องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 917 ยอมเป็นเขี้ยวเล็บ ขอเพียงการปกป้อง
ซุนโส่วเหลียนคุกเข่ากล่าวว่า ‘ข้าน้อยไม่ยอม’ จากนั้นก็โขกศีรษะ หวังทงกลับขมวดคิ้ว คนเรามักไม่พอใจในสิ่งที่มี
ล่วงเกินแม่ทัพใหญ่ในพื้นที่ ที่ล่วงเกินยังเป็นผู้บัญชาการเมืองเหลียวโจวหลี่เฉิงเหลียงผู้ยิ่งใหญ่อีก เดิมคงต้องมีจุดจบที่สิ้นชื่อไร้บ้านไร้สมบัติแล้ว หวังทงให้คำมั่นว่ามาอยู่ในผืนแผ่นดินที่นี่ก็จะให้เขาดำรงตำแหน่งเดิม และยังบอกว่าอำนาจวาสนายังคงอยู่ ด้วยสถานะหวังทงตอนนี้ ซุนโส่วเหลียนเข้ามาอยู่ในด่าน ดีไม่ดีอาจมีอนาคตที่ดีกว่า
ทว่าซุนโส่วเหลียนยังกลับกล่าวเช่นนี้ เห็นชัดว่าไม่พอใจกับการจัดการของหวังทง สีหน้าหวังทงนิ่งเฉยกล่าวว่า
“ใต้เท้าซุนกับข้าก็มีน้ำใจต่อกันมา เหตุใดไม่อาจยอมรับได้ ลองว่ามาหน่อย”
ซุนโส่วเหลียนเป็นขุนพลคุมพื้นที่อยู่เมืองเหลียวโจว ประจำพื้นที่ตนเองก็เรียกได้ว่ามีอำนาจของตนเอง ต่อหน้าหวังทง โขกศีรษะไม่เสียดายศักดิ์ศรี โขกศีรษะต่อกล่าวว่า
“วาจาท่านโหวเมื่อครู่ ข้าน้อยซาบซึ้งมาก แม้ตายหมื่นครั้งก็ไม่อาจตอบแทน แต่ข้าน้อยมีชีวิตนอกด่าน เติบโตนอกด่านมา ครอบครัวมากมายก็อยู่นอกด่าน ก็เพราะใกล้ชิดท่านโหว จึงนำภัยมาสู่อำนาจวาสนา ต้องอพยพครัวเรือน คนมามากมายต้องจากบรรพชนจากบ้านเกิด จะให้ข้าน้อยยินยอมได้อย่างไร?”
เมืองเหลียวโจวส่วนใหญ่เป็นราษฎรจากในด่านไปอยู่กัน ไปถึงที่นั่น อยู่ต่างบ้านต่างเมือง ก็เห็นสายสัมพันธ์ชนชาติและบ้านเกิดเป็นเรื่องสำคัญ ทุกคนอยู่รวมกัน ไปมาหาสู่กัน นานวันเข้า ก็เริ่มขยายตัวเข้มแข็งขึ้น
ขุนพลเมืองเหลียวโจวส่วนใหญ่ก็เป็นพวกตระกูลใหญ่ในพื้นที่ หลี่เฉิงเหลียงก็เป็นตระกูลยิ่งใหญ่ราวภูผาเหล็ก คนพวกนี้พอมีอำนาจวาสนาปกป้องชนเผ่าตนและครอบครัวตน ตระกูลขยายใหญ่เร็วมาก มักจะเป็นคนพวกเดียวกันอยู่รวมกันในหนึ่งเมืองหรือในหนึ่งพื้นที่ นี่จึงเป็นเหตุหนึ่งที่กองกำลังเมืองเหลียวโจวต่อสู้เข้มแข็ง ทุกคนเป็นคนพื้นที่ มีสายสัมพันธ์สายเลือด ทำสงครามขึ้นมาก็ย่อมช่วยเหลือกัน ย่อมรวมกำลังเป็นหนึ่ง
ตระกูลพวกซุนโส่วเหลียนเองก็เช่นนี้ ไม่กล่าวถึงตระกูลเขาเป็นตระกูลใหญ่ในเมืองเหลียวโจว ตระกูลภรรยาเขาเองก็เช่นกัน ล้วนเป็นสายสัมพันธ์ที่หากรุ่งเรืองก็รุ่งไปด้วยกัน และหากดับสูญก็ดับไปพร้อมกัน หากย้ายเข้ามาอยู่ในด่านจริง คนทั้งกองพันก็ต้องอพยพตามมาด้วย นี่เป็นเรื่องสูญเสียสิ้นเปลืองและยุ่งยากมาก
และอยู่เมืองเหลียวโจวมานาน เห็นเมืองเหลียวโจวเป็นดังบ้านเกิด ชาวฮั่นให้ความสำคัญกับบ้านเกิดเมืองนอนที่สุด หากต้องละทิ้งไป ใจจะยอมได้อย่างไร อยู่ที่นั่นเป็นตระกูลใหญ่ กล่าวอันใดก็มีน้ำหนัก หากเข้ามาอยู่ในด่านที่ไม่คุ้นเคย ต้องตั้งต้นใหม่ ก็ย่อมมีความยากลำบากมากมาย
คิดถึงเหตุต่างๆ นี้แล้ว ก็ย่อมเป็นสิ่งที่ทำให้ซุนโส่วเหลียนยอมไม่ได้ แต่ที่ไม่ยอมก็คือซุนโส่วเหลียน หวังทงกลับไม่พอใจ ใจดีคิดช่วย แต่ซุนโส่วเหลียนกลับเลือกมาก ช่างไม่รู้จักรักดี
คนเมื่ออยู่ตำแหน่งสูง ก็ย่อมต้องเก็บงำความรู้สึกตนให้ดี แต่สีหน้าหวังทงตอนนี้ดำคล้ำไปหมดแล้ว ซุนโส่วเหลียนคลานเข่าเข้ามาด้านหน้าโขกศีรษะกล่าวว่า
“ท่านโหว ท่านโหวตอนนี้สถานะสูงส่ง ยังเป็นคนโปรดฝ่าบาท เรียกได้ว่าเป็นระดับบนสุดของแผ่นดินหมิง แต่แม้ว่าเป็นระดับสูงแล้ว ก็ยังไม่อาจจัดการเองได้ทุกเรื่อง อย่างไรก็ต้องการเขี้ยวเล็บ ข้าน้อยยอมเป็นวัวเป็นม้ารับใช้ท่าน แล้วแต่ท่านจะใช้งาน เป็นตายไม่รีรอ”
“ข้ามีคนให้ใช้งานไม่น้อยแล้ว ใต้เท้าซุนไม่จำเป็นต้องลดตัวเช่นนี้”
หวังทงกล่าวน้ำเสียงเยียบเย็น เขาไม่ต้องการซุนโส่วเหลียนมาเป็นพวกจริง ๆ ซุนโส่วเหลียนราวกับฟังน้ำเสียงเสียดสีของหวังทงไม่ออก กล่าวอีกว่า
“หลี่เฉิงเหลียงเมืองเหลียวโจวกับพวกหม่าหลิน คิดเป็นปรปักษ์กับท่านโหว ข้าน้อยไม่พูด ท่านโหวเองก็คงรู้ เมืองเหลียวโจวเป็นเมืองมณฑลทหารอันดับหนึ่งในใต้หล้า ตอนนี้หลี่เฉิงเหลียงก็เป็นขุนพลทหารที่มีประสบการณ์และสถานะสูงสุดในใต้หล้า อำนาจเช่นนี้เห็นท่านโหวเป็นศัตรู หรือว่าท่านโหวไม่กังวลกัน?”
ซุนโส่วเหลียนไม่สนใจอันใด เอาแต่เรียกตนเองว่า ‘ข้าน้อย’ วาจาเขานั้นเป็นความจริง เมืองเหลียวโจวขุนนางบู๊ต่างมองหวังทงเป็นศัตรู หวังทงอย่างไรก็ต้องป้องกัน อย่างไรตระกูลหลี่ก็ตั้งกำลังที่เมืองเหลียวโจวมาหลายปี มีสายสัมพันธ์ในราชสำนักมากมาย ไม่กล่าวเรื่องอื่น แค่หวังทงนำกำลังปราบเมืองกุยฮว่าเฉิง ราชสำนักโจมตีหาเรื่องกันใหญ่ แต่พอหลี่เฉิงเหลียงนำทัพปราบตัวหลุน ก่อนและหลังรบก็ล้วนเป็นเสียงชื่นชม เรื่องนี้ก็บอกอะไรได้กระจ่างหลายอย่างแล้ว
เห็นหวังทงจมอยู่ในภวังค์ความคิด ซุนโส่วเหลียนกล่าวอีกว่า
“ท่านโหว เมืองเหลียวโจวอยู่ข้างเมืองหลวง ก็เท่ากับรังพยัคฆ์ร้ายหมอบอยู่ข้างกาย หรือว่าท่านโหวนอนหลับสนิทลงได้ หากยังให้ข้าน้อยได้อยู่เมืองเหลียวโจวต่อ ไม่กล้ากล่าวว่าทำอันได้ แต่อย่างน้อยก็จะคอยส่งข่าวบอกท่านโหวได้ เรื่องพวกนี้ท่านโหววางใจได้!”
หวังทงได้ยินถึงตรงนี้ ก็ไม่ส่งเสียงตอบ เพียงยกจอกชาบนโต๊ะขึ้นมา ไม่สนใจชาที่เย็นหมดแล้ว หากจิบแล้วก็เงียบไปนานก่อนจะกล่าวว่า
“ใต้เท้าซุน ท่านเป็นขุนพลราชสำนักจะรบกวนท่านทำงานให้ข้าได้อย่างไร!”
กล่าวออกไป สีหน้าซุนโส่วเหลียนก็เผยแววลิงโลด ลุกขึ้นโขกศีรษะอย่างแรง ดังโป๊กๆ กล่าวน้ำเสียงหนักแน่นว่า
“ท่านโหวอยู่เบื้องบน วันหน้าซุนโส่วเหลียนจะเป็นบ่าวรับใช้ท่านโหว ท่านโหวชี้ไปขวา ซุนโส่วเหลียนไม่กล้าไปซ้ายเด็ดขาด จะเป็นวัวเป็นม้าให้ท่านโหว แม้นตายก็ไม่ลังเล”
หวังทงเองก็ไม่เกรงใจ มองเขาโขกศีรษะไม่หยุด รอซุนโส่วเหลียนคำนับจบ หวังทงจึงได้ยิ้มกล่าวว่า
“ลูกชายทั้งสามใต้เท้าซุนอายุไม่มาก อยู่เมืองเหลียวโจวก็ไม่มีอะไรดี ไม่สู้ส่งมาเทียนจิน มาฝึกทหารสักสองปีให้เรียนรู้ฝึกความสามารถ”
นี่กำลังเรียกตัวประกันแล้ว ซุนโส่วเหลียนใช่ว่าไม่ยินยอม ทว่าจำนวนที่หวังทงว่ามาทำเอาเขาอึ้งไป เงยหน้าขึ้นกล่าวว่า
“ท่านโหวจำผิดหรือเปล่า ข้าน้อยมีลูกชายแค่สองคน?”
“เทียนจินถนนที่ 6 จวนหลังนั้น ใต้เท้าซุนทุกปีมาใช่ว่าไปพักหลายวันหรอกหรือ?”
กล่าวออกมา ทำเอาซุนโส่วเหลียนหนาวไปทั้งตัว ไม่กล้ากล่าวอันใดอีก รีบโขกศีรษะ เทียนจินกลับมีจวนแอบซ่อนของซุนโส่วเหลียน ทุกปีมาเทียนจินหลายเดือน ย่อมต้องมีคนปรนนิบัติ ว่ากันว่าเป็นสาวงามมีชื่อที่ไถ่ตัวมาจากเมืองหลวง นับเป็นวาสนา ถึงกับมีลูกชายให้ซุนโส่วเหลียนได้ วันหน้าไม่ต้องกังวลเรื่องความเป็นอยู่แล้ว ทว่าเด็กน้อยอายุไม่ถึง 3 ขวบดี จะเรียนอะไรได้
หวังทงแสดงความหมายออกมากระจ่าง ซุนโส่วเหลียนเริ่มรับรู้ด้วยตนเองแล้ว หวังทงวางจอกชาในมือลง เงียบไปครู่หนึ่ง กล่าวว่า
“ใกล้ปีใหม่แล้ว ตอนนี้เมืองเหลียวโจวทุกอย่างยังปกติ ควรเดินทางกลับก็เดินทางกลับ ข้าไม่รั้งท่านไว้แล้ว ทว่าปีใหม่เดินทางลำบาก ทางข้าจะส่งคนให้เจ้าสองสามคน ล้วนฝีมือดี ใช้งานสะดวก”
เส้นทางเดินทางยากสำหรับราษฎรปกติ แต่สำหรับซุนโส่วเหลียนจะเดินทางยากลำบากได้อย่างไร หวังทงจัดการส่งคนมานั้นก็เพื่อมาคอยจับตาดูซุนโส่วเหลียน และยังเป็นการวางกำลังไว้ที่เมืองเหลียวโจว ซุนโส่วเหลียนย่อมไม่ปฏิเสธ และเขาก็ไม่อาจปฏิเสธด้วยเช่นกัน
“ท่านโหว…….”
“ไม่ต้องกังวลสิ่งใด เจ้าอยู่ในตำแหน่งต่อไปนิ่งๆ คนอื่นทำอะไรเจ้าไม่ได้”
หวังทงกล่าวสบายๆ ความกลัวอยู่ในใจซุนโส่วเหลียนมานาน ยามนี้กลับสงบลงด้วยวาจาไม่กี่คำ โขกศีรษะ กล่าวว่า
“ไม่ทราบว่าท่านโหวมีอันใดสั่งการอีกหรือไม่?”
วาจานี้เห็นได้ว่ามองหวังทงเป็นนายแท้จริงตนไปแล้ว หวังทงเงียบไปครู่หนึ่งกล่าวว่า
“ข่าวเมืองเหลียวโจว ข้าต้องการรู้ให้มากอีกหน่อย เจ้ารู้อะไรก็รายงานมาให้หมด เจ้าไม่รู้ก็ต้องทำให้รู้ และก็รายงานมา จดจำวาจาเจ้าเมื่อครู่ไว้ให้ดี วันหน้าหากคิดเป็นอื่น ก็ย่อมต้องหายนะถึงชีวิต”
แม้ว่าคนสถานะสูงส่งมักจะกล่าววาจาอ้อมค้อม แต่หวังทงกลับกล่าวตรงไปตรงมา กับขุนนางบู๊ย่อมไม่จำเป็นต้องกล่าวอ้อมค้อม ซุนโส่วเหลียนได้ยินก็โขกศีรษะ
**************
ซุนโส่วเหลียนพอได้เรื่องจากหวังทงแล้วก็อยู่ต่ออีกวันหนึ่ง ก่อนจะเดินทางกลับเมืองเหลียวโจว สำหรับแต่ละฝ่ายในเมืองหลวง การอยู่หรือไปของขุนพลคุมพื้นที่นอกด่านคนหนึ่งไม่ใช่เรื่องสำคัญ ไม่กระไรนัก
ใกล้ปีใหม่ พวกที่มีสายสัมพันธ์กับหวังทงล้วนมาสานสัมพันธ์ เป็นเรื่องปกติ ตอนนี้สถานะใต้เท้าหวังก็ควรมีคนมาประจบได้แล้ว พอซุนโส่วเหลียนจากไป ข้างกายยังมีคนหน้าตาไม่คุ้นเคยตามอยู่สองสามคน ไม่มีผู้ใดคิดสนใจเรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด
ซุนโส่วเหลียนจากไป หลังการประชุมขุนนาง หวังทงไปที่สำนักองครักษ์เสื้อแพร ไปจัดการการงานยังห้องทำงานเสร็จ ก็ไปยังห้องทำงานหยางซือเฉิน กล่าวว่า
“สั่งการให้กองเอกสาร สำนักองครักษ์เสื้อแพร ส่งเอกสารที่เกี่ยวข้องกับเมืองเหลียวโจวมาให้หมด”
หยางซือเฉินในสายตาคนข้างนอกเหมือนเป็นทำงานให้หวังทง ที่จริงแล้วมีสถานะเป็นซือเย๋ที่ปรึกษา หวังทงกล่าวอันใดในที่ประชุมบ้างเขาเองก็รู้ ได้ยินหวังทงสั่งการก็รีบประสานมือคำนับกล่าวว่า
“ใต้เท้า หากคิดจะจัดการชายแดน ลงมือเมืองเหลียวโจวก่อน น่าจะไม่ค่อยเหมาะ เมืองเหลียวโจวยังคงมีศัตรูนอกด่านอยู่!”
หวังทงยิ้มส่ายหน้ากล่าวว่า
“ยังไม่ได้ไปไกลขนาดนั้น เพียงแค่เอามาดูๆ เท่านั้น”
เรื่องซุนโส่วเหลียน หวังทงไม่ได้บอกหยางซือเฉิน หยางซือเฉินพอได้ยินเช่นนี้รีบคำนับไปจัดการ
ตอนนี้หวังทงทำอันใดในสำนักองครักษ์เสื้อแพรไม่มีผู้ใดคอยขวาง แต่ละหน่วยงานล้วนประสานเสียงจัดการให้เรียบร้อย ไม่กล้าชักช้าแม้เพียงนิด นับประสาอันใดกับการต้องการเอกสารจากกองเอกสาร สำนักองครักษ์เสื้อแพร กองเอกสาร สำนักองครักษ์เสื้อแพรมีนายกองร้อยโหวเจินที่หวังทงนำมาใช้งาน ปีก่อนเดือนหนึ่งก็ได้เลื่อนเป็นนายกองพัน คุมกองเอกสาร สำนักองครักษ์เสื้อแพร การทำงานก็เรียกได้ว่าสะดวกไปอีกขั้น
ตอนกลางวันมีคำสั่งไป เพิ่งจะเลยเวลาอาหารมา ก็มีเจ้าหน้าที่หอบเอกสารเมืองเหลียวโจวมา เอกสารไม่น้อย สิบห้าลังวางอยู่ข้างนอก ว่ากันว่ายังมีเอกสารในโกดังเก็บอีก
มากมายเช่นนี้ จะอ่านหมดได้อย่างไร หวังทงขมวดคิ้วกล่าวว่า
“เอกสารปกติประจำไม่ต้อง มีอันใดไม่เหมือนเดิม ระยะนี้ เอามาดูให้หมด”
โหวเจินรับคำสั่งอยู่ข้างๆ ได้ยินหวังทงถาม ก็รีบยิ้มร่าเข้ามาค้นหาด้วยตนเอง เขารู้ว่าเมืองเหลียวโจวกับหวังทงมีสายสัมพันธ์ไม่ดีเท่าไร ดังนั้นพวกที่ชื่นชมเมืองเหลียวโจว ว่าเมืองเหลียวโจวดี โหวเจินจึงไม่สนใจเอกสารพวกนั้น
“ผู้บัญชาการ อยู่นี่แล้ว เป็นเอกสารที่ส่งมาเมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง”
โหวเจินหาเอกสารออกมาได้อย่างรวดเร็ว ยิ้มส่งให้
………………………………………………….