องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 918 ขุนนางทรงอำนาจและมีความสามารถ
“หักเบี้ยหวัดทหาร ทำร้ายทหาร เอามาทำไมกัน ข้าเอาไปเข้าประชุม ใช่ว่าทำให้ฝ่าบาทกับใต้เท้าทุกท่านหัวเราะเยาะเอาหรือ?”
โหวเจินหยิบเอกสารมาฉบับหนึ่ง เป็นราชสำนักส่งเบี้ยหวัดให้เมืองเหลียวโจวก้อนหนึ่ง ไปถูกหักที่เหลียวหยางสองในสามส่วน ครึ่งหนึ่งไว้ใช้เอง อีกครึ่งหนึ่งส่งไปทำการค้าที่เทียนจิน เรื่องเช่นนี้ชายแดนก็ทำกันทั้งนั้น ทว่าเมืองเหลียวโจว ตระกูลหลี่ทำกันไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย
แต่ก็ไม่อะไรนัก สำหรับราชสำนักแล้ว เมืองชายแดนที่จงรักภักดีและรบเก่งเป็นเมืองชายแดนที่ดี เรื่องเงินๆ ทองๆ พวกนี้เรียกได้ว่าเรืองเล็ก
ในเอกสารพวกนี้ ยังมีเอกสารรายงานจากสายสืบองครักษ์เสื้อแพรแนบมาอีกฉบับว่าในจวนตระกูลหลี่ นายทหารผู้หนึ่งลักลอบมีอะไรกับสาวใช้หลี่หรูป๋อ ถูกจับได้ สองคนถูกตีตายทั้งเป็น
นี่เป็นเรื่องปกติ สาวใช้ในจวนกับคนนอกจวนลักลอบมีอะไรกัน ถูกนายจับก็จะถูกตีตายทั้งเป็น คดีเช่นนี้ในแผ่นดินหมิงใต้หล้าเรียกได้ว่ามีไม่น้อย หรือยังอาจถูกพวกบัณฑิตเรียกกันว่าเป็นการเก็บกวาดสะสางเรื่องราวในจวนให้สะอาด ผู้ใดจะไปสนใจ นำเรื่องเช่นนั้นไปกล่าวหาขุนนางแม่ทัพมีบรรดาศักดิ์ คงได้ถูกหัวเราะเยาะใส่
เอกสารที่นำออกมาถูกหวังทงตีกลับ โหวเจินสีหน้าพยายามยิ้มเอาใจ นอบน้อมถามขึ้น
“ไม่ทราบว่าผู้บัญชาการต้องการข่าวแบบใด ข้าน้อยขอบังอาจถาม ตอนนี้ผู้บัญชาการสถานะเช่นนี้ คิดทำอันใด ไม่ได้ขึ้นกันเรื่องเล็กใหญ่ แต่ขึ้นกับผู้บัญชาการคิดทำหรือไม่……”
โหวเจินกล่าวอยู่นั้น ถูกหวังทงกวาดตามองก็รีบหุบปากทันที ก้มกายคำนับ หวังทงส่ายหน้ากล่าวว่า
“หากทำตามที่เจ้าว่า คนใต้หล้าย่อมหาว่าข้าใส่ความผู้บัญชาการ คิดการไม่ซื่อ เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ก็ได้ ต้องดูว่าเป็นเรื่องเล็กแบบใด หักเบี้ยหวัดทหาร มีเรื่องกับทหาร สองเรื่องนี้หากทำให้ใหญ่ล่ะก็ได้ แต่ใช่ว่าจะทำให้ขุนพลใต้หล้าต้องระแวงระวังตนเองหรือ?”
พอถามกลับก็ทำเอาโหวเจินลนลานคุกเข่าลง รีบแก้ตัวว่า
“ผู้บัญชาการสั่งสอนได้ถูกต้อง ข้าน้อยคิดผิดไปชั่วขณะ ไม่ได้คิดเป็นอื่น ขอผู้บัญชาการพิจารณาด้วย!”
เห็นสีหน้าโหวเจินซีดเผือด หวังทงเองก็อึ้งไป คิดไม่ถึงว่าโหวเจินจะมีปฏิกิริยามาเช่นนี้ ลองหวนกลับไปคิดดูจึงคิดได้ โหวเจินเกรงว่าตนจะเข้าใจผิดว่าเขาคิดขุดกับดักล่อ
หวังทงอดไม่ได้ยิ้มเฝื่อนส่ายหน้า ทว่าก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดี แสดงให้ว่าตนได้สร้างบารมีในสำนักองครักษ์เสื้อแพรขึ้นมาได้แล้ว
“อย่าได้คิดมาก รีบลุกขึ้น!”
หวังทงพูดไปอย่างนั้น องครักษ์เสื้อแพรหากต้องการใส่ความผู้ใดจริง จับเรื่องเรื่องเล็กมาเป็นประเด็นก็ย่อมได้ ที่โหวเจินว่ามาก็เป็นวิธีการทำที่เห็นได้บ่อย หวังทงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนค่อยๆ กล่าวว่า
“เรื่องพวกนั้นล้วนเป็นเรื่องเล็กน้อยทำอะไรไม่ได้ หากมีเรื่องคิดไม่ซื่อ แอบสมคบพวกนอกเผ่า จึงจะเป็นเรื่องที่ตีวงให้ใหญ่ได้”
โหวเจินได้ยินก็อดหนาวไม่ได้ ในใจคิดว่าข่าวลือที่ว่าท่านโหวเป็นขุนนางชั่ว แต่ในหมู่องครักษ์เสื้อแพรล้วนรู้สึกว่าหวังทงเป็นขุนนางมีความสามารถแท้จริง วันนี้ได้ยินเช่นนี้ จึงได้รู้สึกถึงว่าคำว่า ‘ชั่ว’ หวังทงไม่ธรรมดาเลย ไม่รู้ว่าตระกูลหลี่ทำเช่นนั้นเป็นความอิจฉาปกติ ถึงกับคิดว่าหาความผิดใหญ่มาจัดการพวกเขา
แต่คิดถึงตรงนี้ ก็รู้สึกยินดี หวังทงสั่งให้เขจัดการเรื่องพวกนี้ก็เท่ากับเห็นเขาเป็นคนสนิท จึงรีบคำนับกล่าวว่า
“ท่านโหวในเมื่อชี้ทางเช่นนี้ ข้าน้อยรู้แล้วว่าควรทำเช่นไร ทว่าเรื่องเช่นนี้เกรงว่าต้องใช้เวลาสักหน่อย หนึ่ง เอกสารมาก เฟ้นหาไม่ง่าย สอง เรื่องเช่นนี้ต้องอาศัยคนไว้ใจได้มาช่วย พวกเจ้าหน้าที่สังกัดข้าน้อยเกรงว่าไม่สามารถไว้ใจได้”
หวังทงพยักหน้าถามขึ้น
“เรื่องนี้ก่อนเดือนหนึ่งจัดการทันไหม?”
“ไหนเลยต้องใช้เวลาเดือนหนึ่ง ช้าสุดก็กลางเดือนสิบสอง ก็จะหาออกมาให้ท่านโหวได้ครบ ขอท่านโหววางใจได้”
**************
สำนักองครักษ์เสื้อแพรทำอะไร คนข้างนอกยากจะรู้ โดยเฉพาะคนเช่นโหวเจินหากคิดทำเป็นความลับ คนนอกต้องการรู้ก็ยาก
หวังทงพอจะรู้แล้วว่าโหวเจินจะทำอะไร กองเอกสาร สำนักองครักษ์เสื้อแพรมีหน้าที่ดูแลเอกสารทั้งหมด เขาคิดอาศัยข้ออ้างว่ามีแมลงกัดกินเอกสาร ต้องจัดการทำความสะอาด ให้ส่งคนมาจำนวนหนึ่ง อย่างไรก็ต้องขนออกมา แล้วค่อยเปลี่ยนปกหนังอะไรพวกนี้เป็นข้ออ้างง่ายๆ
ก็เป็นวิธีการหนึ่ง มีแต่คนที่รู้จึงจะรู้ว่าให้ทำอะไร คนอื่นช่วยเหลือก็แค่ช่วยเหลือ ไม่รู้จุดประสงค์แท้จริง
เวลาไม่นานไม่อาจได้ข่าวอันใด หวังทงเองไม่ใจร้อน ซุนโส่วเหลียนบอกกระจ่างแล้ว ข่าวจากทางหลี่เฉิงเหลียงว่าต้องปีหน้าต้นฤดูใบไม้ผลิจึงจะหาเรื่องใส่ความเขา เวลานี้ก็ไม่ทำอะไร มีเวลาพอ
อย่างไรก็วาจาเดิมที่ว่า ผู้บัญชาการเมืองเหลียวโจวหากต้องการปลดขุนพลคุมพื้นที่ ความเห็นเขาแม้สำคัญ แต่ก็ต้องผ่านไปทางผู้บัญชาการมณฑลทหาร กรมทหารกับราชสำนักก็ต้องมีขั้นตอนสั่งการลงมา ระบบระเบียบใหญ่น้อย ไม่ใช่จัดการได้ง่ายๆ หากผู้บัญชาการทหารสามารถปลดขุนพลคุมพื้นที่ง่ายๆ ก็มิใช่แผ่นดินหมิง แต่เป็นแผ่นดินเขาแล้ว
พอเข้าสู่เดือนสิบสอง กรมทหารก็มีข่าวมาว่าคนตระกูลหลี่จะเข้าเมืองหลวง จุดหมายเพื่อยื่นฎีกาขุนพลคุมพื้นที่ผิดวินัย ตอนรบกับตัวหลุนเกือบทำทัพใหญ่เสียเปรียบ แต่แม่ทัพใหญ่เห็นใจลูกน้อง จึงได้ให้เขาได้ดำรงตำแหน่งต่อ มาตอนนี้คนผู้นี้กลับไม่รู้จักดี กลับใช้สถานะขุนพลของตนทำการไม่เกรงกลัวกฎหมาย เพื่อความสงบสุขของเมืองเหลียวโจว จำต้องจับเขามาลงโทษ
นี่ล้วนเป็นวาจาในเอกสาร ทุกคนรู้ดีแก่ใจว่าเรื่องอันใด ทว่าทุกคนในกรมทหารได้รับผลประโยชน์จากเมืองเหลียวโจวไปมาก และเปิดทางไว้หมดแล้ว พอลงมือก็สะดวกยิ่ง
สำหรับผู้บัญชาการมณฑลทหารจี้โจวและเหลียวโจว ขุนนางบุ๋นผู้นี้แท้จริงแล้วก็เป็นเพียงเรื่องขำขัน ผู้บัญชาการเมืองจี้โจวลี่อวิ๋นไหลและผู้บัญชาการเมืองเหลียวโจวหลี่เฉิงเหลียงล้วนเป็นแม่ทัพใหญ่เกรียงไกร ผู้ใดจะสนใจขุนนางบุ๋นระดับนี้กัน
ข่าวจากกรมทหารก็พิสูจน์สิ่งที่ซุนโส่วเหลียนกล่าว ซุนโส่วเหลียนมีสายสัมพันธ์กับหวังทงต่าง ๆ นานา ไม่มีทางจะช่วยเมืองเหลียวโจวเล่นงานหวังทงเด็ดขาด
ซุนโส่วเหลียนอย่างไรก็เป็นคนในพื้นที่ มีพื้นที่ดูแล กรมทหารได้ข่าวไม่กี่วัน องครักษ์เสื้อแพรกับร้านสามธาราที่เหลียวตงก็ได้ข่าวกลับมา พวกเขาได้ข่าวมาไม่ชัดเจนนัก มีข่าวไม่มากจากเหลียวหยาง บอกแค่ซุนโส่วเหลียนใกล้ชิดกับเทียนจินมาก แม่ทัพใหญ่ไม่พอใจมาก
**************
วันที่ 9 เดือนสิบสอง ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 13 โหวเจินยังไม่ได้หาเอกสารมาเพิ่ม เมืองเหลียวโจวไม่ได้มีข่าวอันใดใหม่เพิ่มเติม แต่เมืองกุยฮว่าเฉิงมีข่าวใหม่
สองกองกำลังเผ่าฉาฮาเอ่อสลัดความสัมพันธ์กับเผ่าฉาฮาเอ่อเดิม มาสวามิภักดิ์เมืองกุยฮว่าเฉิง ส่งทหารม้าห้าร้อยนายกับชนชั้นสูงในเผ่ามาสองตระกูลเป็นตัวประกัน ให้พำนักในเมืองกุยฮว่าเฉิง นับว่าเป็นการขอเจรจาสงบศึกกับเมืองกุยฮว่าเฉิง ความขัดแย้งตรงหน้าจะไม่ยืดเยื้อต่อไป
ฎีกาเมิ่งตั๋วเขียนย่อมวาจาสวยหรู เช่นว่าฮ่องเต้ว่านลี่บารมีสูงส่ง พวกนอกเผ่าสี่ทิศล้วนยำเกรงพระบารมี อะไรพวกนี้ แต่เนื้อหาละเอียดก็กล่าวชัดเจนว่า กองกำลังติดอาวุธกุยฮว่าเฉิงรบกับเผ่าฉาฮาเอ่อได้เปรียบมาก การต่อสู้ไม่มีอันใดต้องกังวลก็แค่ระดมปืนยิงระลอก แล้วก็ส่งทหารม้าเข้าสังหาร
พวกทุ่งหญ้านอกด่านรบกับทหารแผ่นดินหมิง แต่ไรไม่เคยกลัวปืน ปืนเจ้ายังไม่ทันรอให้พวกข้ามาถึงด้านหน้าก็ยิงหมดแล้ว ข้ากลัวเจ้าทำไมกัน แต่ทางเมืองกุยฮว่าเฉิงกลับรอให้ใกล้แล้วยิง ถึงกับมีมีธนูออกมายิงซ้ำ หากมีเรื่องย่อมตายสถานเดียว และยังชอบไปแอบหลังรถใหญ่ให้เจ้าทำอันใดไม่ได้ กอปรกับยังมีทหารม้าอีก เห็นชัดว่าเป็นทหารม้าเก่งกล้าจากหลายเผ่า สามารถบุก สามารถสู้ รู้ยุทธวิธีรบแบบทุ่งหญ้านอกด่าน
รบกันบาดเจ็บล้มตายไม่น้อย จากนั้นเผ่าฉาฮาเอ่อก็เสียกำลังไปมากกว่า มีพ่อค้าทำการค้าระหว่างสองฝ่ายส่งข่าวมาว่า บรรดาพ่อค้าเมืองกุยฮว่าเฉิงคิดจะรบใหญ่กำจัดเผ่าฉาฮาเอ่อทิ้ง จะได้มีชีวิตปีนี้สบายยิ่งขึ้น คิดถึงกำลังของเมืองกุยฮว่าเฉิง เผ่าฉาฮาเอ่อก็กลัวขึ้นมาจริงๆ แล้ว
ทุ่งหญ้านอกด่านไม่เหมือนแผ่นดินหมิง ผู้เข้มแข็งได้ครอบครอง แข็งแกร่งก็ย่อมมีคนมาพึ่งพา อ่อนแอก็ย่อมถูกกลืนกิน พอรบแพ้ ก็มีคนพากันไปสวามิภักดิ์เผ่าอื่น หากต้องรบอีกครั้ง คงได้สูญสิ้นทั้งเผ่า ชนะก็ย่อมทำลายกำลังหลักตนเอง ช่างไม่อาจทานรับได้ ได้แต่มาสงบศึก
เมิ่งตั๋วได้รับคำสั่งจากในวังให้สยบสถานการณ์ไว้ จึงไม่กล้าบุ่มบ่ามบุก และพวกพ่อค้าเองก็ได้ประโยชน์ไปมากแล้ว ครั้งนี้จึงสามารถสยบสถานการณ์ไว้ได้
ไม่ต้องกล่าวถึงบรรดาพ่อค้าวุ่นวาย ที่จริงแล้วเป็นเรื่องศักดิ์ศรี พวกเผ่ามองโกลทุ่งหญ้านอกด่านแม้ยอมให้กับผู้แข็งแรงกว่า แต่ในความเป็นจริงก็ย่อมเห็นว่าผู้ปกครองเลือดแท้ย่อมเป็นผู้ปกครองแท้จริง เผ่าฉาฮาเอ่อก็คือผู้สืบทอดเลือดแท้ของผู้ปกครอง เรียกได้ว่าเป็นผู้สืบทอดเผ่าอันต๋าที่ยิ่งใหญ่เป็นเจ้าแห่งทุ่งหญ้า เผ่าฉาฮาเอ่อก่อตั้งมาจากสามหมื่นครัวเรือน
เผ่าเช่นนี้ขอเจรจาสงบศึก แสดงให้เห็นถึงบารมีแผ่นดินหมิงเกรียงไกรสี่ทิศ ความสำเร็จของฮ่องเต้ว่านลี่ ทว่าหลังถวายฎีกา ฮ่องเต้ว่านลี่กับขุนนางใหญ่ดีใจก็ส่วนดีใจ แต่ก็รู้ได้เรื่องหนึ่ง เมืองกุยฮว่าเฉิงวางรากฐานแน่นบนทุ่งหญ้านอกด่านแล้ว เมืองกุยฮว่าเฉิงตอนนี้ไม่ต้องกลัวสงครามชายแดนแล้ว พวกเขาจากนี้มีแต่ร่ำรวย…….
ข่าวแพร่ไปทั่วเมืองหลวง ขุนนางและราษฎรพากันยืดอกภาคภูมิใจ แม้การออกไปปล้นฆ่าไร้คุณธรรม แต่อย่างไรแผ่นดินหมิงไปสังหารคนอื่น อย่างไรก็รู้สึกฮึกเหิมหลายส่วน พากันดีใจไปด้วย
ราชสำนักหลังจากดีใจกันแล้วก็คิดโยงไปถึงการประชุมครั้งก่อนที่หวังทงกล่าวนำไว้ ที่หวังทงว่ามาทุกเรื่องเป็นที่ประจักษ์ชัดแล้ว ในราชสำนักการจะเรืองอำนาจนับเป็นความสามารถของแต่ละคน แต่หลังได้อำนาจมาก ยังสามารถกล่าวว่าเป็นเรื่องที่ทำถูกต้อง พูดถูกหลักการได้นั้น นับว่าเป็นเรื่องน่านับถือ
มีคนแอบทอดถอนใจ หากแต่ละเรื่องเป็นเช่นนี้ เกรงว่าจากนี้ไปพวกเราก็คงต้องฟังหวังทงสั่งการในราชสำนักแล้ว
**************
โหวเจินยังส่งเอกสารมา แต่ไม่ได้มีค่าควรสนใจอันใด เรื่องสาวใช้มีอะไรกับคนงานในจวน เรื่องพวกนี้พูดขึ้นแล้วไม่น่าฟัง แต่หากจะใช้เป็นหลักฐานทางการเมืองโจมตีกันแล้ว ก็เรียกได้ว่าไม่เพียงไร้ประโยชน์ แต่ดีไม่ดีอาจทำให้ตนเองตกเป็นที่หัวเราะเยาะไปด้วย เอกสารถูกหวังทงตีกลับ ให้โหวเจินไปหาต่อ