่งเสียงรายงานเข้ามา นี่เป็นการทำลายบรรยากาศ ทว่าหวังทงเองก็งง ใกล้ปีใหม่เช่นนี้ ซุนโส่วเหลียนไม่อยู่เมืองเหลียวโจว มาเมืองหลวงทำไมกัน?