องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 932 หารือในกระโจมข่าน
ออกจากช่องเขาสี่เฟิงไปยังนอกด่าน ไปทางตะวันตก 300 ลี้ได้ก็จะเป็นตัวหลุนที่เรียกกันว่า ‘ผืนหญ้าอุดมแห่งทุ่งหญ้าหมื่นลี้’ สำหรับชนเผ่าบนทุ่งหญ้าล้วนกล่าวว่าที่นี่คือ ‘หยาดน้ำทิพย์แห่งพระโพธิสัตว์’
เดือนเจ็ดทุกปี ล้วนเป็นฤดูที่ดีที่สุดของตัวหลุน ไม่ว่ายืนอยู่ที่ใดมองไปรอบทิศ ที่เห็นล้วนเป็นความเขียวขจีที่ไกลสุดลูกหูลูกตา เหมือนว่าเป็นพรมสีเขียวผืนใหญ่บนโลกใบนี้
ตัวหลุนมีข้อดีที่เป็นภูมิประเทศแบบแอ่ง รอบทิศกันลมหิมะได้ หน้าหนาวก็สามารถพักผ่อนเลี้ยงสัตว์ได้ หญ้าและน้ำอุดมสมบูรณ์ วัวแพะและสัตว์เลี้ยงต่างก็อวบอ้วนเป็นพิเศษ มีแหล่งน้ำเพียงพอก็สามารถเพาะปลูกได้ มีเสบียงไว้กินได้
ทุ่งหญ้าหมื่นลี้ที่เหมาะแก่การพำพักระยะยาวมากก็คือพื้นที่เดิมของเผ่าอันต๋าเช่นแม่น้ำถู่ม่อชวนกับบริเวณลุ่มน้ำทางนั้น ส่วนอีกแห่งก็คือตัวหลุน
ตัวหลุนมีชาวนาฮั่นหมื่นกว่าคน พอๆ กับชาวเผ่ามองโกล และยังมีเผ่าอื่นที่เพาะปลูกอีก ที่นี่ไม่ใช่มีความพิเศษใด แต่เป็นเพราะกำลังเมืองจี้โจวกับเมืองเหลียวโจวเข้มแข็งมาก กำลังเผ่าเคอเอ่อร์ชิ่นและเผ่าอื่นบนทุ่งหญ้าไม่ได้แข็งแกร่งสักเท่าไร ปล้นชิงคนมาไม่ได้ผลเท่าไร ไม่รู้ทำเช่นไร ก็ได้แต่ไปหาคนจากนอกกำแพงเมืองชายแดนเช่นเมืองเหลียวโจวและรวบรวมคนมาเรื่อยๆ พร้อมกับจับเชลยชาวฮั่นมา
เมื่อก่อนพวกเลี้ยงสัตว์เร่ร่อนก็จะไล่ต้อนวัวและแพะเลี้ยงไปตามสบาย ชนชั้นสูงวันๆ ก็เอาแต่ดื่มสุราหาความบันเทิง หรือไม่ก็ขี่ม้าไปทางภูเขาฉางไป๋ซานและแม่น้ำเฮยหลงเจียงทางตะวันออกเป็นการผ่อนคลาย แต่ปีนี้ไม่เหมือนเดิม กระโจมข่านเผ่าเคอเอ่อร์ชิ่นตั้งอยู่พร้อมฐานทัพทหารม้า 4,000 นาย บรรยากาศเคร่งเครียดปกคลุมทั่วทุ่งหญ้า
เผ่าเคอเอ่อร์ชิ่นทั้งหมดที่สามารถขี่ม้าได้มีสามหมื่นขึ้นไป และอยู่ทางตะวันออก จากตัวหลุนไปยังแม่น้ำเนิ่นเจียง ชนเผ่านอกด่านน้อยใหญ่ล้วนยกเผ่าเคอเอ่อร์ชิ่นเป็นหัวหน้า นับว่าเป็นการรวมกลุ่มพันธมิตร รวบคนได้อย่างมากสุดก็ทหารหกหมื่น แน่นอนความสามารถในการรบนั้นไม่อาจกล่าวอันใดได้
เทียบตัวเลขดูแล้ว จริงๆ ทหารม้าสี่พันไม่น่าสู้ไม่ได้ แต่ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ยุ่งกับการงานพอดี วัว ม้าและแพะล้วนต้องการแรงงานมาเลี้ยง ที่เรียกว่าทหารม้าล้วนเป็นชายฉกรรจ์แข็งแรง ชาวเลี้ยงสัตว์พวกนี้ล้วนเป็นแรงงานสำคัญของครอบครัว ยามนี้ควรต้องยุ่งกับการงานในครอบครัว
หากเป็นปีที่ผ่านมาในช่วงเวลาเดียวกัน ข้างกายข่านเผ่าเคอเอ่อร์ชิ่นอย่างมากก็มีทหารม้าผู้คุ้มกันพันกว่าเท่านั้น ทหารม้าพันกว่านี้ถึงกับมีครึ่งหนึ่งนำครอบครัวตนกับสัตว์เลี้ยงมาด้วย ผลัดกันหาเวลาไปเลี้ยงสัตว์เร่ร่อน
หากไม่รีบเลี้ยงในเวลานี้ รอให้ถึงหน้าหนาวก็ไม่มีสัตว์เลี้ยงเพียงพอ จะทำให้ครอบครัวต้องหนาวและหิวตาย หากทั้งชนเผ่าในยามนี้ไม่มีแรงงานเพียงพอ ชนเผ่าก็ย่อมอ่อนกำลังลง ส่งผลต่ออำนาจวาสนาผู้ปกครอง
แต่ทว่าหนึ่งปีมานี้ อะไรไม่อาจสนใจแล้ว เพราะแรงกดดันจากทางเมืองกุยฮว่าเฉิงนับวันยิ่งมาก พื้นที่ใหญ่ในตัวหลุน ต้องรักษากำลังไว้รับมือให้เพียงพอ
เวิงกั่วไต้ข่านเผ่าเคอเอ่อร์ชิ่นไม่มีแก่ใจล่าสัตว์หาความสำราญแล้ว หากเป็นเมื่อก่อน หน้านี้เขาต้องนำทหารติดตามไปปล้นเผ่าหนี่วิ์เจินนอกกำแพงเมืองชายแดนเมืองเหลียวโจว ปล้นคนมาได้ ก็คือที่เขาเรียกว่า ‘ล่าสัตว์’
“หรือว่าข้าไม่เคารพเทพยดา เหตุใดรุ่นปู่รุ่นบิดาข้าจึงได้เสวยสุขจากเงินทองและสตรีชาวฮั่น พอมาถึงข้า กลับเลวร้ายเช่นนี้ได้”
เวิงกั่วไต้นั่งตัวตรงอยู่บนพรม สีหน้าเคร่งเครียดกล่าวขึ้น อากาศแจ่มใส พระอาทิตย์กำลังดี บนยอดกระโจมล้วนพับขึ้น ให้แสงส่องเข้ามา
“ท่านข่านอย่าได้กล่าวเช่นนี้ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับเทพยดา อันต๋าที่ถูกเรียกขานว่าพุทธะมีชีวิตนั่น ยังมีจุดจบเช่นนั้นไม่ใช่หรือ ชาวฮั่นละโมบพวกนั้นช่างน่ารังเกียจ พวกเขาครอบครองแม่น้ำถู่ม่อชวน ยังมาจับต้องตัวหลุนอันอุดมสมบูรณ์อีก แต่ทว่าเรื่องพวกนี้น่าเป็นเพราะเจ้าหวังทงคนเดียว ท่านข่าน ข้ามีความคิด ให้คนนำเงินไปซื้อตัวขันทีกับขุนนางใหญ่ในเมืองหลวงชาวฮั่น ทำให้หวังทง……”
“หมั่งกู่ซือ หากชาวฮั่นนำเงินทองมาหาข้า บอกว่าเจ้าไม่ดี ข้าจะฟังชาวฮั่นพวกนั้นไหม หรือว่าเชื่อใจเจ้า!”
ข่านเวิงกั่วไต้เผ่าเคอเอ่อร์ชิ่นจ้องหน้าคนพูดเขม็ง น้ำเสียงไม่พอใจ ชายที่นั่งอยู่ด้านซ้ายรีบคำนับ ที่เหลือในกระโจมก็ล้วนเป็นชนชั้นสูงบรรดาศักดิ์ไถจี๋[1]ล้วนไม่กล้ากล่าวอันใด หมั่งกู่ซือเติบโตมาพร้อมกับเวิงกั่วไต้ แต่เล็กก็เป็นเพื่อนเล่นกันมากับเวิงกั่วไต้ ตอนนี้มีตำแหน่งขุนพลแล้ว รับหน้าที่นำกำลังทหารม้ากล้าแห่งเผ่าเคอเอ่อร์ชิ่น
หมั่งกู่ซือเป็นคนไร้การวางแผน ในสนามรบเป็นขุนพลทหารที่เอาแต่บุกปะทะ ระยะหลังนี้ได้ยินว่าได้เชิญพระจากซีอวี้มา พระจากซีอวี้รู้หนังสือ อยู่ข้างกายชาวมองโกลชั้นสูง ล้วนได้รับการดูแลราวกับพวกระดับสติปัญญา คิดว่าเมื่อครู่ที่กล่าวมาก็น่าจะเป็นความเห็นจากทางนั้น
ตำหนิหมั่งกู่ซือไปแล้ว ข่านเผ่าเคอเอ่อร์ชิ่นสีหน้ายังคงเคร่งเครียด ส่ายหน้ากล่าวว่า
“ยามนี้หากเคลื่อนกำลังทหารม้าย่อมทำลายฐานกำลังหลักตนเอง แต่หากไม่เคลื่อน ก็คงได้แต่ดูชาวฮั่นไล่ต้อนเข้ามาทีละก้าว จุดจบก็คงไม่ต่างกัน หากรบกัน หน้าหนาวนี้คงยุ่งยากใหญ่ ฉาฮาเอ่อร์สมคบกับชาวฮั่นจับจ้องพื้นที่และคนของเรา ตอนนี้คิดไม่ออก รบหรือไม่รบ ก็แค่ตายเร็วหรือตายช้า หรือว่ารออยู่ที่นี่เลยดีกว่า?”
ข่านเผ่าเคอเอ่อร์ชิ่นกล่าวทิ้งท้ายด้วยความโมโหเดือด ก่อนจะเอื้อมไปคว้าถ้วยเงินปาทิ้ง ดีที่พื้นเป็นพรม ไม่ได้เสียหายอันใด
แต่ทว่าชนชั้นสูงในกระโจมล้วนหมอบลงพร้อมกัน ไม่กล้าส่งเสียง ชนชั้นสูงหนวดขาวที่นั่งอยู่ข้างเวิงกั่วไต้ ในชุดผ้าต่วนยาวสีม่วง มีเครื่องประดับทองคำ แสดงถึงสถานะสูงส่ง เขาหมอบแล้วก็เงยหน้ากล่าวว่า
“ท่านข่านที่เคารพ ตอนหิมะมาแรง ไม่ใช่เงยหน้ารอรับ แต่ให้หลบก่อน หิมะตกแรงอย่างไรก็ต้องหยุด คนโบราณกล่าวไว้ล้วนมีเหตุผล ท่านข่านต้องคิดให้รอบคอบ!”
ข่านเผ่าเคอเอ่อร์ชิ่นเงียบไปครู่หนึ่ง ยังคงสีหน้าเคร่งเครียดส่ายหน้ากล่าวว่า
“พวกเราสามารถนำทหารนับแสนออกรบสู้ตาย ผู้คุ้มกันพ่อค้าชาวฮั่นเหล่านั้นอย่างมากก็แค่สามหมื่น เหตุใดต้องไป หากรบกับพวกเขาจริง พวกเราอาจยึดเมืองกุยฮว่าเฉิงได้ ก็เหมือนเผ่าอันต๋า…….”
“ท่านข่าน ทางตะวันตกเรามีศัตรู ทางใต้เราก็มีศัตรู หากออกรบกับเมืองเซวียนฝู่และเมืองจี้โจวของแผ่นดินหมิงเหมือนเมื่อก่อน พวกเราก็ย่อมมีศัตรูขนาบรอบด้าน แม้แต่กระโจมข่านก็อาจไม่สามารถรักษาไว้ได้ และหากหวังทงนำทหารมาเอง กำลังทหารเขาเหนือกว่าเรามาก”
ชนชั้นสูงหนวดขาวยิ่งพูดก็ยิ่งยืดตัวตรงขึ้น ชนชั้นสูงในกระโจมล้วนเริ่มหนักใจ ข่านเวิงกั่วไต้เผ่าเคอเอ่อร์ชิ่นสีหน้าแปรเปลี่ยน สุดท้ายก็ได้แต่ส่ายหน้า ถอนหายใจกล่าวว่า
“ไม่มีตัวหลุน เคอเอ่อร์ชิ่นก็คงไม่ใช่เคอเอ่อร์ชิ่นแล้ว……”
“ท่านข่าน มีท่านข่าน มีทหารม้ากับชาวบ้านที่จงรักภักดีท่านข่าน ที่ใดก็ล้วนมีชาวเคอเอ่อร์ชิ่น หากท่านข่านยอมสละชีพเพื่อรักษาที่นี่ ถึงตอนนั้นไร้คนแล้ว เคอเอ่อร์ชิ่นก็จะสูญสิ้นไปจริงๆ แล้ว”
ชนชั้นสูงหนวดขาวเสียงดังขึ้นเล็กน้อย หมอบคำนับที่พื้นที่ ในกระโจมเงียบไปหมด ชนเผ่าตั้งที่พักตามแหล่งน้ำและต้นหญ้า คนและสัตว์ล้วนต้องการน้ำจึงจะมีชีวิตอยู่ได้ ทุกคนในเผ่าเคอเอ่อร์ชิ่นรวมแล้วก็เกินแสน มีชีวิตอยู่ที่นี่มาหลายยุคหลายสมัย จะบอกให้ไปก็ไปได้อย่างไร ไปจากตัวหลุนเช่นนี้ ก็เหมือนกับเผ่าอันต๋าที่สูญเสียเมืองกุยฮว่าเฉิงกับแม่น้ำถู่ม่อชวน ไม่ต่างอันใดกัน
ไม่ต้องพูดถึงว่าหากต้านทานกลุ่มพ่อค้าชาวฮั่นเมืองกุยฮว่าเฉิงไม่ได้ เผ่าใหญ่เช่นเผ่าเคอเอ่อร์ชิ่นต้องอพยพ อย่างไรก็ต้องมีพวกอิทธิพลอำนาจที่เคยมาพึ่งพาคิดเอาใจออกห่าง หากอพยพจริง เกรงว่าเผ่าเคอเอ่อร์ชิ่นเองอาจต้องสูญสิ้นไปหมดก็ได้
แต่ทว่าไม่ว่าทุกคนอยากจะยอมรับหรือไม่ หลายปีมานี้ แผ่นดินหมิงอยู่ๆ เกิดการเปลี่ยนแปลง เดิมที่เป็นดังแพะอ้วนที่งุ่มง่าม อ่อนแอ อยู่ๆ กลายเป็นเสือหิวที่มีเขี้ยวเล็บและยังกระหายเลือด เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด เสือหิวโซตัวนี้ออกล่าไปทั่วทุกทิศ
เผ่าเคอเอ่อร์ชิ่นไม่ได้ข่าวจากทางตะวันตกของเมืองกุยฮว่าเฉิงมานานแล้ว แต่พอรู้ว่าชนเผ่าทางนั้นถูกบีบให้ถอยร่น ถูกปล้น หรือไม่ก็กลายเป็นรัฐบริวาร ตอนนี้ดูแล้ว โชคชะตานี้คงมาถึงเผ่าเคอเอ่อร์ชิ่นแล้ว เผชิญกับกลุ่มพ่อค้าติดอาวุธ เผ่าเคอเอ่อร์ชิ่นยังอาจชนะ
แต่มีเรื่องหนึ่งที่ทุกคนไม่อยากเอ่ยถึง ผู้ใดก็ไม่รู้นี่เป็นการเริ่มสงครามกับเคอเอ่อร์ชิ่นของแผ่นดินหมิงหรือไม่ หากเปิดศึกตอนนี้ เผ่าเคอเอ่อร์ชิ่นไม่มีแววชนะ
พอเงียบไป สีหน้าทุกคนล้วนย่ำแย่ ข่านเผ่าเคอเอ่อร์ชิ่นสีหน้าเคร่งเครียดหายไปหลายส่วน ถอนหายใจกล่าวว่า
“ทางตะวันตกเป็นศัตรู ทางเหนือเป็นทะเลทราย ทางใต้เป็นแผ่นดินหมิง ทางตะวันออก……ทางตะวันออกก็ไม่ใช่ต้องสู้หรือ?”
พอกล่าวเช่นนี้ บรรยากาศในกระโจมก็ยิ่งหดหู่ลงอีกหลายส่วน เวิงกั่วไต้กัดฟัน ยกมือลูบดาบประจำกาย กำลังจะกล่าววาจาให้กำลังใจก็มีคนกล่าวขึ้นเบาๆ ว่า
“ท่านข่าน กองกำลังหมิงเมืองเหลียวโจวไล่ปราบเผ่าหนี่วิ์เจินแห่งเจี้ยนโจว แต่ไม่ได้ลงมือจริง ๆ แต่ทว่าเป็นแค่วิ่งไล่ตามไปตามเรื่องตามราว กลับไม่ใช่เป็นเผ่าหนี่วิ์เจินเจี้ยนโจวถูกปราบ ตอนนี้ทางนั้นมีคนไม่น้อยไปสวามิภักดิ์เจี้ยนโจว……”
กล่าวถึงตรงนี้ คนในกระโจมมีหรือจะไม่เข้าใจ มีคนยิ้มเยาะดัง กล่าวไม่พอใจว่า
“หากกระต่ายถูกจับหมด อินทรีล่าสัตว์ก็ไร้ความหมาย ชาวฮั่นพวกนั้นย่อมเข้าใจหลักการนี้ดี”
“หรือว่าเป็นเพราะ…”
หมั่งกู่ซือส่งเสียงแสดงความไม่เข้าใจ ในกระโจมเงียบไปหมด
***************
จากด่านประตูหลงเหมินทางตะวันออกเมืองเซวียนฝู่ เดินไปสองวันหนึ่งคืน ผ่านหมู่บ้านเล็กๆ ไปทางตะวันออก 30 ลี้ ก็จะมีป้อมดินล้อม ด้านในมีทหารเผ่าเคอเอ่อร์ชิ่น 2,500 นายประจำการ ยังมีชนเผ่าสองเผ่าใกล้กันให้ความช่วยเหลือ ทั้งหมดก็ราว 4,000 นาย
ผ่านป้อมดินนี้ไป ก็จะข้ามเขาเยี้ยนซาน จากนั้นก็ได้เข้าสู่พื้นที่ตะวันออกของทุ่งหญ้าแล้ว แต่เพราะป้อมดินนี้มีทหารประจำการมาก ไม่ใช่เพราะที่นี่เป็นพื้นที่สำคัญอะไร ความจริงนั้นหากเดินอ้อมไปก็ได้ เพิ่มอีกสองวันเท่านั้น
แต่ที่นี่เป็นพื้นที่สำคัญเพราะที่นี่มีเหมืองทอง เผ่าเคอเอ่อร์ชิ่นทุกปียามต้องการสินค้า อย่างน้อยก็ต้องนำที่ได้จากเหมืองทองนี้ไปซื้อหา ตอนนี้กลุ่มพ่อค้าติดอาวุธเมืองกุยฮว่าเฉิงบุกมาถึงที่นี่แล้ว
[1] ชั้นบรรดาศักดิ์พวกเผ่ามองโกล