องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 927 แบ่งอำนาจรักษาวาสนา เลือกทางเสี่ยงเพื่อประโยชน์
ในภาพที่เห็นนั้น หวังทงกับเมืองเหลียวโจวปะทะกันมีสองเหตุ หนึ่งก็คือเกี่ยวกับผลประโยชน์หวังทงที่เทียนจิน กลุ่มพ่อค้าไปเมืองเหลียวโจวถูกกีดกันไม่หยุด อีกเรื่องก็คือ ซุนโส่วเหลียน
เมืองเหลียวโจวจะจัดการซุนโส่วเหลียนนั้นไม่ได้มีข่าวกระจ่างสักเท่าไร แต่ทุกคนล้วนรู้ว่าซุนโส่วเหลียนเป็นคนหวังทง ใกล้ปีใหม่มาคารวะหวังทงที่เมืองหลวง จากนั้นหวังทงก็หาเรื่องเมืองเหลียวโจวทันที ในเรื่องนี้ย่อมมีสาเหตุใดอะไรสักอย่าง ทุกคนย่อมเดาออกได้
หลี่ตงฉวินเป็นคนมีความสามารถ บางทีอาจจะวิเคราะห์การจัดการแบบหวังทงมาก่อน พอมาถึงก็ไม่อ้อมค้อม กล่าวเข้าประเด็นทันที
วิธีการทำงานเช่นนี้ ทำให้หวังทงสบายใจมาก เงียบไปครู่หนึ่งก็ยิ้มกล่าวว่า
“ร้านค้าเทียนจินที่เมืองเหลียวโจวก็ไม่ได้ขออะไรมาก ร้านเมืองเหลียวโจวได้รับการปฏิบัติเช่นไร ก็ปฏิบัติกับร้านค้าที่เทียนจินตามนั้น เรื่องนี้คงไม่ยากกระมัง?”
“ท่านโหวใจกว้าง ขอท่านโหววางใจ วันหน้าร้านค้าเทียนจินไปเมืองเหลียวโจวก็จะเหมือนกับร้านค้าอยู่ที่เทียนจิน หากมีอันใดไม่เป็นตามนี้ ให้ท่านโหวตัดหัวข้าน้อยไปได้เลย”
“กล่าวเช่นนี้มีประโยชน์อันใด รอดูวันหน้าก็แล้วกัน”
หวังทงไม่สนใจวาจาสวยหรูคนผู้นี้ พ่อค้าเทียนจินไม่ว่าเงินทุนหรือแนวคิดการค้า หรือว่าเส้นทางการค้า ล้วนเหนือกว่าพ่อค้าเมืองเหลียวโจวในเงื่อนไขเดียวกัน แม้ไม่ได้สิทธิพิเศษใด พ่อค้าเทียนจินก็ได้เปรียบกว่าอยู่แล้ว
“ซุนโส่วเหลียนนี่……เจ้าตัดสินใจแทนได้หรือ?”
หวังทงเงียบไปครู่หนึ่ง ได้ฟังแล้ว หลี่ตงฉวินก็ก้มคำนับกล่าวว่า
“ท่านโหวต้องการเช่นไร ขอให้กล่าวกับข้าน้อย ข้าน้อยรับไว้ได้ก็จะให้คำมั่นกับท่านโหว ข้าน้อยรับไม่ไหวก็จะม้าเร็วไปสอบถาม ภายใน 20 วันย่อมมีข่าวมาให้ใต้เท้าได้”
ตั้งแต่ก้าวเข้าจวนหวังทงมา หลี่ตงฉวินแสดงท่าทีอ่อนน้อมคล้อยตาม ที่ควรนอบน้อมก็นอบน้อม แต่ก็มิใช่ว่าก้มหัวให้หมดทุกเรื่องอย่างไร้หลักการราวกับเป็นทาส
ท่าทีเขาเช่นนี้ทำให้หวังทงรู้สึกสบาย ไม่กล่าวอ้างเรื่องไม่เกี่ยวข้อง พูดกันตรงไปตรงมาว่า
“เมืองเหลียวโจวกว้างใหญ่ เพียงแค่จากเหลียวหยางขยายคลุมพื้นที่กว้างออกไปก็ย่อมมีพื้นที่กว้างประมาณมิได้ ข้าคิดว่าควรจะส่งรองแม่ทัพภาคไปประจำเหลียวตงเขตประชิดเกาหลี เหมือนระบบเมืองจี้โจว ไม่ทราบว่าผู้บัญชาการหลี่จะเห็นเช่นไร?”
“เรื่องนี้……”
หลี่ตงฉวินท่าทีนอบน้อมสุภาพลงโขกศีรษะเป็นครั้งแรก ตำแหน่งขุนพลประจำพื้นที่กับรองแม่ทัพภาคเหมือนไม่ได้แตกต่างกัน แต่ในความจริงนั้นแตกต่างกันมาก
ขุนพลประจำพื้นที่เป็นตำแหน่งที่ส่งไปประจำดูแลพื้นที่ทหาร รองแม่ทัพภาคเท่ากับเป็นรองแม่ทัพ ดูแลทั้งภาคส่วน เมืองจี้โจวอยู่ข้างเมืองหลวง และยังไร้ภูมิศาสตร์เป็นปราการกั้น ดังนั้นเพื่อสร้างระบบการสมดุลอำนาจ เมืองจี้โจวจึงมีผู้บัญชาการหนึ่งและรองแม่ทัพอีกสี่
อำนาจรองแม่ทัพไม่น้อย อำนาจเท่ากับกำกับดูแลภาพรวม และในพื้นที่รักษาการณ์ของเขาเองนั้น ก็เทียบได้กับเมืองชายแดนเล็กๆ เขาอยู่ที่นั่นเทียบได้กับตำแหน่งผู้บัญชาการเลยทีเดียว
หรืออาจกล่าวได้ว่า การมีอยู่ของรองแม่ทัพ ในเมืองชายแดนก็เท่ากับผู้ช่วยผู้บัญชาการ หรืออาจขึ้นทดแทน ในเมืองชายแดนกลับเป็นการแบ่งสรรอำนาจให้สมดุล
หวังทงกล่าวถึงตำแหน่งนี้ ย่อมไม่ใช่ผู้ช่วย หากเป็นการแบ่งสรรอำนาจมากกว่า เหลียวหยางกับเสิ่นหยางเป็นสองเขตพื้นที่ใหญ่ของเมืองเหลียวโจว และยังห่างไกลจากจุดศูนย์กลางอย่างเหลียวตงมาก จัดรองแม่ทัพภาคไปประจำที่นั่น ก็เท่ากับแบ่งพื้นที่เมืองเหลียวโจวออก ตั้งเป็นเขตใหม่
พื้นที่ดูแลของซุนโส่วเหลียนอยู่ที่กองกำลังฝ่ายขวาที่ติ้งเหลียว ซึ่งก็คือที่เรียกว่าเมืองหวงเฟิ่งเฉิง ที่นั่นเป็นศูนย์กลางของเหลียวตง หวังทงเสนอเช่นนี้ก็แสดงให้เห็นชัดเจนว่า จะเลื่อนตำแหน่งให้ซุนโส่วเหลียน
อำนาจวาสนาตระกูลหลี่อยู่ในพื้นที่นี้ พื้นที่นี่จึงจะมีเงินทองร่ำรวย จึงจะสามารถเลี้ยงดูครอบครัวทหารได้ จึงจะสามารถทำให้สถานะตนมั่นคงได้ หากอยู่ๆ ถูกแบ่งออกไปส่วนหนึ่ง ก็ย่อมไม่อาจยอมรับได้
หลี่ตงฉวินจะไม่รู้เรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร พูดถึงตรงนี้ เขาจึงไม่กล้ารับปากจริงๆ ลังเลไปมา ก่อนจะคำนับกล่าวว่า
“ท่านโหว ตำแหน่งใต้เท้าซุนตอนนี้ก็ไม่ได้ต่างอันใดกับรองแม่ทัพภาคสักเท่าไร หากคิดจะเลื่อนสถานะให้สูงขึ้น ให้รุ่งเรืองอำนาจวาสนา ตอนนี้เขาก็ไม่ได้ขาดอันใด หรืออย่างไรก็ปีหน้าค่อยสร้างความชอบจากการรบให้ราชสำนักบำเหน็จรางวัลบรรดาศักดิ์ให้ใต้เท้าซุน เรื่องตำแหน่งรองแม่ทัพภาคนี้ เกรงว่าจะส่งผลกระทบมากไปสักหน่อย นายท่านข้าน้อยอาจไม่สะดวกจะกล่าว แม้ท่านโหวบอกกล่าวกับราชสำนักแล้ว ก็เกรงว่าอาจต้องใช้เวลาอีกไม่น้อยกระมัง!?”
หวังทงส่ายหน้าพิงพนักเก้าอี้ ยกถ้วยชาข้างกายขึ้น กล่าวอย่างสบายอารมณ์ว่า
“เจ้าตัดสินใจไม่ได้ ก็ไม่ต้องพูดมากความ ไม่สู้กลับไปถามผู้บัญชาการหลี่ เขายังคิดอยู่ท่ามกลางอำนาจวาสนานี้หรือคิดเป็นอื่นกัน”
“นายท่านข้าน้อยสร้างความดีความชอบเพื่อแผ่นดินหมิงเช่นนี้ ……”
หลี่ตงฉวินคิดจะตอบตามที่คิด แต่อยู่ๆ ก็คิดได้ รีบหยุด หวังทงกล่าวต่อว่า
“คิดรักษาอำนาจวาสนาให้ยืนยาวนาน ความจริงนั้นมีทหารในมือ มีพื้นที่ในมือมากมายเท่าไร ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับอำนาจวาสนา เมืองเหลียวโจวเป็นของแผ่นดินหมิง ไม่ใช่ของตระกูลหลี่ หากยังดื้อดึง เกรงว่าจะนำภัยใหญ่มาสู่ตนเอง!”
กล่าวจบ หลี่ตงฉวินก็สะดุ้งโหยง หวังทงยิ้มกล่าวว่า
“เอ หรือว่าผู้บัญชาการหลี่ไม่ใส่ใจภัยใหญ่นี้?”
“งั้นข้าน้อยจะรีบเขียนจดหมายไปถามทันที ต้องขอท่านโหวรอสักหลายวันหน่อย”
กล่าวกันถึงขั้นนี้ หลี่ตงฉวินย่อมไม่กล้าเจรจารับปากอันใดต่อ ได้แต่รีบกลับไปถามให้เร็วที่สุด หวังทงพยักหน้ากล่าวว่า
“เผ่าหนี่ว์เจินที่เจี้ยนโจวอย่างไรต้องปราบ ไม่เช่นนั้นทุกเรื่องไม่ต้องคุยกัน”
หวังทงเน้นย้ำจริงจัง เขาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก หลี่ตงฉวินกลับไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่อันใด ก้มกายลงคำนับกล่าวว่า
“ขอท่านโหววางใจ เรื่องนี้ต้องจัดการแน่นอน”
*************
ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 14 เริ่มต้นด้วยความเงียบสงบ เดือนหนึ่ง หวังทงได้ต้อนรับทูตเจรจาจากเมืองเหลียวโจว มีคนรู้เรื่องนี้น้อยมาก
จริงๆ สำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว ละครใหญ่ตอนนี้ หรือจะบอกว่าในช่วงเวลานี้ที่เรียกได้ว่าละครฉากใหญ่นั้นก็คือ เรื่องการประชุมขุนนางเพื่อปลดฮองเฮา
ปลดฮองเฮา แต่งตั้งฮองเฮาใหม่ เป็นเรื่องที่พบได้น้อยมากในราชวงศ์หมิงเกือบสองร้อยปีมานี้ เพราะย่อมเกี่ยวข้องกับการแย่งชิงอำนาจในราชสำนัก แต่ในตอนนี้ ทุกคนล้วนไม่ได้ตื่นเต้น หรืออาจเรียกได้ว่าถึงขั้นรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ได้น่าสนใจอันใด
เพราะไม่มีคนคิดโต้แย้งอันใด คนยื่นฎีกาก็จัดการไว้พร้อมแล้ว คนที่คอยประสานรับก็จัดการไว้พร้อมแล้ว ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสขึ้นในที่ประชุมขุนนางก็เป็นไปตามแผนการที่วางไว้ ไม่ว่าขุนนางในคณะเสนาบดีใหญ่หรือเสนาบดีหกกรมกอง หรือขุนนางสำนักตรวจสอบล้วนระมัดระวังให้คนสนิทไปกำชับ เกรงว่าพอถึงเวลาจะมีพวกออกมาค้านหรือทูลไปคนละทิศละทาง พวกระดับนายกองหกกรมมีคนไปบอกกล่าวไว้หมดแล้ว
ขุนนางบัณฑิตชิงหลิวล้วนมิได้มีท่าทีเหมือนปีที่แล้วอีกแล้ว ฎีกาตอนนี้ก็มีแต่ชื่นชมสรรเสริญพระสนมเอกเจิ้งว่าเหมาะสมเพียงใดที่จะเป็นฮองเฮา
เคยมีคนจดบันทึกไว้ว่า ‘ในราชสำนักมีพยัคฆ์กินคน ไหนเลยกล้ากล่าววาจา’ บันทึกนี้เขียนออกมาก็ถูกฮูหยินตนเองเผาทิ้ง แต่ที่มีข่าวออกมาก็เพราะคุยกันตอนเมา
หลังเห็นด้วยกับการแต่งตั้งฮองเฮา ยามนี้พวกที่ตื่นเต้นดีใจที่สุดก็คือพวกสำนักตรวจสอบ ที่ยกให้นายกองอวี๋เจียนหรู่เป็นหัวหน้า แม้คนพวกนี้ถูกเพื่อนร่วมงานด้วยกันมีท่าทีเมินเฉย แต่ไม่น้อยก็แอบอิจฉา อิจฉาที่คนเหล่านี้ได้มีที่พึ่งพาหนักแน่นดังภูผา ข่าวแพร่ไปว่า อวี๋เจียนหรู่จะได้ไปเป็นนายกองตรวจการมณฑลทหารเทียนจิน จากนั้นก็จะได้กลับเมืองหลวงมาดำรงอื่นต่อ ความจริงนั้นเรียกได้ว่าเส้นทางขุนนางที่ก้าวกระโดด ผลประโยชน์ดีที่จับต้องได้ มิน่าเล่าจึงมีผู้คนอิจฉา
สถานการณ์มาถึงขั้นนี้ ในวังมีแอบส่งสัญญาณให้ฮองเฮาหวังได้รู้ หลังพิธีอภิเษกสมรส ฮ่องเต้ว่านลี่กับฮองเฮาหวังร่วมเตียงกันน้อยจนน่าสงสาร ฮองเฮาหวังไม่มีโอรส พระนางไม่คิดอาลัยในตำแหน่งฮองเฮานี้เท่าไรนัก จึงอ้างว่าพระวรกายอ่อนแอ ไม่อาจดูแลวังหลังได้ ขอฝ่าบาทเลือกพระสนมที่ทรงสติปัญญามาแทนตำแหน่ง……
ในเมื่อพระนางรู้ความเช่นนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่จึงมีพระราชานุญาติ พระสนมเอกเจิ้งได้ขึ้นดำรงตำแหน่งฮองเฮาอย่างเป็นทางการ ฮองเฮาหวังลดตำแหน่งลงไปเป็นพระสนมชั้นเฟย ‘รักษาพระวรกาย’ ในวัง
ต้นเดือนสอง ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 14 พระสนมเอกเจิ้งได้รับแต่งตั้งเป็นฮองเฮา ตามประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิงไม่เคยง่ายดายเช่นนี้ อย่างไรก็ต้องมีเรื่องโต้แย้งกัน เป็นเรื่องใหญ่ดุเดือดในราชสำนัก แต่ครั้งนี้กลับผ่านไปเรียบง่าย
น้องชายพระสนมเอกเจิ้งได้รับแต่งตั้งเป็นอันหยวนป๋อ ได้เป็นชนชั้นสูงอันดับหนึ่งในเมืองหลวงอย่างเป็นทางการ จวนอู่ชิงโหวเดิมยังคงถูกเฝ้าไม่ให้ติดต่อกับโลกภายนอก
**************
ข่าวลับจากเมืองกุยฮว่าเฉิงมาถึงมือหวังทง ไม่ใช่เรื่องสำคัญใด แต่เมิ่งตั๋วแห่งเมืองกุยฮว่าเฉิงไม่รู้ตัดสินใจเช่นไรดี
เมืองกุยฮว่าเฉิงหลังถูกกองกำลังหมิงเข้าครอบครอง ขบวนการค้าผู้คุ้มกันกับเผ่าที่มาพึ่งพิงรอบนอกเมืองก็ติดอาวุธออกไล่ล่าปล้นชิงบนทุ่งหญ้าไม่หยุด แต่ทิศทางหลักก็ไปทางตะวันตกเมืองกุยฮว่าเฉิง เพราะทางตะวันตกไม่มีพวกนอกด่านกลุ่มใหญ่ และยังเป็นพื้นที่ลุ่มแม่น้ำ มีที่นาสมบูรณ์มากมาย ขับไล่พวกนอกด่านบริเวณลุ่มแม่น้ำออกไป ฟื้นฟูระบบท่อส่งน้ำเพื่อการเกษตร ก็สามารถทำนาอุดมผืนใหญ่ได้แล้ว
ไม่ต้องบังคับ ไม่ต้องให้ผลประโยชน์ ก็ย่อมมีคนอยากไปทางนี้กันมาก ในกลุ่มนี้มีตระกูลใหญ่จากซานซีและส่านซีร่วมกับขุนพลทหารในพื้นที่ เตรียมจัดการยึดพื้นที่ลุ่มน้ำแล้วแบ่งสรรที่นาผลประโยชน์กัน
เทียบกับผลประโยชน์ทางตะวันตกแล้ว การค้าอย่างเดียวตอนเหนือและทางตะวันออกเมืองกุยฮว่าเฉิงก็ไม่ได้คึกคักเท่าไร เพราะทางตะวันออกมีเผ่าใหญ่สองเผ่าอย่างฉาฮาเอ่อร์กับเคอเอ่อร์ชิ่น ไม่อาจแตะต้องโดยง่าย และทางตะวันออกมีหลายเผ่าที่พ่อค้าเมืองเหลียวโจวทำการค้าด้วย ไม่ค่อยทำการค้ากับเมืองกุยฮว่าเฉิง ห่างกันไกล ไม่มีผลประโยชน์อันใดให้เก็บเกี่ยวโดยง่าย
ทว่าทางตะวันตกนับวันยิ่งมีให้ปล้นน้อยลง การค้าก็ค่อยๆ มั่นคงขึ้น ทุกคนมักคิดหาทางแสวงหาผลประโยชน์ใหม่เพิ่ม ทางตะวันออกแม้มีศัตรูเข้มแข็ง แต่ก็ไม่อาจสนใจเรื่องนี้แล้ว
พ่อค้าใหญ่เมืองกุยฮว่าเฉิงแอบหารือกัน หากทำให้ทางตะวันออกเกิดเรื่อง ดีที่สุดก็ให้ขบวนการค้าถูกเผ่าเคอเอ่อร์ชิ่นปล้น และมีการบาดเจ็บล้มตาย ถึงตอนนั้นทุกคนในเมืองกุยฮว่าเฉิงร่วมมือกัน ร่วมกันไปแก้แค้น หากใช้กำลังทางการได้ ย่อมดีที่สุด หากใช้กำลังทางการไม่ได้ ทุกคนก็รวมกำลังคนและม้าไปกันเอง แม้ไม่ชนะ แต่ก็จะสามารถขยายอาณาเขตเมืองกุยฮว่าเฉิงไปทางตะวันออก อย่างไรก็มีแต่ผลดี
พวกพ่อค้านับวันยิ่งใจกล้า เมิ่งตั๋วไม่รู้จะรับมือเช่นไร ดังนั้นจึงเขียนจดหมายมาถาม