องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 929 ไม่อยากทำ แต่ไม่อาจไม่ทำ
ผู้บัญชาการทหารเมืองเหลียวโจวหลี่เฉิงเหลียงได้รับจดหมายจากหลี่ตงฉวิน ก็รีบไปตามบุตรชายรองหลี่หรูป๋อมาหารือ หลี่เฉิงเหลียงอายุมากแล้ว งานต่างๆ ในกองทัพก็ไม่อยากยุ่งมากนัก บุตรชายคนโตหลี่หรูซงไปเป็นผู้บัญชาการประจำอยู่เมืองเซวียนฝู่ หลี่หรูป๋อกลับช่วยงานอยู่ข้างกายหลี่เฉิงเหลียง เขานับว่าเป็นรองแม่ทัพตัวจริง
สำหรับตำแหน่งรองแม่ทัพจริงๆ นั้นแม้เป็นหม่าหลิน แต่เพราะไม่ใช่คนในกลุ่มขุนพลตระกูลหลี่ ปกติจึงไปประจำอยู่เสิ่นหยาง เป็นเขตใหญ่อันดับสองของเมืองเหลียวโจว รองแม่ทัพเช่นเขาอยู่ที่นั่น ก็เรียกได้ว่าใหญ่โตไม่น้อย
ในจวนแม่ทัพใหญ่เมืองเหลียวโจวธรรมเนียมมาก ในเมื่อแม่ทัพใหญ่กับแม่ทัพน้อยหารือกัน ทหารติดตามย่อมต้องออกเฝ้าด้านนอกไว้ไกลๆ ไม่ให้เข้าใกล้ หากเข้าใกล้ก็จะตัดหัวทิ้งทันที
“เจ้าหวังทงช่างเหิมเกริมสิ้นดี!!”
ตอนซือเย๋กับทหารติดตามอยู่ข้างกาย หลี่เฉิงเหลียงยังวางท่าเช่นแม่ทัพใหญ่ แต่พอบุตรชายตนเข้ามา ก็ระเบิดอารมณ์ออกมาทันที หลี่เฉิงเหลียงใบหน้ากลมตาเรียวเล็ก รูปร่างใหญ่โต แม้ว่าสวมชุดผ้าฝ้ายติดกระดุม แต่ก็ยังแสดงให้เห็นถึงบารมีองอาจผ่าเผย แต่ทว่าหากดูใบหน้าให้ดี เหมือนจะเริ่มอ้วนหน่อยแล้ว
เขาส่งจดหมายให้หลี่หรูป๋ออ่าน นั่งจิบน้ำขาอยู่ที่โต๊ะต่อ กล่าวรุนแรงขึ้น เนื้อหาจดหมายนั้นหลี่หรูป๋อรู้แล้ว เขากล่าวว่า
“ท่านพ่อ หวังทงได้คืบเอาศอก เขาพูดเรื่องพวกนี้ หากคิดจะหาเรื่องในราชสำนักก็คงไม่ยากอันใด เมืองชายแดนทั้งเก้านี้ มณฑลทหารใต้หล้าผู้ใดบ้างไม่เป็นเช่นนี้ หรือว่าราชสำนักไม่รู้?”
หลี่เฉิงเหลียงไม่ตอบ หลี่หรูป๋อก้มหน้าคิด กล่าวว่า
“ท่านพ่อ เงินทองที่เราได้หว่านไปในเมืองหลวงมากมาย พวกขุนนางบุ๋นถึงตอนนั้นก็คงช่วยเราพูด หวังทงครั้งนี้ให้นายกองออกหน้า เราก็หานายกองไปโต้คืนก็ได้นี่ จะไปถามหวังทงอีกทำไม หรือเขาต้องการอะไร เงินทองผลประโยชน์ก็ให้ไปก็แล้วกัน”
หลี่หรูป๋อปกติชอบอ่านหนังสือดูงิ้วที่สุด ที่เหลียวหยางถึงกับตั้งโรงงิ้วสองโรงโดยเฉพาะ เชิญคณะงิ้วมีชื่อจากที่ต่างๆ มาแสดง หรือว่าให้นักเล่านิทานเล่าเรื่องสามก๊ก ให้เขาวิเคราะห์ก็ยากอยู่ แต่ทว่ามีประสบการณ์ มีใจคิดทำ ก็ย่อมพอทำได้
เขากล่าวมา หลี่เฉิงเหลียงเหมือนคิดได้หมดแล้ว เขานั่งอึ้งก่อนจะลุกเดินไปมุมหนึ่ง ห้องหนังสือผู้บัญชาการทหารเมืองเหลียวโจวมีชุดเกราะกับอาวุธเรียงอยู่ หลี่เฉิงเหลียงหยิบธนูที่กำแพงออกมา กะน้ำหนักในมือน้าวสาย จากนั้นก็โยนลงพื้น ถอนหายใจกล่าวว่า
“ใช้ชีวิตสบายมานาน แม้แต่ธนูก็น้าวไม่ได้”
“ท่านพ่อไหนเลยกล่าววาจาเช่นนี้ ท่านพ่อองอาจกล้าหาญ ข้าผู้เป็นบุตรชายยังไม่อาจเทียบได้ เหตุใดจะ……”
พวกฝึกยุทธหาวาจาปลอบสองคำได้แค่นี้ หลี่เฉิงเหลียงแค่นยิ้ม กล่าวว่า
“หวังทงฝากวาจามา เขาว่าเราหลายปีก่อนไม่ขยับ คิดจะมาขยับตอนนี้ก็ไม่อาจขยับแล้ว วาจานี้เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
หลี่หรูป๋อส่ายหน้า หลี่เฉิงเหลียงกล่าวว่า
“ตอนนี้มีกองกำลังหู่เวยอยู่ หวังทงกับตระกูลลี่เมืองจี้โจว ตระกูลหม่าเมืองเซวียนฝู่ สายสัมพันธ์แนบแน่น เราเมืองเหลียวโจวแม้อำนาจมาก แต่หากต้อง….เฮ้อ แม้ตอนนั้น ข้าเองยังไม่กล้าพูดว่าจะชนะชีจี้กวงได้หรือไม่……”
หลี่เฉิงเหลียงกล่าวเสียงเบามาก หากหลี่หรูป๋อกลับสะดุ้ง ลังเลกล่าวขึ้นเบาๆ ว่า
“ท่านพ่อ พี่ใหญ่ ทางนั้นจงรักภักดีราชสำนักมาก ทางเราก็มีสองสามคนที่สนิทกับหม่าหลิน เรื่องนี้…..”
“เรื่องพวกนี้ ไหนเลยต้องให้เจ้ามาเตือน แต่หวังทงกล่าวมานั้น ข้าก็แค่กล่าวตามต่อก็เท่านั้น ตระกูลหลี่เรามีวันนี้ได้เพราะคุณแผ่นดินหมิง พระเมตตาจากฮ่องเต้ ความคิดเหลวไหลพวกนั้น เจ้าอย่าได้คิด แม้คิดก็ไม่อาจคิด!!”
น้ำเสียงอยู่ๆ ดุดันขึ้นมา หลี่หรูป๋อหดคอรีบรับคำ หลี่เฉิงเหลียงกล่าวจบก็ระบายต่อว่า
“หากจะใช้ขุนนางบุ๋นไปสู้กับหวังทง เราอยู่ไกลเพียงนี้ เขาอยู่ราชสำนัก ใกล้มากกว่าเรา สุดท้ายยังไม่รู้ว่าจะมีเรื่องพัวพันกันไปถึงเมื่อไร จะมีโทษอันใดโยนใส่ตระกูลหลี่เราอีก”
กล่าวจบก็ถอนหายใจ หลี่หรูป๋อเงียบไปพักก่อนจะกล่าวว่า
“ท่านพ่อหรือว่ารับปากเรื่องตำแหน่งรองแม่ทัพภาค ซุนโส่วเหลียนเดิมก็กินพื้นที่กองกำลังฝ่ายขวาติ้งเหลียว หลายปีนี้ขยายตัวใหญ่ เป็นรองแม่ทัพภาคก็แค่ได้ชื่อมาเพิ่ม จะว่าไป เขาแม้มีตำแหน่งรองแม่ทัพภาค ก็ยังคงเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาท่านพ่ออยู่ดี เมืองเหลียวโจวจะมีพื้นที่ให้เขาได้พลิกอันใดได้หรือ?”
ให้หลี่เฉิงเหลียงเอ่ยมอบตำแหน่งให้ซุนโส่วเหลียนเอง เขาย่อมไม่อาจยอมกระทำ รู้สึกเสียหน้า หลี่หรูป๋อก็รู้ว่าตอนนี้ต้องหาทางลงให้บิดาตน
ได้ฟังเช่นนี้ หลี่เฉิงเหลียงก็เงียบไปครู่หนึ่ง สุดท้ายยังคงถอนหายใจกล่าวว่า
“ล้วนเป็นขุนนางแผ่นดินหมิง ข้าจะมาถือศักดิ์ศรีอันใด เจ้าไปจัดการได้ ยื่นฎีกา ว่าตอนนี้เหลียวตงมีความซับซ้อน ต้องการให้จัดตั้งตำแหน่งรองแม่ทัพภาค”
หลี่หรูป๋อรีบรับคำ พ่อลูกสีหน้าล้วนไม่ดีนัก เมืองเหลียวโจวเดิมเป็นพื้นที่หนึ่งตระกูล ราชสำนักให้หม่าหลินมาเป็นรองแม่ทัพก็ไม่อาจแทรกแซงอันใดมาก คิดไม่ถึงว่าไปๆ มาๆ ถึงกับเป็นตนเองที่ลงมือแบ่งเอง
จะว่าไป ล้วนเป็นเพราะหวังทง หวังทงยกทัพขึ้นเหนือปราบเมืองกุยฮว่าเฉิงมีชัยชนะรุ่งโรจน์เช่นนั้น เมืองเหลียวโจวยกทัพไปตะวันตกปราบตัวหลุน แม้ว่ามีชัย แต่เทียบกับที่หวังทงได้ชัยแล้ว เรียกได้ว่าน้อยกว่ามาก
ขุนนางบู๊เทียบกันว่าใครใหญ่กว่าดูจากอันใด ก็ย่อมดูจากความสามารถการต่อสู้ ได้รับชัยชนะมาเท่าไร เดิมใต้หล้าล้วนกล่าวถึงหลี่เฉิงเหลียง ชีจี้กวง หากตอนนี้มีแต่หวังทงส่องประกายเฉิดฉาย แม้แต่ชื่อเสียงเมืองเหลียวโจวก็ลดลงไปมาก เรื่องราวยุ่งยากใจต่างๆ เริ่มตามมา
แน่นอนตระกูลหลี่ย่อมไม่รู้สึกว่าเป็นคนเริ่มต้นหาเรื่องก่อน ตนเองผิดก่อน แต่ย่อมทอดถอนใจกับวันนี้ที่ไม่เหมือนวันวาน ต้องหาทางจัดการเรื่องนี้ให้ได้ หลี่เฉิงเหลียงถอนหายใจกล่าวว่า
“ลูกน้องซุนโส่วเหลียน เจ้าลองดู คนไหนที่เปลี่ยนย้ายได้ก็รีบเปลี่ยนย้ายให้เร็ว อย่าให้ซุนโส่วเหลียนได้ใจเกินไป อีกเรื่อง ให้ตงฉวินส่งของขวัญหนักให้หวังทง วันหน้ายังมีเรื่องต้องคบหากันอีกมาก”
หลี่หรูป๋อรับคำ กำลังออกไปจัดการ กลับถูกหลี่เฉิงเหลียงเรียกไว้ หลี่เฉิงเหลียงท่าทางเหนื่อยล้าถามขึ้น
“เจี้ยนโจวทางนั้นเอาอย่างไร? ผู้แทนพระองค์อีกไม่กี่วันก็จะมาแล้ว ทุกอย่างต้องจัดการให้เรียบร้อย อย่าให้เกิดเรื่องได้!”
หลี่หรูป๋อสีหน้าไม่ค่อยดีนัก แต่ทว่าก็ยังคำนับกล่าวว่า
“ท่านพ่อ หญิงนั่นน่าเบื่อหน่ายนัก พ่อค้าที่ไปเจี้ยนโจวสองสามคนวันก่อนก็เจอกับโจรม้า ไม่มีรอดชีวิตกลับมา”
พูดถึงตรงนี้ ลังเลครู่หนึ่งก็กล่าวว่า
“ท่านพ่อ หลี่ผิงหูทางนั้นรวมกำลังทหารแล้ว เจี้ยนโจวปกติก็กตัญญูดี จะลงมือจริงหรือ?”
“รบ อย่างไรต้องรบ เจี้ยนโจวเมืองเดียวจะกระไรนัก”
หลี่เฉิงเหลียงกล่าวหนักแน่น หลี่หรูป๋อคำนับรับคำ หลี่เฉิงเหลียงกล่าวอีกว่า
“บนสนามรบเปลี่ยนแปลงไปมา พวกโจรเจี้ยนโจวก็เล่ห์เหลี่ยมมาก และยังเชี่ยวชาญพื้นที่ รู้เส้นทางหมด ให้หลี่ผิงหูค่อยๆ รบ ควรสั่งสอนเจี้ยนโจวเสียบ้าง พวกใกล้ทางเผ่าหนี่วิ์เจินล้วนมาฟ้องนานแล้วว่า พวกป่าเถื่อนมักไปปล้นชิง เผ่าหนี่วิ์เจินเจี้ยนโจวหากยังไม่ยอมหยุด ทุกคนก็คงเอาตัวไม่รอดกันหมด ผู้ใดให้ความกล้าเขากัน มือเท้าเขาถึงกับยื่นไปเสียยาวเช่นนั้น!”
หลี่หรูป๋อยิ้ม คำนับรับคำ มีคำสั่งค่อยๆ รบ ผู้ใดก็รู้ว่าควรติดพันรบกับเผ่าหนี่วิ์เจินแห่งเจี้ยนโจวแล้ว
เมืองเหลียวโจวตั้งอยู่นอกด่าน เป็นพื้นที่ตนเอง ในความจริงนั้นก็คือสวรรค์น้อยๆ ของตน ขุนพลเหลียวหยางนับเป็นศูนย์กลาง ที่อื่นเป็นแค่กิ่งก้าน แม่ทัพใหญ่ไม่พอใจข่าวซุนโส่วเหลียน แม้ว่าไม่ได้แสดงท่าทีอันใดแต่ต้นจนจบ ถึงกับหลังปีใหม่มา ยามซุนโส่วเหลียนไปไหนมาไหน ทุกคนยังคงสีหน้ายิ้มเกรงใจ แต่ข่าวยังแพร่ออกไปและสร้างผลกระทบอย่างเช่นว่า ที่เมืองหวงเฟิ่งเฉิง กองกำลังฝ่ายขวาติ้งเหลียว หากเป็นปีใหม่ก่อนๆ หน้าจวนตระกูลซุนล้วนราวตลาด ปีนี้กลับเงียบเหงา
เมื่อก่อนการค้ากองกำลังฝ่ายขวาติ้งเหลียวกับเกาหลีและที่นาดีที่นั่นล้วนไม่มีคนกล้าแตะต้อง แต่ตอนนี้มีคนคิดมาแย่งชิง หากเป็นเมื่อก่อน ตระกูลซุนก็ย่อมใช้อาวุธเข้าสังหารขับไล่ แต่ตอนนี้กลับต้องเจรจาแทน เหตุผลร้อยพัน ล้วนแสดงให้เห็นว่าซุนโส่วเหลียนจบสิ้นแล้ว ตระกูลซุนล้มแล้ว
เดือนสิบสอง เดือนหนึ่งผ่านไป มาถึงเดือนสอง ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 14 มารดาซุนโส่วเหลียนจัดงานวันเกิด เดิมคิดว่าจะเงียบเหงา แต่คิดไม่ถึงว่าหลี่หรูเหมยแห่งเมืองเหลียวโจวมาคารวะอวยพรด้วยตนเอง หลี่หรูเหมยเป็นบุตรชายคนที่สามของหลี่เฉิงเหลียง เขาออกหน้าแน่นอนย่อมเป็นตัวแทนตระกูลหลี่ ท่าทีแสดงให้เห็นชัดเจนถึงเรื่องราวต่างๆ ตอนนี้
ซุนโส่วเหลียนเป็นขุนพลทหารเมืองเหลียวโจวไม่นับว่าเป็นอันดับหนึ่ง มารดาเขาจัดงานวันเกิดปกติไม่ได้รับการตอบรับเช่นนี้ แต่ตอนนี้บุตรชายแม่ทัพใหญ่มา เรียกได้ว่าอะไรกัน
มีคนคิดถึงข่าวผู้แทนพระองค์มาเมืองเหลียวโจว กับเรื่องหลี่หรูเหมยมาเมืองหวงเฟิ่งเฉิง ก็เข้าใจทันที ซุนโส่วเหลียนย่อมไร้ปัญหาแล้ว ที่ทำให้คนคิดไม่ถึงก็คือ ซุนโส่วเหลียนที่ทุกคนคิดว่ามีเพียงหัวการค้า ถึงกับมีความสามารถเช่นนี้ได้ ถึงกับมีสายสัมพันธ์อิทธิพลอำนาจเมืองหลวงได้ ทำให้พวกแม่ทัพใหญ่ต้องยอมก้มหัวให้
แน่นอน ไม่มีผู้ใดแย่งชิงการค้า ไม่มีผู้ใดแย่งชิงที่นา ซุนโส่วเหลียนอายุ 40 ต้นๆ มารดาจัดงานเลี้ยงวันเกิดอยู่ เขาก็เกือบร้องไห้ออกมา สิ่งที่อัดอั้นมานานทลายลงทันที ใต้เท้าหวังช่วยเหลือได้จริงๆ!
ได้ยินข่าวหลี่หรูเหมยมาอวยพร เดิมงานเลี้ยงที่เงียบเหงา แน่นอนก็ย่อมเริ่มคึกคักขึ้นมา หน้าประตูจวนก็ราวกับ ตลาดสด ซุนโส่วเหลียนเองก็ไม่ขี้เหนียว พอจบงานเลี้ยง ตกค่ำก็ส่งมอบของขวัญใหญ่ ให้บุตรชายตนซุนเผิงจวี่อายุ 17 ปี เดินทางไปเมืองหลวง ก่อนเดินทางไปก็สั่งความให้เข้าใจว่า
“ครั้งนี้ไปเมืองหลวง เจ้าอย่าได้คิดกลับมา ต้องอยู่กับใต้เท้าหวังต่อ เป็นทหารในสังกัด หากเป็นได้ ก็ย่อมเป็นวาสนาตระกูลเรา หากไม่ได้ กลับมาก็จะโบยเจ้าลูกหมาเช่นเจ้า อย่าทำหน้าตาเช่นนั้น ตำแหน่งนายกองเจ้านี้สถานะเทียบกับทหารในสังกัดใต้เท้าหวังแล้วไม่รู้ห่างกันกี่ขั้น!!”
ในเดือนสาม ซุนโส่วเหลียนก็มีข่าวว่าจะได้เป็นรองแม่ทัพภาค ซุนโส่วเหลียนสถานะไม่เหมือนเดิมแล้ว
ปลายเดือนสาม ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 14 ผู้บัญชาการทหารเมืองเหลียวโจวหลี่เฉิงเหลียงยื่นฎีกา ขอตั้งตำแหน่งรองแม่ทัพภาค ณ กองกำลังฝ่ายขวาติ้งเหลียว ประจำเหลียวตง