องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 915 ยามนี้มีแขกมา ของขวัญนับแสน
เมืองเหลียวโจวเป็นเมืองชายแดนพิเศษของแผ่นดินหมิง พูดถึงพื้นที่ เมืองเหลียวโจวอาจเล็กกว่าบางมณฑลในแผ่นดิน แต่พูดถึงทรัพยากรแล้ว เมืองเหลียวโจวพื้นที่อุดมสมบูรณ์ ทรัพยากรมากมาย
ชายแดนอื่น แม้ว่าราชสำนักทุกปีจะส่งงบก้อนโตไป แต่ก็ต้องให้ขุนนางท้องที่จัดการเก็บภาษี หากเมืองเหลียวโจวนั้นแตกต่างออกไป ราชสำนักไม่เก็บภาษี ทางกองกำลังเก็บหรือไม่ก็ให้จัดการเอง เมืองเหลียวโจวไม่มีขุนนางบุ๋นจัดการบริหาร ดังนั้นจึงมีแต่บรรดาขุนพลทหารจัดการบริหารเมืองเอง
เงื่อนไขดีเช่นนี้ นโยบายพิเศษเช่นนี้ ทำให้บรรดาขุนพลทหารเมืองเหลียวโจวล้วนร่ำรวยถ้วนหน้า ส่วนตำแหน่งซุนโส่วเหลียน อยู่ในศูนย์กลางกำลังของผู้บัญชาการเมืองเหลียวโจวหลี่เฉิงเหลียง ก็ย่อมใช้วาจาว่าร่ำรวยล่มเมืองมากล่าวถึงแล้ว
หลี่เฉิงเหลียงเป็นผู้บัญชาการ ลูกหลานตระกูลหลี่และคนสนิทก็ย่อมเป็นรองแม่ทัพหรือที่ปรึกษาการทหาร รักษาแต่ละพื้นที่ แบ่งกำลังไปดูแล จึงราวกับเป็นฮ่องเต้ในพื้นที่ เรียกได้ว่าทำอะไรก็ย่อมได้
ด้วยเหตุนี้ บรรดาขุนพลทหารเมืองเหลียวโจวปกติจึงไม่มีผู้ใดอยากย้ายออกจากเมืองเหลียวโจว ที่นี่แม้อาจไม่ได้อู้ฟู่เหมือนที่อื่น แต่ดีที่เป็นพื้นที่ตนเอง จะทำอะไรก็ย่อมได้ เป็นความสุขอย่างมาก
ซุนโส่วเหลียนตั้งแต่ได้รู้จักกับหวังทง สานสายสัมพันธ์กับเทียนจินได้ เงินทองก็ไหลมาเทมา การค้าเขายิ่งใหญ่ขึ้น เรียกได้ว่าหากพูดถึงเงินทองแล้ว อาจน้อยกว่าตระกูลหลี่ แต่เทียบกับตระกูลอื่นแล้วเรียกได้ว่าห่างไกลริบลับ
และเพราะสายสัมพันธ์หวังทง เดิมเขาเป็นหน่วยลาดตระเวนจู่โจม จึงได้เลื่อนเป็นขุนพลที่ปรึกษา พริบตาเดียวก็มีหน้ามีตามาก
ซุนโส่วเหลียนอยู่เมืองเหลียวโจวเปิดเส้นทางมาเทียนจินให้ทุกคน ช่วยให้ทุกคนร่ำรวย เทพแห่งโชคลาภย่อมเป็นที่เกรงใจของทุกคนหลายส่วน ซุนโส่วเหลียนอยู่เทียนจิน นับได้ว่าเป็นผู้ประสานกลุ่มพ่อค้าเทียนจินกับเมืองเหลียวโจว ที่จริงแล้วกิจการซุนโส่วเหลียนเองไม่น้อยนับว่าเป็นสายสัมพันธ์กับร้านสามธารา
เพราะซุนโส่วเหลียนมีสถานะเช่นนี้ ปลายเดือนสิบเอ็ดมาเมืองหลวง จึงทำให้คนงง
ใกล้ปลายปี คนสถานะเช่นนี้ควรไปส่งส่วยให้เจ้านาย กล่าวให้ถูกก็คือ ยามนี้หัวหน้ากองกำลังเมืองเหลียวโจวต่างต้องไปอยู่ทีเหลียวหยาง ร่วมงานเลี้ยงตระกูลหลี่ ส่งมอบของขวัญให้ตระกูลหลี่ แม้เป็นคนสนิท ต้นปีพี่น้องยังต้องจัดการบัญชีให้ละเอียด แม่ทัพใหญ่ปีหนึ่งมานี่ไม่ได้พบเจ้ามา ครั้งนี้ต้องแสดงออกให้ดีสักหน่อย
แต่ละที่ใต้หล้าล้วนเช่นนี้ แต่พวกหวังทงกลับค่อนข้างพิเศษ หนึ่งระบบดี สองทุกคนรู้ดีว่าหากต้องการเจริญต้องทำงานเป็นหลัก ทำงานได้ดี ใต้เท้าหวังเห็นอยู่ย่อมไม่ให้เสียเปรียบ
ทว่าซุนโส่วเหลียนไม่ใช่คนใต้เท้าหวัง เขาเป็นขุนพลเมืองเหลียวโจว ด้วยเหตุนี้ซุนโส่วเหลียนมาตอนนี้ ช่างน่าสงสัย
บนท้องทะเลตอนนี้เป็นน้ำแข็งไปหมด จากเมืองเหลียวโจวมาเมืองหลวงย่อมมาทางบก เมืองที่ซุนโส่วเหลียนรักษาการใกล้กับเกาหลี ทางบกย่อมไกลออกไปอีก เขามาถึงเมืองหลวง เดือนสิบสองคงกลับไปเหลียวหยางไม่ทันแล้ว
และขุนนางสถานะเช่นนี้ ทำงานก็มีธรรมเนียม มาไกลจากเมืองเหลียวโจว เข้ามาเขตท้องที่เมืองซุ่นเทียนควรส่งคนติดตามมาแจ้งข่าวก่อน จะได้เตรียมตัวกันก่อน
อยู่ๆ มาเยือนเช่นนี้ ไม่ถูกตามธรรมเนียมยิ่ง แต่แขกมาไกล หวังทงเองก็ไม่ได้ยินมาก่อนว่าเกิดเหตุใดขึ้นกับซุนโส่วเหลียน แต่ในเมื่อมาแล้ว ก็ต้องให้เข้าพบ
ได้ยินข้างนอกรายงาน สตรีในห้องก็มีสีหน้าประหลาดใจ มีแต่ซ่งฉานฉานที่ดูไม่ออกว่ารู้สึกเช่นไร หวังทงอยู่ข้างนอกมากกว่าในบ้าน ยากที่จะมีโอกาสได้อยู่พร้อมหน้าครอบครัว พร้อมหน้ากันได้ไม่นาน ก็ถูกคนนอกรบกวนอีก
ในบรรดาภรรยาหวังทง ซ่งฉานฉานอายุมากสุด แต่ก็แค่ 30 เห็นโลกมามาก ธรรมเนียมขุนนางก็เข้าใจอยู่มาก สามีตนเองเป็นถึงติ้งเป่ยโหว และยังเป็นผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร ตำแหน่งสูง ยุ่งแต่งานไม่มีเวลายุ่งเรื่องส่วนตัว ก็เป็นเรื่องธรรมดายิ่ง
คนอื่นไม่คิดเช่นนี้ จางหงอิงอายุมากหน่อย แต่ก็อยู่แต่ในบ้านดูแลงานบ้าน ไม่ได้เห็นโลกกว้างอันใด ที่เหลือเช่นหานเสีย ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์กับข่งรั่วเหมยก็ยิ่งอายุน้อย วันนี้ยากที่ทุกคนจะได้มาอยู่พร้อมหน้ามีความสุข กลับมีคนไร้ตา มันน่าโมโหจริง
หานเสียเป็นคนตรงไปตรงมา แต่ในฐานะภรรยาเอก ก็ต้องแสดงท่าทีบ้าง แต่จางหงอิงกลับกล่าวขึ้นก่อนว่า
“กว่าจะได้พักผ่อนสบายก็ยากอยู่ คนผู้นี้มาทำไมกัน?”
นางกล่าวออกไป ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์กับข่งรั่วเหมยพยักหน้า หานเสียก็แสดงท่าทีเห็นด้วย ทุกคนได้ยินว่าซุนโส่วเหลียนก็แค่ขุนพลที่ปรึกษา คนเช่นนี้ไม่ได้มีหน้ามีตาอันใด
ในสายตาหวังทง บรรดาภรรยาตนเองนั้นช่างไม่เคยพบเห็นโลกภายนอก แสดงอารมณ์เล็กน้อยก็ไม่มีอันใดให้ตำหนิ เขายิ้มปล่อยผ่านไป เป็นซ่งฉานฉานยืนขึ้นกล่าวว่า
“น้องๆ นายท่านมีงานสำคัญ อย่าได้เสียงานนายท่าน”
ซ่งฉานฉานเดิมเป็นนางคณิกา ในบรรดาภรรยาหวังทงก็อยู่อันดับสาม เดิมไม่มีสถานะให้เอ่ยอันใดในจวน แต่ตอนทุกคนไปเมืองกุยฮว่าเฉิงทิ้งนางไว้คนเดียวที่นี่ พอกลับมา ก็พบว่าหลายเรื่องหวังทงได้หารือกับซ่งฉานฉาน และซ่งฉานฉานก็เป็นคนรู้พอดี ไม่แย่งชิงอันใดกับผู้ใด วาจาก็เริ่มมีน้ำหนัก
ได้ยินซ่งฉานฉานกล่าวมาเช่นนี้ สตรีในห้องกลับไม่กล่าวอันใด พากันลุกขึ้นเตรียมออกไป ในตอนนั้นเอง ข้างนอกกลับมีคนรายงาน น้ำเสียงแปลกๆ ว่า
“นายท่าน ใต้เท้าซุนว่าตนไร้มารยาท ขอกลับไปโรงเตี๊ยมเตรียมการก่อน พรุ่งนี้ค่อยมาขอพบใหม่ ขอนำรายการของขวัญมอบไว้ก่อน ของขวัญอยู่หน้าประตูแล้ว”
พ่อบ้านจวนหวังทงตอนนี้มาจากร้านสามธารา ตอนหวังทงอยู่เทียนจิน เป็นชุดแรกที่ถูกเลือกไว้ ทำงานได้มีระเบียบหน้าตาก็รับแขก ว่องไว รู้ธรรมเนียม ผู้น้อยมาคารวะขุนนางใหญ่ อย่างไรก็ต้องมารายงานก่อนแล้วกลับไป จากนั้นทิ้งของขวัญไว้ การรุกถอยเช่นนี้น่าแปลกจริง พ่อบ้านน้ำเสียงแปร่งไป
สตรีในห้องอายุน้อยกันมาก พอได้ยินว่าแขกรู้งานไม่เข้ามาแล้ว ทุกคนยิ้มร่าอยู่ต่อ แม้แต่ซ่งฉานฉานเองก็ยิ้ม
หวังทงแปลกใจก็แปลกใจ แต่ทว่าไม่คิดสอบถาม สถานะตนสูงส่ง ซุนโส่วเหลียนอยู่ในวงการขุนนางมานาน อยู่ๆ มาพบตนเองเช่นนี้ ระวังตัวก็เป็นเรื่องควร
“เอารายการของขวัญเข้ามา!”
มาอ่านรายการก็ดูน่าสนุกดี ไม่แน่อาจมีของเล่นใหม่ๆ ในห้องมีแต่สาวน้อย วันๆ ได้แต่อุดอู้อยู่ในบ้าน ของพวกนี้อาจทำให้พวกนางมีความสุข
พ่อบ้านข้างนอกรับคำ ให้สาวใช้นำรายการมาส่งมอบ หวังทงเห็นรายการก็ขมวดคิ้ว เป็นสมุดพับปกหนังสีแดงลงทอง เป็นของที่เห็นบ่อย แต่เหมือนจะหนาไปสักหน่อย เหมือนกับหนังสือเล่มหนึ่งเลยทีเดียว
เปิดรายการออกอ่าน หวังทงก็ขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม เปิดมาหน้าแรกเป็นของที่เรียกว่า ‘ทรายทองเหลียวโจวสองพันตำลึง……’
เงินทองใช้กันทั่วใต้หล้า ทว่าทรายทองนี้เป็นของที่ยังไม่ได้หลอม ราคาเทียบกับทองก้อนแล้วต่ำกว่า หากชนชั้นสูงตัวจริง ไม่น้อยที่ชอบของเดิมๆ ที่ไม่ผ่านการเปลี่ยนแปลง เพื่อความรู้สึกมงคล ยังมีคนบอกว่า ทรายทองเมืองเหลียวโจวมีไอเย็น เอาไปหลอมเป็นภาชนะแล้วไร้ความร้อนของไฟ
เหตุผลมากมาย แต่ทรายทองสองพันตำลึงนี้ก็เท่ากับสองหมื่นตำลึงเงิน ตอนนี้ก้อนเงินจากประเทศวัวและทางฟะรังคีก็มีเข้ามามาก ราคาก้อนเงินก็ลด หากอยู่เทียนจิน สองหมื่นห้าพันตำลึงเงินใช่ว่าแลกไม่ได้
ซุนโส่วเหลียนเรืองอำนาจวาสนามานาน ในสายตาเขาย่อมไม่เห็นแก่เงินพวกนี้ แม้หวังทงไม่แสดงให้เห็น แต่ซุนโส่วเหลียนต่อหน้าหวังทงก็ยังไม่อาจเรียกได้ว่าร่ำรวย
แต่ทองคำก็คือทองคำ สองหมื่นกว่าตำลึงเงิน กล่าวอย่างไรก็เรียกได้ว่าก้อนโต และนี่เป็นเพียงรายการแรก ยังมีอีกหนาเป็นตั้ง!
……หนังเสือห้า หนังหมีสิบ หนังเสือดาวสิบ พวกหนังสัตว์ต่างๆ อีกไม่ต้องพูดถึง ของพวกนี้นับว่าชิ้นใหญ่แล้ว ยังมีของมีค่าจากเหลียวตงอื่นๆ เช่น ม้าดีจากเหลียวตง สุดท้ายยังมีนกเหยี่ยวไห่ตงชิงที่บินได้เร็วได้สูงที่สุดอีกสองตัว เด็กสาวเกาหลีอีก 10 นาง
เหลียวตงแม้ว่าร่ำรวยทรัพยากร แต่หากกล่าวถึงของใหม่แล้ว อย่างไรก็เทียบในแผ่นดินไม่ได้ ต้องการผ้าปักประณีตมาเป็นของขวัญ ก็ต้องกล้าจ่าย รายการของขวัญพวกนี้เรียกได้ว่าคิดมาอย่างเต็มที่แล้ว เลือกมาแต่ของดีนอกด่าน ของกินและเครื่องนุ่งห่มมีมาครบ
เหยี่ยวไห่ตงชิงนี้มีแต่พวกคนเผ่าตอนเหนือสุดจึงจะมี ในบรรดาสัตว์ป่านี้เรียกได้ว่าต้องเข้าป่าลึกจึงจะหามาได้ นอกจากนี้ของจากเกาหลี เด็กสาวเกาหลีมาเป็นหญิงปรนนิบัติไม่เท่าไร แม้ว่าเมืองหลวงมีไม่มาก แต่ในตระกูลคหบดีใช่ว่าไม่มี แต่อย่างไรก็แตกต่างจากชาวฮั่น จะได้มีอะไรแปลกใหม่บ้างก็เท่านั้น
ภรรยาหวังทงทุกคนรู้หนังสือ ร่วมกับหวังทงดูรายการของขวัญ หากพูดเรื่องความรอบรู้ หวังทงเหนือกว่าคนรุ่นเดียวกันมาก ทุกครั้งที่เห็นรายการของแปลกอันใด พอมีคนถาม หวังทงก็จะตอบได้เกือบหมด เป็นความสุขอย่างหนึ่ง
ดูจนสุดท้าย จางหงอิงกลับอดไม่ได้บ่นขึ้น
“คนผู้นี้มอบสิ่งใดไม่มอบ กลับมอบเด็กสาวเกาหลีให้!”
ทว่าคนส่วนใหญ่กลับไม่ได้สนใจเรื่องนี้ หากพออ่านรายการของขวัญยาวเหยียดจบ หานเสียเงียบไปครู่หนึ่ง ถามขึ้นเบา ๆ ว่า
“ของขวัญมากมาย ต้องใช้เงินทองเท่าไรกัน?”
“ของในรายการนี่ ถ้าให้ร้านสามธารามาขาย แสนห้าหมื่นตำลึงได้เลยนะ หากไม่เข้าใจตลาด แสนตำลึงก็ยังได้”
หวังทงยิ้มกล่าวขึ้น สตรีในห้องอยู่ข้างกายหวังทงมานาน สายตาก็มองสูงขึ้น แต่อย่างไรเมืองหลวงมอบของขวัญ เช่นสายสัมพันธ์ซุนโส่วเหลียนกับหวังทง ปีใหม่ก็คงไม่น่าเกินห้าพันตำลึง ส่งของขวัญหนักเช่นนี้ น่าตกใจไม่น้อย
“มิน่าของขวัญถึงได้วางไว้นอกประตู คงกลัวว่าจวนเราไม่มีที่เก็บ”
หวังทงยิ้มสัพยอก นอกจากหานเสียอดไม่ได้ยิ้มตามแล้ว สตรีที่เหลือก็สบตากัน ซ่งฉานฉานกล่าวเบาๆ ว่า
“นายท่าน ซุนโส่วเหลียนมีเรื่องขอร้องนายท่านหรือไม่?”
“รอเขาเอ่ยปากแล้วกัน”
หวังทงหัวเราะผ่อนคลาย