องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 923 พบขุนนางบัณฑิตชิงหลิว
นายกองสำนักตรวจสอบเป็นขุนนางบัณฑิตชิงหลิวของจริง เป็นพวกมีเกียรติใต้หล้า สอบตำแหน่งจวี่เหรินได้มา เป็นจิ้นซื่อที่ราวกับปลาโดดข้ามประตูมังกรที่ท่ามกลางปลานับฝูง ต้องได้เป็นขุนนางบัณฑิตชิงหลิวอยู่เมืองหลวง
หากได้เข้าสู่สำนักปราชญ์ฮั่นหลินย่วนย่อมดีที่สุด แต่น้อยคนนักจะมีวาสนานี้ คนอื่นๆ ล้วนไปตามเส้นทางหกกรมกองกับสำนักตรวจสอบ พอเข้าไปแล้วก็ทำงานเป็นนายกองตำแหน่งต่างๆ ระดับรองลงไปอีกขั้นก็ไปทำงานตำแหน่งต่างๆ ในหกกรม
ตามความคิดราษฎร ดิ้นรนสอบเป็นขุนนางก็เพื่อเงินทอง กว่าจะมีโอกาสได้เป็นขุนนาง และไม่ต้องออกไปเป็นผู้ว่าตามเมืองต่างๆ อย่างไรก็ต้องร่ำรวยสักหน่อย
สิ่งที่ราษฎรเดากันนั้นไม่ผิด แต่ตำแหน่งขุนนางเช่นนายกอง เจ้ากรมประจำกรมต่างๆ พวกนี้ก็แค่ขุนนางมือสะอาด หากกล่าวถึงผลประโยชน์ กล่าวได้ว่าในหกกรมมีตำแหน่งทำเงินไม่กี่ตำแหน่งเท่านั้น ที่เหลือเรียกได้ว่ายากลำบาก ไม่มีผลประโยชน์ใด ทางเมืองหลวงมีคนปล่อยกู้ขุนนางเมืองหลวงมากมาย ไม่ใช่เพราะเหตุนี้หรือ
ลำบากส่วนลำบาก หากทุกคนไม่ได้โง่ เหตุใดการได้อยู่เมืองหลวงของขุนนางบัณฑิตชิงหลิวเป็นตัวเลือกแรก ก็เพราะได้เลื่อนตำแหน่งไว มีโอกาสบินไกลมากกว่า ใช้โอกาสในการกล่าววาจาเหลวไหลสร้างชื่อให้ตนเอง จากนั้นก็ได้ผลประโยชน์มากมาย
อำมาตย์ราชวงศ์ซ่งเน้นเรื่องการไปเป็นผู้ว่าตามเมืองมณฑลต่างๆ ให้มีประสบการณ์มาก่อนเข้าสู่ขุนนางส่วนกลาง แต่แผ่นดินหมิงเน้นเรื่องการไม่ออกจากเมืองหลวง จิ้นซื่อคนหนึ่งดวงดี 25 ปีก็จะก้าวไปสู่ตำแหน่งมหาอำมาตย์ได้ นั่นเป็นระดับหนึ่ง 20 กว่าปีผ่านไปก็ได้เป็นเจ้ากรมใหญ่ ระดับรองลงมาก็ราวสิบได้รับหน้าที่ผู้ว่าการมณฑล ผู้ตรวจการเขต นายกองตรวจการมณฑลทหารออกนอกเมืองหลวงไปปฏิบัติหน้าที่บ้าง
นี่เป็นเส้นทางมาตรฐาน หากไปประจำการที่หนึ่ง ขุนนางระดับเจ็ดต้องทนลำบาก 20 ปี หากได้เป็นผู้ว่าการมณฑล ก็เรียกได้ว่าไหว้พระมาดีมากแล้ว ไม่ต้องคิดถึงเข้าสู่ศูนย์กลางการปกครอง ถานกวนเป็นเสนาบดีกรมทหารได้ก็เพราะขับไล่ภัยโจรสลัด ขุนนางท้องถิ่นเช่นเขาจึงได้สร้างความชอบยิ่งใหญ่จากการออกรบ จึงได้ก้าวขึ้นมาผงาดได้
ตอนนี้ใต้หล้าสงบสุขย่อมไม่อาจมีเรื่องผิดระเบียบกฎเกณฑ์พวกนี้ ทุกคนได้แต่เป็นขุนนางบัณฑิตชิงหลิวในเมืองหลวงอดทนสะสมประสบการณ์ค่อยๆ ก้าวขึ้นไป คิดจะสร้างผลงานก้าวขึ้นไปตำแหน่งสูง ฝันไปเถอะ!
แต่หากได้เข้าสู่คณะเสนาบดี เป็นเสนาบดีหรือเจ้ากรม ได้ออกไปเป็นผู้ว่าการมณฑล ผู้ตรวจการเขต นายกองตรวจการมณฑลทหาร และตำแหน่งอื่นๆ ก็เรียกได้ว่าโชคดี ทีเหลืออยู่เมืองหลวงทำงานเรียกได้ว่ายากลำบาก สุดท้ายคงได้แต่ไปเป็นขุนนางท้องถิ่นที่ใดที่หนึ่งอยู่เช่นนั้นไปทั้งชีวิต
ผู้ใดก็คิดอยากก้าวหน้า ขุนนางเมืองหลวงก้าวหน้าได้นั้นอาศัยสิ่งใด ยื่นฎีกาน่าตกใจเป็นทางหนึ่ง หากทำให้โอรสสวรรค์กริ้วหนักถูกลงโทษมา ก็ย่อมมีชื่อเสียงใหญ่ วันหน้ามีกินมีใช้ไม่หมด แต่วิธีนี้ไม่ค่อยได้ผล เพราะหวังทงอยู่เมืองหลวง มีเทพแห่งภัยพิบัติอยู่ ถึงตอนนั้นใช่ว่าแค่โดนโบย ไม่แน่ก็อาจถูกตัดหัวทิ้ง เสียชีวิตไปก็ไม่คุ้มค่าแล้ว
พวกมีคนหนุนหลังย่อมไม่จำเป็นต้องกังวล แต่ใช่ว่าทุกคนจะมีคนหนุนหลัง จะว่าไป ขุนนางเมืองหลวงไม่มีค่าอันใด หากคนหนุนหลังไม่ใหญ่พอ ก็ไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย วิธีที่สามก็คือหาที่พึ่ง เมืองหลวงมีผู้ยิ่งใหญ่ดังภูผาหลายคน ลูกศิษย์ของพวกเขายังดูแลไม่ทั่วถึง เจ้าคิดไปสวามิภักดิ์ ปัญหาก็คืออีกฝ่ายใช่ว่าจะสนใจเจ้า
ดังนั้นขุนนางบัณฑิตชิงหลิวส่วนใหญ่จึงอดทนรอคอยโอกาส แต่ใช่ว่าโอกาสจะมาถึงง่ายๆ หากขุนนางบัณฑิตชิงหลิวเมืองหลวงขอเพียงสมองไม่ได้อ่านตำราจนพังไป ทุกคนล้วนสอดส่องสายตาเป็นประกายหูตั้งรอโอกาสปรากฏ
ติ้งเป่ยโหว ผู้บัญชากรองครักษ์เสื้อแพร สองตำแหน่งมารวมกัน ย่อมเป็นภูผาในเมืองหลวง หวังทงมีความดีความชอบใหญ่ ฮ่องเต้ว่านลี่ไว้วางพระทัยมากเช่นนี้ ตอนนี้สถานะในเมืองหลวงก็มั่นคง ไม่ใช่เป็นแค่ภูผาธรรมดา หากเรียกได้ว่าภูผาใหญ่มั่นคง
เขาย่อมมีคนคิดสวามิภักดิ์มาก แต่หวังทงกับบรรดาขุนนางบุ๋นมีสายสัมพันธ์ไม่ดี ใครๆ ก็รู้ บุ๋นบู๊เดิมก็เป็นสองกลุ่มที่เป็นปรปักษ์กันอยู่แล้ว หวังทงกับขุนนางบัณฑิตเป็นสองฝ่ายที่ไม่อาจเข้ากันได้ ผู้ใดยังกล้าไปคารวะทำร้ายตนเองกัน
หากว่าเกิดมาคารวะแล้วหวังทงไม่ให้พบ สวามิภักดิ์ไม่ได้ยังไม่เท่าไร ทว่าสวามิภักดิ์หวังทงไม่ได้หันหลังกลับไปก็ไร้หนทางเดินต่อ ก็ย่อมยุ่งยากใหญ่ กลายเป็นเป้าโจมตีในเมืองหลวงของบรรดาบัณฑิต แม้แต่ทางถอยก็ไม่มี
ทว่าบัณฑิตจวี่เหรินที่มาเยี่ยมคารวะถึงจวนพวกนี้กลับทำให้หลายคนเห็นโอกาส ใต้เท้าหวังก็ให้เข้าพบ มีคนคิดไปถึงว่า ข้างกายใต้เท้าหวังมีแต่ขุนนางบู๊กับคนทำการค้ามาก บัณฑิตกลับไม่มากนัก และล้วนเป็นบัณฑิตจวี่เหริน
บัณฑิตจวี่เหรินพวกนี้กลับไปๆ มาๆ ได้รวยใหญ่ มีบางคนได้เป็นประจำตำแหน่งใหญ่ที่เหอหนาน มีบางคนได้เป็นรองเจ้ากรมศาลซุ่นเทียน หยางซือเฉินไม่ได้มีตำแหน่ง แต่บัณฑิตจวี่เหรินไร้สถานะในเมืองหลวงผู้นี้กลับมีอำนาจไม่ด้อยไปกว่าเจ้ากรมใหญ่ หากหาโอกาสไปหาที่พึ่งได้ ไม่แน่ก็อาจได้ผลประโยชน์ยิ่งใหญ่ขึ้น!
แม้คิดเช่นนี้ แต่ทุกคนก็ไม่กล้าลงมือ ยังคงวาจาเดิมที่ว่า เกิดหวังทงไม่ให้พบ ก็ไม่มีทางให้หันหลังกลับอีกแล้ว
บนโลกนี้คนฉลาดมาก มีคนสังเกตว่าคนที่มาเยือนเป็นบัณฑิตจวี่เหรินหกคนจากเทียนจินเป็นคนบ้านเดียวกัน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็อาศัยข้ออ้างนี้
นายกองสำนักตรวจสอบที่มาคารวะถึงจวนผู้นี้ปีนี้อายุ 31 ชื่อว่าอวี๋เจียนหรู่ เป็นคนเทียนจิน สี่ปีก่อนสอบตำแหน่งจิ้นซื่อได้ เขามาด้วยอาศัยอ้างเหตุว่าเป็นคนบ้านเดียวกันมาคารวะ ในเมืองหลวงมีขุนนางมากมายคิดมาคารวะถึงจวนก็ไม่ได้ คนผู้นี้อาศัยเหตุผลนี้ก็เพราะไม่มีทางเลือกอื่น เทียนจินเดิมก็ไม่ได้กว้างใหญ่ บัณฑิตจวี่เหรินมีกันไม่กี่คน พริบตามีถึงหกคน ร้านค้าร่วมกันออกเงินสร้างศาลเจ้า บอกว่าเป็นหน้าเป็นตาเทียนจิน ต้องเป็นเพราะเทพยาดาคุ้มครอง
บัณฑิตจวี่เหรินน้อย จิ้นซื่อยิ่งน้อย คนเทียนจินจึงเป็นขุนนางน้อยมาก แม้ว่าสอบตำแหน่งจิ้นซื่อได้แต่ก็ใช่ว่าจะได้อยู่เมืองหลวงต่อ ปรากฏว่าอวี๋เจียนหรู่กลับเป็นต้นอ่อนที่แหวกกอ
ปกติต้นอ่อนที่แหวกกอนั้นไร้คนดูแล จึงได้แต่ทนอยู่เมืองหลวงมา ชีวิตนี้อาจจะอยู่ในตำแหน่งนี้ไปจนตาย ตอนนี้เรื่องที่ว่าเป็นคนเทียนจินนั้นกลับเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง
อวี๋เจียนหรู่แม้ว่าหาเหตุผลเข้าหาได้ไม่เลว แต่ตอนมาถึงจวนจิตใจกลับเต้นโครมคราม เพื่อการนี้ เขาได้เตรียมเงินมาสิบตำลึงเงินมอบให้คนเฝ้าประตู ผู้ใดจะรู้ว่าคนเฝ้าประตูจะขับไล่หรือไม่?
ทว่าคนเฝ้าประตูจวนหวังทงกลับไม่เหมือนที่อื่น เหมือนว่าเป็นทหารอารักขา ได้ยินอวี๋เจียนหรู่ ก็ไม่ได้วางท่าใส่ และไม่ได้ต้องการค่าผ่านประตู หากวิ่งเข้าไปรายงานทันที เวลาไม่นาน ก็ออกมากล่าวว่า
“นายท่านเชิญใต้เท้าอวี๋เข้าไปด้านใน!”
ยามนี้จึงได้โล่งใจ เดินเข้าไปได้ ทุกเรื่องก็คุยกันได้
อย่าเห็นว่าอวี๋เจียนหรู่ปีนี้ 31 หน้าตาแก่กว่าหวังทงมาก แต่พอพบหน้าก็รับคุกเข่าลงโขกศีรษะสามที
“นายกองอวี๋อยู่เมืองหลวงได้กี่ปีแล้ว?”
พอลุกขึ้นมานั่ง หวังทงกับสีหน้ายิ้มแย้มถามขึ้น หวังทงท่าทีเช่นนี้ อวี๋เจียนหรู่รู้สึกวางใจ รีบก้มกายลงกล่าวว่า
“ข้าน้อยหลังได้ตำแหน่งจวี่เหรินในเมืองหลวง ก็อยู่เมืองหลวงมาตลอด นับได้ก็ราว 11 ปีแล้ว…..”
กล่าวจบก็รีบเสริมความต่อว่า
“ข้าน้อยอยู่เมืองหลวงมานาน กลับเพิ่งรู้ครั้งแรกว่าท่านโหวเห็นเทียนจินราวบ้านเกิด จึงได้บังอาจมาขอพบ ขอท่านโหวอย่าได้ตำหนิ!”
หากตอนเข้ามา หวังทงแสดงสีหน้าไม่ดี อวี๋เจียนหรู่ก็ย่อมหมดวาจาจะเอ่ย แต่สีหน้าหวังทงกลับมีแต่รอยยิ้ม อวี๋เจียนหรู่ก็ต้องทำให้ดีที่สุด ในเมื่อมาในฐานะคนบ้านเดียวกัน เมื่อไม่เคยไปมาหาสู่ก็ไม่ว่า หวังทงไม่สนใจ ยิ้มกล่าวว่า
“ข้าอยู่เมืองหลวงมาระยะหนึ่ง มีคนบ้านเดียวกันมาเยี่ยมเยือน ก็ดีใจ ได้ยินสำเนียงพูดนายกองอวี๋ ก็เหมือนไม่ติดสำเนียงเดิมแล้ว หากนายกองอวี๋ไม่บอกว่าเป็นคนเทียนจิน เช่นนั้นข้าก็ย่อมฟังไม่ออกจริงๆ ”
นี่คือการเปลี่ยนประเด็นสนทนา ทุกคนหัวเราะ กล่าวกันสองสามวาจา อวี๋เจียนหรู่ก็ลุกขึ้นลงโขกศีรษะกล่าวว่า
“มีเรื่องหนึ่งข้าน้อยเดิมไม่ควรกล่าว แต่ก็เหมือนติดอยู่ที่ลำคอ ยากทนรับไหว ในราชสำนักเป็นปรปักษ์กับท่านโหวข้าน้อยเองก็ยื่นฎีกาตามไปด้วย แต่พวกนั้นล้วนไม่ใช่เจตนาเดิมของข้าน้อย ช่างเป็นเรื่องที่ไม่อาจไม่ทำ ไม่เช่นนั้นก็ไม่อาจมีเพื่อนร่วมวงการขุนนาง แต่พอยื่นฎีกาไป ข้าน้อยรู้สึกละอายใจมาก ตกกลางคืนก็นอนไม่หลับ ดีที่ฝ่าบาทคืนความยุติธรรมให้ท่านโหว ข้าน้อยมีความผิด……”
กล่าวจบ ถึงกับพูดไม่ออก ได้แต่น้ำตาไหล ละครเล่นได้เต็มที่ หวังทงยิ้มยกมือขึ้นโบกกล่าวว่า
“นายกองอวี๋ลุกขึ้นก่อน เรื่องก็ผ่านไปแล้ว ยังจะเอ่ยถึงทำไมกัน ข้ากับเทียนจินมีวาสนา กับนายกองอวี๋ก็นับว่ามีวาสนาเช่นกัน วันหน้ายังต้องดูแลกันและกันถึงจะถูกต้อง!”
ได้ยินเช่นนี้ อวี๋เจียนหรู่ก็แกล้งทำเป็นละอายใจเกือบจะทนไม่ไหว ก่อนจะยิ้มออกมา วันนี้คิดมาสานสายสัมพันธ์ คิดไม่ถึงว่าหวังทงถึงกับต้อนรับอบอุ่นเช่นนี้ คิดถูกแล้วที่มาสวามิภักดิ์เร็ว นำของขวัญมาไม่กี่อย่าง ก็แค่แสดงน้ำใจเท่านั้น หวังทงถึงกับต้อนรับใจกว้างเช่นนี้
เขาลุกขึ้นนั่งลง ก็เห็นหวังทงโบกมือไปด้านนอก พ่อบ้านรีบวิ่งเข้ามา หวังทงสั่งการพ่อบ้านไปสองสามคำ พ่อบ้านรีบก้าวออกไป
“นายกองอวี๋มาได้จังหวะพอดี ข้ากำลังมีวาจาต้องการไหว้วานคนไปยื่นฎีกา ขอนายกองอวี๋ช่วยหน่อย!”
อวี๋เจียนหรู่อึ้งไป สองฝ่ายพบหน้ากันครั้งแรก ก่อนหน้าไม่เคยไปมาหาสู่กัน ติ้งเป่ยโหวต้องการยื่นฎีกา คิดแล้วน่าเป็นเรื่องใหญ่ แต่จะมาฝากฝังคนที่เพิ่งพบกันครั้งแรกง่ายๆ เช่นนี้หรือ?
กำลังลังเลก็เห็นพ่อบ้านหยิบเอกสารเข้ามา หวังทงยิ้มส่งให้อวี๋เจียนหรู่
อ่านไปไม่นาน อวี๋เจียนหรู่มือสั่น เอกสารเกือบร่วง ผุดลุกจากเก้าอี้ เสียงสั่นกล่าวว่า
“เรื่องนี้ทำได้อย่างไร?”
“นายกองอวี๋ไม่อยากคว้าโอกาสนี้ไว้หรือ?”
หวังทงถามขึ้นท่าทางสบายๆ อวี๋เจียนหรู่อึ้งไปครู่หนึ่ง ก็ลังเลกล่าวว่า
“ท่านโหว ข้าน้อยมาวันนี้มีคนเห็นมากมาย หากยังยื่นฎีกานี้ เกรงว่าเมืองหลวงทุกแห่ง ยังมีนอกด่าน ล้วนรู้ว่าเป็นความตั้งใจของท่านโหว เกรงว่าจะทำให้ท่านโหว……”
ขุนนางยื่นฎีกากล่าวหาขุนนางย่อมไม่เปิดเผยตัว แต่หากทำตามหวังทงว่ามา คนนอกก็ย่อมรู้ที่มาที่ไป
“ไม่เป็นไร ก็เพราะต้องการให้คนอื่นรู้เป็นข้าสั่งการ”
หวังทงยิ้มตอบ