องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 916 ท่ามากที่แท้ก็ขอความช่วยเหลือ
ของขวัญมอบให้มากมายจริง เพียงแค่เก็บเข้าจวนก็ใช้เวลานานมากแล้ว ในเมืองหลวงเซ็งแซ่ ติ้งเป่ยโหวไม่ค่อยรับของจากผู้ใดเท่าไร แต่พอรับทีก็รับมหาศาลเช่นนี้
ทุกคนเดิมกำลังชมหิมะมีความสุข ข่าวนี้ทำให้ทุกคนมีเรื่องซุบซิบกัน แต่ก็เพียงแค่ซุบซิบเท่านั้น ไม่มีใครคิดว่าเป็นเรื่องใหญ่ ระดับใต้เท้าหวัง ไม่รับของขวัญสิแปลก สถานการณ์เช่นตอนนี้ ไม่แน่วันหน้าคงได้เห็นเป็นปกติ เรื่องอื่นไม่ต้องกล่าวถึง ตอนจางจวีเจิ้งเป็นใหญ่ หน้าประตูจวนก็มีคนมอบของขวัญไม่ขาด นั่นไกลไปหน่อย ใกล้ๆ นี้ก็มีหน้าประตูเสนาบดีกรมปกครองกับเสนาบดีกรมอากร หลายคนก็ให้คนแบกของขวัญไปมอบให้
หวังทงรับของแล้วก็ส่งคนไปโรงเตี๊ยมสอบถาม ซุนโส่วเหลียนมาเยือนถึงที่ แต่อยู่ๆ เดินทางกลับจากไป ที่จริงแล้วเป็นการเสียมารยาท
หวังทงให้พ่อบ้านที่จวนไปดู หากซุนโส่วเหลียนออกจากจวนหวังทงแล้วไปที่ใดอีก เช่นนั้นคนผู้นี้ก็ไม่จำเป็นต้องให้พบ
หากซุนโส่วเหลียนออกจากจวนหวังทงแล้วก็มุ่งตรงไปยังโรงเตี๊ยม ไม่ได้ไปที่ใดต่อ และจากการข่าวรายงานว่า ซุนโส่วเหลียนเอาแต่ผุดลุกผุดนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ในโรงเตี๊ยม
ไม่ต่างจากที่หวังทงวิเคราะห์ ซุนโส่วเหลียนครั้งนี้ตั้งใจมาพบเขา ไม่ได้มีเรื่องอื่น
************
ทว่าตอนกลางวันวันรุ่งขึ้นเมื่อได้พบกัน ซุนโส่วเหลียนกลับตีสีหน้ายิ้มแย้ม ดูไม่ออกว่ามีเรื่องอันใด มาเยือนถึงจวนก่อนจากนั้นก็คุยกันตามมารยาท ดูแล้วไม่เห็นความผิดปกติใด จวนหวังทงค่อนข้างเล็ก แขกที่มาย่อมต้องไปเลี้ยงข้างนอก ซุนโส่วเหลียนก็เช่นกัน
เรือนเดี่ยวหอรุ่งเรืองจัดที่ทางไว้ให้เฉพาะ พ่อครัวบริการเต็มที่ อาหารรสเลิศอย่างมาก หวังทงท่าทีผ่อนคลาย เล่าทั่วไปถึงเรื่องหิมะหยุดตกเมื่อเช้า เล่าไปถึงการค้าเทียนจินกับเมืองเหลียวโจว เล่าเรื่องตนเองที่เมืองกุยฮว่าเฉิงและปีก่อนที่ลงใต้มา
ซุนโส่วเหลียนเป็นคนพื้นที่เมืองเหลียวโจว ไปมาไม่หลายที่นัก ที่รุ่งเรืองหน่อยก็เมืองหลวงกับเทียนจินเท่านั้น ทว่าการพูดจาก็รู้จักมารยาท รู้สึกรุกถอย ทำให้หวังทงคุยแล้วสบายใจ นี่ก็คือความสามารถจากการอยู่ขลุกในวงการขุนนางมานาน
สุราหลายจอกลงท้องไป ในเมื่อใช้ท่าทีแบบสหายเก่าแก่ต้อนรับ ซุนโส่วเหลียนก็ย่อมผ่อนคลาย มองไม่ออกว่ามีเรื่องกลัดกลุ้มใด แต่ก็เหมือนนั่งไม่ติด เล่าเรื่องทั่วไปของตนเอง ไปแดนใต้ซื้อคณะงิ้วมาอยู่ในจวนหลายสิบคณะ ไม่ถึงครึ่งปีก็มีนายกองทหารอื่นมาขอซื้อไปกว่าครึ่ง ชายทางเหนือไหนเลยจะเคยเห็นหญิงอรชรแดนใต้ จึงล้วนเต็มใจจ่ายเงินซื้อตัวไป
วาจานี้เบิกทาง ซุนโส่วเหลียนกล่าวถึงแล้วก็ค่อยๆ โยงไปถึงผู้บัญชาการเมืองเหลียวโจวหลี่เฉิงเหลียง หลี่หรูป๋อและคนอื่นๆ ที่เห็นหวังทงเป็นศัตรู คิดว่าหวังทงได้รับชัยชนะใหญ่จากเมืองกุยฮว่าเฉิงไม่ใช่เรื่องจริง เป็นเพราะว่าเป็นคนโปรดฮ่องเต้ว่านลี่ ดังนั้นความดีความชอบจึงไม่ใช่เรื่องจริง
ยังบอกว่าแม่ทัพหม่าหลินเมืองเซวียนฝู่มาประจำที่เมืองเหลียวโจวก็ไม่ต่างกับหลี่เฉิงเหลียง บอกว่าหวังทงไม่สนใจความเป็นความตายทหารด้วยกัน ไม่สนใจความปลอดภัยแผ่นดินหมิง คิดเพียงเสี่ยงภัยเพื่อมุ่งประโยชน์ตน จึงยกทัพขึ้นเหนือ ยังบอกว่าหวังทงหักเบี้ยทหาร ขับไล่ทหารให้ไปเป็นทาสแรงงานในนา ทำกับผู้อื่นราวกับไม่ใช่คน
ทุกคนในเมืองเหลียวโจวยังบอกว่าทหารกล้าเมืองเหลียวโจวเท่านั้นที่รบมีชัยเหนือเผ่าเคอเอ่อชิ่น หวังทงแค่ทหารราบ จะไปมีชัยชนะใหญ่อันน่าตกใจเช่นนั้นได้อย่างไร จะต้องเป็นความเท็จแน่นอน
สีหน้าหวังทงยังคงยิ้ม สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน ซุนโส่วเหลียนกล่าวจบก็มิได้คุยเรื่องอื่นใดอีก ที่กล่าวมาล้วนเป็นเรื่องที่ทางเมืองเหลียวโจวคิดเป็นปรปักษ์กับหวังทงทั้งสิ้น
“ใต้เท้าซุนคิดมากไปแล้ว เมืองเหลียวโจวกับข้าไม่เคยไปมาหาสู่กัน ชัยชนะใหญ่ที่ข้าได้มาก็น่าตกใจอยู่จริง พวกเขามีความคิดนี้ก็ไม่แปลกอันใด ตามแต่พวกเขาคิดก็แล้วกัน หรือว่าข้าจะต้องไปสนใจด้วยความพวกเขากล่าวกันอย่างไร”
ซุนโส่วเหลียนสะอึกไป หวังทงยิ้มยกจอกสุรากล่าวว่า ใต้หล้าก็ล้วนกล่าวถึงตนเช่นนี้ เมืองเหลียวโจวกล่าวเช่นนี้ก็ไม่แปลก นับประสาอันใดกับสองฝ่ายล้วนเป็นขุนนางบู๊ หวังทงได้รับความชอบใหญ่ ใต้หล้าที่เดือดร้อนที่สุดก็คงหนีไม่พ้นเมืองเหลียวโจว คงกลัวว่าตนเองจะเป็นที่ดูแคลน อำนาจวาสนายามนี้จะไม่อาจรักษาไว้ได้
แม้ว่าเมืองเหลียวโจวไม่อยากให้เทียนจินเข้ามาข้องเกี่ยว แต่องครักษ์เสื้อแพร ณ เมืองเหลียวโจวก็ยังคงสามารถได้ข่าวสารมาพอควร ผู้บัญชาการเมืองเหลียวโจวหลี่เฉิงเหลียงดูถูกเขานั้น หวังทงก็พอได้ยินมาบ้าง แต่ก็แค่เหมือนลมพัดผ่าน จะให้ทำเช่นไร ปล่อยเขาไปก็แล้วกัน
แต่ที่ทำให้หวังทงแปลกใจก็คือ วาจาซุนโส่วเหลียนต้องการสิ่งใด เห็นชัดว่ากำลังยุแยงความสัมพันธ์หวังทงกับเมืองเหลียวโจว เขาเป็นถึงขุนพลเมืองเหลียวโจว ยิ่งเป็นเช่นนี้ คิดโยงไปแล้วถึงของขวัญเมื่อวาน มาแล้วก็ยังลังเลกลับไป ยังมีวาจาวันนี้ ก็ยิ่งทำให้หวังทงงง
แต่หวังทงย่อมไม่เอ่ยถามก่อน ปล่อยเขาพูดไป ตามคาด ท่าทีนิ่งเฉยของหวังทงทำเอาซุนโส่วเหลียนหมดหวัง สีหน้ารอยยิ้มก็ค้างเติ่ง
อาหารเลี้ยงหอรุ่งเรืองแม้สมบูรณ์มากมาย แต่สองคนกินก็ใช้เวลาไม่นาน พอกินอาหารเสร็จ หวังทงก็สั่งให้เก็บออกไป เปลี่ยนเป็นของหวานและน้ำชามาแทน หวังทงทำเหมือนที่นี่เป็นที่บ้าน สั่งการสะดวกสบาย
พอของหวานและน้ำชามาถึง สีหน้าซุนโส่วเหลียนก็เริ่มยิ้มฝืด อยากจะพูดแต่ก็หยุดอยู่หลายครั้ง ครุ่นคิดเป็นนาน กระแอมไอกล่าวว่า
“ท่านโหวควรรู้ว่า นอกด่านไม่รู้ว่าเกิดเป็นบ้าอันใดขึ้นมา จึงได้ขับไล่การค้าเทียนจิน นี่ใช่ว่าทิ้งเงินทองไม่เอากำไรหรือ และยังทำลายสัมพันธ์ด้วยงั้นหรือ?”
หวังทงส่งเสียง ‘อืม’ ซุนโส่วเหลียนกล่าวต่อว่า
“ขอท่านโหววางใจ แม้ว่าผู้บัญชาการเมืองเหลียวโจวหลี่เฉิงเหลียงมีคำสั่ง แต่มีข้าน้อยอยู่ จะต้องปกป้องการค้าเทียนจินเอาไว้ให้ครบ ขอเพียงทุกคน…….”
“นี่เรื่องเล็ก ถึงตอนนั้นขอใต้เท้าซุนช่วยดูแล”
หวังทงกล่าวนิ่งเรียบ กล่าวถึงตรงนี้ หวังทงเริ่มรำคาญ กล่าววาจาไม่ดีกับเมืองเหลียวโจว มอบของขวัญให้มาก ยังให้คำรับรองเช่นนี้ ก็เพื่อขอร้องตน แต่ไม่กล่าวถึงจุดประสงค์สักที ไม่รู้ว่าลังเลอันใดอยู่
กล่าวจบ หวังทงก็วางจอกชาลงกล่าวว่า
“ใต้เท้าซุนเมื่อวานและวันนี้ที่คุยกันและกระทำมา ดูท่าแล้วมีเรื่องขอร้องข้า ท่านและข้าก็รู้จักกันมาหลายปี ไยต้องปิดๆ บังๆ หากยังไม่พูด ข้ามีงานขอตัวก่อน”
ซุนโส่วเหลียนถูกหวังทงกล่าวใส่ตรงไปตรงมา สีหน้าก็เก้อเขิน อ้ำๆ อึ้งๆ ท่าทางลังเล หวังทงส่ายหน้ายืนขึ้น ประสานมือเตรียมออกไป ชายชาติทหารนำกำลังออกรบกลับมีท่าทีราวสตรี หวังทงทนรำคาญไม่ไหว
กำลังจะก้าวออกไป ก็ได้ยินด้านหลังดัง ‘โครม’ หันไปมองก็เห็นซุนโส่วเหลียนคุกเข่าลงกับพื้น เห็นหวังทงหันหลังมา ซุนโส่วเหลียนโขกศีรษะดังหลายที กล่าวอย่างร้อนใจว่า
“ท่านโหวช่วยข้าน้อยด้วย!!”
นี่ควรเป็นเรื่องหลัก หวังทงโบกมือ ให้ทหารที่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวชะโงกหน้ามาดูออกไปให้ไกล หันหลังเดินกลับไปกล่าวว่า
“ใต้เท้าซุน ในเมื่อต้องการให้ข้าช่วย เหตุใดไม่พูดแต่แรก เมื่อวานมอบของแล้วกลับไป วันนี้มาร่วมดื่มสุรายังปิดบัง ช่างไม่เห็นข้าเป็นสหาย”
ได้ยินหวังทงเช่นนี้ ซุนโส่วเหลียนกลับคุกเข่าลงโขกศีรษะ กล่าวร้อนใจว่า
“ข้าน้อยเองก็รู้ว่าทำเช่นนี้ไม่เหมือนสหาย แต่ข้าน้อยมีบางเรื่องไม่กล้ากล่าว ไม่รู้ว่าท่านโหวจะช่วยหรือไม่ ดังนั้นจึงได้ทำเช่นนี้ ขอท่านโหวโปรดเห็นแก่ความสัมพันธ์เดิม……”
“ที่แท้เรื่องใดกัน ทำให้ท่านมาถึงนี่ได้ ยังร้อนรนเพียงนี้?”
หวังทงกลับไปนั่งที่เดิม ซุนโส่วเหลียนกลับไม่ลุกขึ้น เขาหันกลับมาทางหวังทง คุกเข่าดังเดิม หนวดเคราเต็มหน้าทำให้รู้สึกน่าเกรงขามหลายส่วน แต่ตอนนี้กลับไร้ความรู้สึกนั้น มีแต่หน้าตาท่าทางหวาดกลัวมาก เขาโขกศีรษะอีกสามที เงยหน้ากล่าวว่า
“ท่านโหว หลี่เฉิงเหลียงจะสั่งปลดข้าน้อย ยังคิดใส่ความข้าน้อยว่าโกงกินรับสินบน ข้าน้อยยากรักษาชีวิตไว้ได้แล้ว! ขอท่านโหวช่วยด้วย!”
“เจ้าเป็นคนสนิทหลี่เฉิงเหลียง เหตุใดจึงมีเรื่องกันได้?”
“ท่านโหวอย่าได้ตำหนิ หลี่เฉิงเหลียงกับข้าน้อยมีเรื่องกันก็เพราะข้าน้อยกับเทียนจินและท่านโหวไปมาหาสู่กันสนิทมากไป และหลายปีนี้ข้าน้อยยังได้อาศัยบารมีท่านโหวทำให้ร่ำรวยมาได้ หลายคนจับตามองข้าน้อย คิดจะมาแบ่งปันเอากับข้าน้อย จึงได้มีภัยในวันนี้ได้”
หวังทงขมวดคิ้ว สถานการณ์ตอนนี้ ที่ซุนโส่วเหลียนว่ามาเหมือนไม่เท็จ แต่หากเมืองเหลียวโจวคิดใส่ความระดับขุนพลคุมพื้นที่ ทางเมืองหลวงก็ไม่น่าจะไม่รู้ ร้านสามธารากับองครักษ์เสื้อแพรก็ควรได้ข่าวมาบ้าง ซุนโส่วเหลียนยังสนิทกับพวกตนเพียงนี้ ทำไมไม่มีข่าว
“เจ้ารู้ข่าวนี้มาได้อย่างไร?”
“ขุนพลเมืองเหลียวโจวหลายคนล้วนวางสายไว้ในจวนหลี่เฉิงเหลียงด้วยเงินก้อนโต และยังสนิทกับคนในจวนไม่คนก็สองคนเพื่อหาข่าว ครั้งนี้คนสนิทมีข่าวมาบอกข้าน้อย บอกว่าปีหน้าเดือนสองก็จะลงมือกับข้าน้อยแล้ว”
หวังทงไม่ได้ถามเรื่องโกงกินรับสินบนอันใด ขุนพลแผ่นดินหมิงไม่ว่าผู้ใด ขอเพียงสืบละเอียด ก็ย่อมมีความผิดสองข้อนี้ ก็แค่ไม่สอบสวนเท่านั้น ซุนโส่วเหลียนอย่างไรก็มีสายสัมพันธ์กับร้านสามธารา และตามที่หวังทงรู้มา เขาไม่เคยทำงานไม่ซื่อ คนคนนี้รักษาไว้ได้ก็ควรรักษาไว้
“ท่าทีเจ้าเช่นนี้เพราะกลัวข้าไม่อยากล่วงเกินแม่ทัพหลี่เพื่อช่วยเจ้าใช่หรือไม่?”
ซุนโส่วเหลียนไม่ได้ตอบทันที หวังทงรู้ว่ากล่าวถูกแล้ว เขาโบกมือกล่าวว่า
“เจ้าเห็นข้าเป็นพวกขี้ขลาดหรือไง เจ้าไม่ต้องกังวลไป ย้ายมาอยู่ที่นี่ก็แล้วกัน ข้ารับรองตำแหน่งขุนพลเดิมเจ้าได้ อำนาจวาสนาก็ไม่ด้อยไปจากที่เจ้าอยู่ที่เมืองเหลียวโจว วางใจได้แล้วกระมัง!”
แม้ว่าหวังทงกล่าวสบายๆ แต่ซุนโส่วเหลียนก็ยังโขกศีรษะ อย่าเห็นว่าตำแหน่งขุนพลคุมพื้นที่นั้นสูงส่ง มีพื้นที่ดูแล มีอำนาจทหาร เพราะสิ่งเหล่านี้สำหรับหวังทงแล้ว คำสัญญาที่ให้นี่ไม่มากเกินจะรับปาก
ของขวัญเรือนแสน วางท่าสองวัน ได้ผลเช่นนี้ ซุนโส่วเหลียนนับว่าพอใจ โขกศีรษะเงียบไปครู่หนึ่ง เงยหน้ากล่าวว่า
“ท่านโหว ข้าน้อยไม่ยอม!”