องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 922 บัณฑิตจวี่เหรินจากเทียนจิน
หวังทงกำลังอธิบายข้อดีข้อเสีย หยางซือเฉินเขียนบันทึกอย่างรวดเร็ว พอเขียนจบ ก็ยกขึ้นกวาดตามองรอบหนึ่งก่อนจะเป่าให้แห้ง แล้วส่งให้หวังทง
หยางซือเฉินวันๆ มีเอกสารผ่านมือจำนวนมาก หวังทงกล่าวได้ธรรมดา แต่เขากลับเขียนเป็นบทความสวยหรู ขณะหวังทงอ่านอยู่ หยางซือเฉินคิดแล้วก็กล่าวว่า
“ท่านโหว เรื่องชายแดน ท่านต้องเริ่มจัดการจากเมืองเหลียวโจวหรือ?”
หวังทงเมื่อครู่กล่าวไปมาก หยางซือเฉินกลับเอาแต่คิดโยงไปถึงเรื่องที่หวังทงเอ่ยไว้ในที่ประชุมขุนนางครั้งก่อน ตอนนี้ชายแดนใช้รูปแบบการป้องกันเป็นหลัก ไม่ค่อยเหมาะสม ชายแดนเริ่มแรกมาถึงตอนนี้ก็สองร้อยกว่าปีแล้ว สายสัมพันธ์ชายแดนกับราชสำนักก็ไม่เลว ไม่รู้มีคนเท่าไรที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ คิดจะลงมือก็ย่อมไม่ง่าย
เมืองเหลียวโจวมอบหนีคานไว่หลันให้นู่เอ่อร์ฮาชื่อเรื่องนี้ ในสายตาหยางซือเฉิน ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด หวังทงกลับตั้งใจจัดการ เห็นได้ชัดว่าเตรียมการทำให้เป็นเรื่องใหญ่
นู่เอ่อร์ฮาชื่อตอนนี้ ก็แค่ตัวละครไร้ราคาชายแดน หัวหน้าเผ่าที่มีความสำเร็จเล็กๆ ก็เท่านั้น ไม่ว่าคนมีสติปัญญามองการณ์ไกลเพียงใดก็คงไม่รู้สึกสนใจให้ความสำคัญกับคนเช่นนี้ ไม่มีผู้ใดคิดว่าวันหน้าจะเป็นเช่นใด
หวังทงเข้าใจการวิเคราะห์หยางซือเฉิน เขาได้แต่ยิ้มเฝื่อนกล่าวว่า
“จากจุดน้อยลงลึก จากง่ายไปยาก เมืองเหลียวโจวนั้นอย่างไรก็เป็นกองกำลังอันดับหนึ่งนอกจากกองกำลังหู่เวย หากเผ่าเคอเอ่อชิ่นยังอยู่ พวกเขาก็ยังเป็นสิ่งจำเป็น ตอนนี้ข้าเริ่มอ่อนไหวกับเรื่องนี้ หากลงมือกับเมืองเหลียวโจวก่อน เกรงว่าแม้แต่ฝ่าบาทก็คงไม่อนุญาต”
หยางซือเฉินยิ้มแห้งๆ หวังทงวางเอกสารลงบนโต๊ะ เคาะโต๊ะสองสามที เงียบไปก่อนจะกล่าวว่า
“พวกเขาต้องการจัดการซุนโส่วเหลียน ข้าต้องการปกป้อง อาศัยโอกาสนี้กำราบตระกูลหลี่ ตอกตะปูใส่สักตัว เมืองเหลียวโจวของหลี่เฉิงเหลียงราวแผ่นเหล็กแน่นหนา ไม่เป็นมิตรกับเรา อย่างไรก็ต้องป้องกันไว้ก่อน”
“ท่านโหวมองการณ์ไกล!”
หยางซือเฉินรับคำ หวังทงส่ายหน้า ตอนนี้ที่ทำได้ก็มีเพียงเท่านี้
************
ภรรยาหวังทง ก็คือหานเสีย พอพบว่าตั้งครรภ์ ก็ถูกยกไว้ราวกับเทพเซียน เดิมภรรยาหลวงดูแลงานในจวน เรื่องใหญ่น้อยในบ้านก็ต้องให้นางจัดการ แต่ตอนนี้ทุกอย่างถูกจางหงอิงกับข่งรั่วเหมยแบ่งเบาไปหมด
ซ่งฉานฉานทำงานหลวงมาก นางเป็นภรรยาที่มาสามารถที่สุดในบรรดาภรรยาหวังทง เป็นคนที่คุ้นเคยกับเรื่องพวกนี้ที่สุด แต่งานสายลับที่นางรับผิดชอบนั้นหนักหนาพอแล้ว ไม่อาจปล่อยปละได้
จางหงอิงเมื่อก่อนติดตามนางหม่าดูแลงานในจวน ก็คุ้นเคยกับเรื่องพวกนี้มาก ดูท่าแล้วนางหม่าตอนนั้นสอนจางหงอิงมาก็เพื่อวันนี้ ข่งรั่วเหมยเป็นเด็กจากครอบครัวลำบาก ยอมเรียนรู้และยอมลำบาก ส่วนไจ๋ซิ่วเอ๋อร์ แม้ว่ามีชีวิตที่สุขสบาย เป็นคุณหนูที่ได้รับการปรนนิบัติมา งานดูแลจวนพวกนี้ทำไม่ได้จริงๆ ทว่าไจ๋ซิ่วเอ๋อร์เองก็รู้ว่าแม้หวังทงอายุยังน้อย แต่ไม่หลงใหลนารี คิดจะอยู่ในจวนให้มั่นคง อาศัยแค่หน้าตานั้นไม่ได้ อย่างไรก็ต้องมีความสามารถ
จะว่าไป ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์เป็นคนคบหาคนมาก พบปะกับพวกชั้นสูงที่มีอำนาจวาสนามาไม่น้อย จึงมีความสามารถในการวิเคราะห์ ดังนั้นจึงขยันช่วยงานซ่งฉานฉาน
ผู้หญิงพอรู้ว่าตนท้อง ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะคิดมาก จิตใจไม่สงบ หานเสียอายุมากกว่าข่งรั่วเหมย แต่จิตใจนั้นเด็กกว่าข่งรั่วเหมยอยู่สักหน่อย เห็นพี่น้องนางทำงานกัน ตนเองกลับว่าง ก็รู้สึกตัวเองทำประโยชน์ใดไม่ได้
หวังทงทุกวันจะมาอยู่เป็นเพื่อนนางครู่หนึ่ง ปรากฏว่าตอนมาอยู่เป็นเพื่อน นางเอาแต่ร้องไห้และบ่นไม่หยุด เรื่องบ่นไม่หยุดนี้ หวังทงไม่รู้จะกล่าวอันใดดี ได้แต่ยิ้มเฝื่อนๆ ปลอบใจไป ดีที่ไม่นานก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
**************
วันที่ 20 เดือนสิบสอง คนที่มีสถานะพอก็มาคารวะถึงจวน ก่อนปีใหม่ส่งมอบของขวัญกันนั้นได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการแล้ว หวังทงวันนี้กลับได้ต้อนรับแขกพิเศษผู้หนึ่ง
บัณฑิต ชาวนา พ่อค้า ระบบชั้นปกครองแผ่นดินหมิงก็คือบัณฑิต ก็คือผู้เรียนหนังสือ ทว่าผู้เรียนหนังสือสอบตำแหน่งไม่ผ่านก็ไร้ค่า สอบได้ตำแหน่งบัณฑิตซิ่วไฉก็ยังไม่เท่าไร คหบดีใหญ่ในพื้นที่ย่อมไม่สนใจแลมอง แต่ซิ่วไฉนี้หากก้าวไปอีกขั้น สอบได้ตำแหน่งบัณฑิตจวี่เหรินล่ะก็ ก็ย่อมไม่เหมือนกัน
หากไร้สายสัมพันธ์หนุนหลัง บัณฑิตจวี่เหรินยากที่จะได้เป็นขุนนางระดับเจ็ดขึ้นไป เรื่องที่จะได้เข้าสู่ราชสำนักส่วนกลางอย่าได้คิด มีแบบไห่รุ่ยมือสะอาดไม่มาก หลี่ว์วั่นไฉและสวีกว่างกั๋วเพราะสายสัมพันธ์หวังทงจึงได้ผงาดขึ้นมาได้ แต่เส้นทางขุนนางก็ไม่ได้มีอนาคตอันใด ทว่าขุนนางท้องที่กลับแตกต่างกัน ทางการต้องให้เกียรติ การค้าที่บ้านไม่ต้องจ่ายภาษี แม้เป็นราษฎร แต่หากสอบได้ตำแหน่งจวี่เหริน ก็จะได้กลายเป็นคนดังในพื้นที่
จะว่าไป พื้นที่อุดมแดนใต้ เด็กจากชาวนาระดับกลางถึงระดับร่ำรวยก็สามารถเรียนหนังสือได้ พื้นที่ที่เหลือส่วนใหญ่ พวกที่สามารถเรียนจนสอบตำแหน่งจวี่เหรินได้นั้นต้องเป็นตระกูลใหญ่ในพื้นที่ ในตระกูลหากมีลูกหลานสอบตำแหน่งจวี่เหรินได้ ก็ย่อมทำให้อำนาจอิทธิพลขยายตัว จากนั้นก็จะเล่นเส้นเล่นสายทำให้สอบได้ตำแหน่งอีกหลายคน…
ดังนั้นจึงกล่าวว่า บัณฑิตจวี่เหรินก็เหมือนเป็นตัวแทนของตระกูลใหญ่ในพื้นที่ เป็นระดับชนชั้นแนวหน้าในพื้นที่
วันนี้พวกที่มาเยี่ยมคารวะก็เป็นพวกบัณฑิตจวี่เหรินจากเทียนจิน บัณฑิตจวี่เหรินหกคน นอกจากคนหนึ่งเป็นคนในพื้นที่แล้ว ที่เหลืออีกห้าคนล้วนเป็นพ่อค้าที่ย้ายมาอยู่เทียนจิน
ทุกคนทนลำบากหาเลี้ยงชีพ ลูกหลานต้องเป็นแรงงาน การที่จะสามารถให้พวกเขาได้เรียนหนังสือได้อย่างน้อยที่สุดก็ต้อง ‘พอมี’ คำนี้ บัณฑิตจวี่เหรินหกคนที่มาเยี่ยมคารวะหวังทง ครอบครัวเรียกได้ว่าใช้คำว่าร่ำรวยมาบรรยายได้
เทียนจินไม่ขาดคหบดีร่ำรวย หลังเทียนจินเปิดท่า มีคนร่ำรวยใหญ่ขึ้นมามาก แต่ลูกหลานจะยอมทนลำบากตั้งใจเรียนจนสอบตำแหน่งจวี่เหรินได้นั้นค่อนข้างน้อย
เทียนจินหลายปีมานี้ เทียนจินเริ่มมีบัณฑิตจวี่เหรินตั้งแต่สมัยหงจื้อ ก็ไม่ได้น้อย แต่หกคนนี้เติบโตมาในช่วงที่หวังทงดูแลเทียนจิน สอบได้บัณฑิตจวี่เหริน น่าจะสอบเมื่อปีก่อน แม้ตอนนั้นหวังทงจากเทียนจินแล้ว แต่ใต้หล้ายังคงเห็นเทียนจินเป็นพื้นที่หวังทง
จะว่าไป หวังทงในรัชสมัยว่านลี่ที่ 6 มา ก็เริ่มบริหารจัดการเทียนจิน ตั้งแต่นั้นมาถึงตอนนี้ก็ 7 ปีแล้ว สอบสามครั้งในเทียนจิน มีเพียงการสอบปีก่อนที่ทำให้ได้บัณฑิตจวี่เหรินมา
หลายปีก่อน เทียนจินยังมืดมน ชาวประชายังไม่ได้ร่ำรวย ผู้ใดจะมีใจคิดร่ำเรียนหนังสือ แต่ต่อมาเพื่อเริ่มมีเงินทอง ราวกับภูเขาทอง ทุกคนก็เริ่มครุ่นคิดถึงร่ำรวยและผลกำไร ไม่มีใจคิดร่ำเรียนหนังสือ มาหลายปีนี้ จิตใจคนกลุ่มหนึ่งเริ่มสงบนิ่ง จึงได้มีคนสอบได้ตำแหน่งจวี่เหริน
หลังสอบได้แล้ว มีหลายเรื่องต้องกระทำ พวกที่สอบได้ด้วยกัน เรียกว่า ร่วมรุ่น ย่อมต้องติดต่อสานสัมพันธ์กัน วันหน้าไม่ว่าอยู่ในพื้นที่เดิมหรือไปเป็นขุนนาง ก็จะได้ช่วยเหลือกันได้ ขุนนางที่สอบพวกเขาเรียกว่า อาจารย์ อย่างไรก็ต้องไปคารวะ เพื่อเชื่อมสัมพันธ์ ทุกคนจะได้ดูแลกันและกัน
มีอีกเรื่อง ก็คือต้องไปคารวะขุนนางท้องที่ที่มีชื่อเสียง บัณฑิตสอบตำแหน่งจวี่เหรินได้ ก็เท่ากับก้าวเท้าเข้าสู่วงการขุนนางก้าวหนึ่งแล้ว นับเป็นคนมีหน้ามีตาในพื้นที่ การไปเยี่ยมคารวะสานสัมพันธ์ ก็นับว่าเป็นการเข้าสู่วังวนแห่งอำนาจวาสนา
แน่นอนว่า หากอยู่เมืองหลวง หนานจิงหรือแดนใต้ที่ร่ำรวย ก็ไม่มีอันใดน่าคารวะ ที่ใดก็ล้วนเป็นขุนนางทั้งนั้น ที่อื่นก็จะไปคารวะขุนนางใหญ่ในศาลท้องที่ แต่ที่เทียนจินกลับไม่เหมือนกับที่อื่น
ขุนนางเทียนจินตามหลักแล้วก็ควรเป็นผู้ว่ากาวแห่งศาลชิงจวิน แต่ที่เทียนจิน ผู้ใดจะสนใจว่าผู้ว่ากาวคือใคร บัณฑิตจวี่เหรินใหม่ไปคารวะ ผู้ว่ากาวก็ได้แต่เกรงใจยิ้มกล่าวว่า
“คารวะข้าเป็นมารยาท แต่ไปคารวะหวังทงจึงเป็นเรื่องหลัก!”
นอกจากผู้ว่ากาวแล้ว กองตรวจการก็ไม่มีอันใดให้ต้องสนใจ ขุนนางบู๊ที่เหลือก็เป็นฝ่ายใน ย่อมไม่ต้องไปคารวะ หวังทงเป็นขุนนางบู๊ฝ่ายใน แต่ยังมีสถานะชนชั้นสูง แต่สายสัมพันธ์กับขุนนางบุ๋นแย่มาก หากมีใครพูดไป เกรงว่าคนยุ่งยาก
ทว่าหลังจากคิดเช่นนี้แล้วไปหารือกัน คหบดีร่ำรวยหลายตระกูลล้วนกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า มีโอกาสสานสัมพันธ์กับใต้เท้าหวังไม่ไปได้อย่างไร ยังกังวลชื่อเสียงใดอีก หรือว่าสมองพังไปหมดแล้วกัน
เจ้าเป็นแค่บัณฑิตจวี่เหริน วันหน้าจะได้เป็นขุนนางหรือไม่ยังไม่แน่ แต่วันเวลาแสนสบายของพวกเจ้า ครอบครัวได้มีอำนาจวาสนามานี้พึ่งพาผู้ใด หากมิใช่ใต้เท้าหวัง ได้สานสายสัมพันธ์กับใต้เท้าหวัง แม้ไม่ได้ดูแล แต่ให้เจ้าได้ทำการค้าเทียนจินราบรื่น ก็นับว่าเป็นผลประโยชน์เทียมฟ้าแล้ว แม้เป็นขุนนาง ทุ่มเทกำลังไปหาเงิน หรือว่าจะหาได้เท่านี้หรือ สามารถสานสายสัมพันธ์กับใต้เท้าหวัง เรียกได้ว่าเป็นอำนาจวาสนาเทียมฟ้า
คิดอย่างละเอียดแล้ว ก็เห็นว่ามีเหตุผล หากใต้เท้าหวังดูแลจนบัณฑิตจวี่เหรินสามารถเป็นรองเจ้ากรมศาลซุ่นเทียน หากบัณฑิตจวี่เหรินสอบจิ้นซื่อได้ ก็เรียกว่าน้อยยิ่งกว่าน้อย ราวกับม้าหมื่นตัววิ่งข้ามสะพานไม้เดี่ยว ผู้ใดจะรู้ว่าโชคชะตาจะเป็นเช่นไร แม้ไม่ได้เป็นขุนนาง ชื่อเสียงไม่ดีแล้ว แต่ครอบครัวยังมีเงินทองอำนาจวาสนา ก็ย่อมดียิ่งกว่าใดๆ ทั้งสิ้น
คิดกระจ่างแล้ว พวกบัณฑิตจวี่เหรินก็กระตือรือร้นมาคารวะ รีบมาคารวะหวังทงตอนใกล้ปีใหม่ อาศัยโอกาสนี้แสดงความใกล้ชิด
หวังทงไม่รู้สึกอันใดในเรื่องนี้ เป็นแค่คนบ้านเดียวกันมาคารวะเท่านั้น แต่หยางซือเฉินกลับให้ความสำคัญมาก ตามที่เขาบอกมานั้น บัณฑิตจวี่เหรินพวกนี้มาคารวะ ก็เพื่อให้ใต้เท้าหวังเปิดเส้นทางขุนนางให้ เรื่องนี้เป็นผลดีต่อหวังทงในวงราชสำนัก
หวังทงแต่ไรไม่ถูกกับขุนนางบุ๋น การพบกันครั้งนี้เป็นการให้ความสำคัญกับบุคคลผู้มีความสามารถ นับว่าเป็นผลดีมากมาย
หวังทงพบบัณฑิต ที่จริงแล้วอายุบัณฑิตจวี่เหรินพวกนี้มากกว่าหวังทง แต่ทว่าบรรยากาศดีมาก ทุกคนยิ้มแย้มสนทนา
ขณะที่พูดอยู่นั้นหวังทงก็พบเรื่องหนึ่ง บัณฑิตจวี่เหรินไม่ได้รู้สึกดีกับพวกขุนนางในท้องที่ รู้สึกว่าสมองไม่ทำงาน เอาแต่ใช้แรงงานผู้อื่น แต่สถานะกลับสูงกว่าพ่อค้า เรื่องนี้ทำให้หวังทงรู้สึกน่าสนใจ
หากกล่าวว่าให้ความสำคัญกับบุคคลผู้มีความสามารถ ก็เรียกได้ว่าเล็งเห็นผลแต่ต้นแล้ว วันที่ 22 เดือนสิบสองมีนายกองจากสำนักตรวจสอบมาขอพบ เป็นขุนนางพื้นเพจากเทียนจิน ระดับจิ้นซื่อ