องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 936 ตระกูลปัวแห่งหนิงเซี่ย
หวังทงตำแหน่งติ้งเป่ยโหวและผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพร ยังเป็นขุนนางคนสนิทอันดับหนึ่งของฮ่องเต้ว่านลี่ สถานะเช่นนี้ เรื่องใดกันที่ต้องให้ลงมือกระทำด้วยตนเอง
ตั้งแต่เดือนเจ็ดมา องครักษ์เสื้อแพรส่านซีก็มีรายงานลับมามากมาย ว่ารองแม่ทัพหนิงเซี่ยปัวเฉิงเอินคิดการไม่ซื่อ แทบจะในช่วงเวลาเดียวกันกับตั่งเซียงผู้ว่าการมณฑลหนิงเซี่ยมีฎีกาลับถึงเมืองหลวงว่า รองแม่ทัพปัวเฉิงเอินวางอำนาจ ทำตนเหนือกฎหมาย สมคบคิดกับพวกโจรลุ่มน้ำ
หนิงเซี่ยเป็นหนึ่งในเก้าชายแดนแผ่นดินหมิง ติดกับเมืองกานซู่ทางตะวันตกสุด ชายขอบพื้นที่ลุ่มน้ำ ที่เรียกว่าโจรลุ่มน้ำก็เพราะเป็นชนเผ่ามองโกลที่เคลื่อนไหวแถบลุ่มน้ำ
ตั้งแต่สมัยฮ่องเต้อิงจงมา อิทธิพลอำนาจแผ่นดินหมิงแถบลุ่มน้ำทางตะวันตกก็ค่อยๆ อ่อนแอลง ทางการหมิงตกอยู่ในสถานะตั้งรับป้องกันพวกเผ่ามองโกลหลายเผ่าที่เคลื่อนไหวอยู่แถบนั้น
ปัวเฉิงเอิน คำว่า ‘ปัว’ นี้ไม่ใช่แซ่ชาวฮั่น แต่เป็นเผ่ามองโกล พวกที่คุ้นเคยกับเรื่องชายแดนที่สุดย่อมเป็นชาวฮั่นชายแดนกับชนเผ่าบนทุ่งหญ้า
เผ่ามองโกลตั้งแต่สมัยราชวงศ์หยวนก็เข้ามาอยู่บนแผ่นดินจีน ฮ่องเต้จูหยวนจางปฐมฮ่องเต้หมิงขับไล่ออกนอกด่านไปแล้ว ยังมีเผ่ามองโกลไม่น้อยเหลืออยู่ และเพราะการค้าเผ่ามองโกลกับแผ่นดินหมิงรุ่งเรืองยิ่ง ไม่เหมือนกับชนเผ่าอื่นที่ไม่ไปมาหาสู่กัน เผ่าที่กลืนกลายเป็นชาวฮั่นมากหรือเข้าใจวิถีฮั่นก็มักจะมาสวามิภักดิ์เป็นขุนนางแผ่นดินหมิง ในนี้ก็มีพวกทหารเมืองชายแดนมากที่สุด
ชาวมองโกลป่าเถื่อนกว่าชาวฮั่นหลายส่วน บนสนามรบป่าเถื่อนก็แสดงถึงความเก่งกล้าการรบ และพวกเขาเติบโตบนทุ่งหญ้า รบอยู่เมืองชายแดน ก็ยิ่งคุ้นเคยพื้นที่อย่างมาก ดังนั้นหัวหน้าเผ่ามองโกลเป็นขุนนางแผ่นดินหมิง ก็มักสามารถขึ้นสู่ตำแหน่งสูงได้
ปัวเฉิงเอินมีอิทธิพลอำนาจที่เมืองหนิงเซี่ยมาก แม้ว่าเป็นรองแม่ทัพ แต่ผู้บัญชาการกลับทำอะไรไม่ได้ ทุกเรื่องต้องไปถามเขา สาเหตุก็ง่ายมาก ทหารในสังกัดผู้ว่าการมณฑลกับผู้บัญชาการรวมกันแล้วก็แค่พันห้าร้อยกว่า แต่คนของปัวเฉิงเอินมีถึงสองพันสามร้อยกว่า ล้วนเป็นทหารเชี่ยวชาญการรบ
นี่แค่คนในบังคับบัญชาของปัวเฉิงเอิน ยังมีพวกเผ่าจากตะวันตกเฉียงเหนือที่มาขอพึ่งตระกูลปัวอีก ในพวกนี้ก็มีชาวฮั่นและชาวมองโกล คนเหล่านี้เคลื่อนกำลังก็ย่อมเป็นกำลังที่น่าดูชม
อีกทั้งแต่ละชนเผ่าบนทุ่งหญ้า แน่นอนย่อมอยากไปมาหาสู่กับชาวมองโกล ไม่อยากสมาคมกับขุนพลฮั่น ผู้บัญชาการทหารประจำหนิงเซี่ยจางเหวยจงอยู่หนิงเซี่ยจึงไม่มีสิทธิ์มีเสียง คนนอกรู้จักกันแค่รองแม่ทัพปัว ไม่รู้จักแม่ทัพใหญ่จาง
มีอิทธิพลอำนาจเช่นนี้ ตระกูลปัวบนทุ่งหญ้าก็ย่อมมีเผ่าตนเอง มีการค้าชายแดนของตนเอง บ่อเกลือต่างๆ เช่นฮั่วหม่าฉือทางตะวันตกก็มีสองในสามเป็นของตระกูลปัว เท่ากับว่าตระกูลเขาคุมการค้าเกลือหนิงเซี่ยไว้แล้ว และยังส่งไปขายยังส่านซีและในแผ่นดินหมิง ได้รับกำไรมากมหาศาล
ในมือมีทหาร และยังมีแหล่งเงินทอง คบหาคนกว้างขวาง ความเหิมเกริมก็ยากจะระงับ ปีนี้ปัวเฉิงเอินแค่ 35 แต่สามารถมาถึงสถานะนี้ได้ ไม่ใช่เพราะเขาองอาจกล้าหาญ แต่เป็นเพราะบิดาเขา ปัวไป้
ปัวไป้ในรัชสมัยฮ่องเต้เจียจิ้งปีที่ 33 ก็มาสวามิภักดิ์แผ่นดินหมิง อาศัยความชอบจากสงครามค่อยๆ ก้าวขึ้นตำแหน่งขุนพลภาค อายุ 56 ตอนนั้นก็เป็นรองแม่ทัพก่อนปลดประจำการ จากนั้นก็มอบตำแหน่งต่อให้บุตรชายตนปัวเฉิงเอิน
หนิงเซี่ยกับกานซู่กานซู่นับเป็นชายแดนตะวันตกแผ่นดินหมิง มีเผ่าอยู่กันหลากหลาย ระเบียบธรรมเนียมสู้เมืองชายแดนทางตะวันออกไม่ได้ และมักใจกว้างกับหัวหน้าเผ่ามองโกลอยู่มาก
ปัวไป้แม้อายุมากและเกษียณแล้ว แต่เขายังคงเป็นผู้ใหญ่ในหนิงเซี่ย รับใช้กองทัพมานานปี ขุนพลทหารใหญ่น้อยเมืองหนิงเซี่ยย่อมเป็นรุ่นหลังของเขา แม้แต่ผู้บัญชาการจางเหวยจงต่อหน้าเขายังต้องก้มหัว ต้องนอบน้อมเกรงใจ
หลายเรื่องผสมกัน ทำให้ตระกูลปัวในเมืองหนิงเซี่ยสามารถเรียกได้ว่าเป็นเจ้าผู้ครองแต่ผู้เดียว รองแม่ทัพคนเดียวครองทั้งระบบ ผู้บัญชาการทหารประจำหนิงเซี่ย ผู้ว่าการมณฑลหนิงเซี่ยอยู่ที่นั่นไร้เงินทองเข้ากระเป๋า ยังต้องถูกกดขี่ แน่นอนความขัดแย้งมากมาย แค่คิดก็รู้ได้ ฎีกาลับไม่ได้กล่าวถึงดีนัก
หากเพียงแค่ผู้ว่าการมณฑลกับผู้บัญชาการ หรือกระทั่งขันทีคุมกำลังไม่พอใจ ราชสำนักทั้งหลายย่อมไม่มีผู้ใดใส่ใจ ระบบบู๊บุ๋น ระบบสมดุลอำนาจ เป็นเรื่องที่ราชสำนักต้องการเห็น
หากผู้บัญชาการส่านซีสามชายแดนกลับไม่มีวาจาให้ร้ายใด ตระกูลปัวเหิมเกริมส่วนเหิมเกริม เงินที่มอบเป็นสินบนแสดงความกตัญญูไม่เคยขาด ควรจ่ายก็ล้วนจ่าย
เรื่องเช่นนี้เรียกได้ว่าเป็นเรื่องสกปรกในวงการขุนนาง คุยกันยิ้มแย้มก็จบ หากจะทำให้สำนักองครักษ์เสื้อแพรต้องส่งคนไปดู ก็เป็นสิ่งไม่จำเป็น สำหรับองครักษ์เสื้อแพรแล้ว แม้ว่าเป็นนายกองพันส่งจากเมืองหลวงก็เรียกได้ว่ามากเกินไป
แต่ทว่าหวังทงพอได้รับข่าวนี้กลับไม่คิดเช่นนี้…..
**************
ทุกเรื่องล้วนสัมพันธ์กัน มีเหตุก็ย่อมมีผล หวังทงยึดเมืองกุยฮว่าเฉิงได้ สถานการณ์อิทธิพลอำนาจบนทุ่งหญ้า ท่าทีความคิดของเผ่าต่างๆ บนทุ่งหญ้าล้วนเปลี่ยนไป
หนิงเซี่ยตั้งเผชิญกับที่ราบลุ่มน้ำ ตอนเผ่าอันต๋าเป็นใหญ่บนทุ่งหญ้า เมืองหนิงเซี่ยก็ป้องกันเป็นหลัก ศัตรูก็คือกองกำลังจากเผ่าอันต๋า
เผ่าอันต๋าเป็นใหญ่บนทุ่งหญ้าแต่ผู้เดียว ความจริงนั้นเผ่ามองโกลด้วยกันอื่นๆ ไม่ยินยอม เป็นอิสระด้วยตนเองย่อมมีสุขกว่า ไยต้องไปอยู่ใต้ผู้อื่นด้วย ทำไมต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อเผ่าอันต๋าด้วย?
และเพราะคิดเช่นนี้ ปัวไป้กับปัวเฉิงเอินที่หนิงเซี่ยบนทุ่งหญ้าจึงราวกับปลาได้น้ำ ได้รับการช่วยเหลือด้านต่างๆ มีหลายเผ่าใหญ่ล้วนมาร่วมเป็นพันธมิตรกับตระกูลปัว
เผ่าอันต๋าไม่อาจจะรบกับแผ่นดินหมิงอยู่ตลอด จึงได้สั่งให้ผู้ใต้บังคับอย่าได้เข้าใกล้กำแพงเมืองแผ่นดินหมิง
ความจริงนั้นเป็นการเปิดโอกาสให้ตระกูลปัวหนิงเซี่ยกับบางชนเผ่า แผ่นดินหมิงกลัวเผ่าอันต๋าจนไม่กล้าออกนอกด่าน เผ่าอันต๋าเพื่อการค้าจึงไม่เข้าใกล้กำแพง ผลก็คือพื้นที่อุดมสมบูรณ์ลุ่มน้ำนอกกำแพงเมืองหนิงเซี่ย กลายเป็นพื้นที่อิทธิพลตระกูลปัวไป
ตระกูลปัวนำสินค้าบนทุ่งหญ้าและสัตว์เลี้ยงส่งไปยังแผ่นดินหมิง จากนั้นนำสินค้าแผ่นดินหมิงสู่ทุ่งหญ้า เรื่องนี้ทำกำไรมาก ถึงกับแม้แต่เผ่าอันต๋ายังมาหาซื้อที่นี่
ยามชายแดนมีแจ้งเตือนภัย ตระกูลปัวมักได้ข่าวเป็นที่แรกบนทุ่งหญ้า พวกเขาจะส่งทหารทำทีออกไปรบปลอมๆ อีกฝ่ายก็จะยอมถอยให้ ถึงกับปล่อยให้เผ่าเล็กถูกตระกูลปัวกินไป กลายเป็นผลพลอยได้จากสงครามของตระกูลปัว
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ อิทธิพลอำนาจตระกูลปัวแน่นอนนับวันยิ่งยิ่งใหญ่ขึ้น สถานะตระกูลปัวนับวันยิ่งสูงส่ง
ทหารม้าสามพันของตระกูลปัวไม่ใช่ตัวเลขที่มีให้ตกใจเล่นๆ เพราะล้วนเป็นเผ่ามองโกลเสียมาก เลี้ยวพวกเขาถูกกว่าเลี้ยงทหารชาวฮั่นแผ่นดินหมิงมาก และยังองอาจกล้าหาญ
ปัวไป้กับปัวเฉิงเอินล้วนเคยนำทหารติดตามออกรบกับทหารม้าเผ่าอันต๋าหลายครั้ง ต่างบาดเจ็บล้มตาย แม้ไม่ได้ชัยชนะใหญ่ แต่ก็มีหัวศัตรูติดมือกลับมา ไม่ได้เสียเปรียบ สามารถทำได้เช่นนี้ สำหรับขุนพลแผ่นดินหมิงเรียกได้ว่ามีผลสำเร็จที่ไม่เลวแล้ว กานซู่ เหยียนสุย อวี้หลิน กู้หยวน เมืองชายแดนชายแดนเหล่านี้ ผู้ใดก็ไม่กล้าไป
แต่ทว่าทุกอย่างที่นี่ทั้งหมดทั้งสิ้นก็เปลี่ยนไปหลังจากหวังทงนำทหารยึดเมืองกุยฮว่าเฉิงได้ เผ่าอันต๋ารวมกำลังทหารม้าหลายหมื่นรบกับทัพใหญ่หวังทง ปรากฏพ่ายแพ้หมดสิ้น เมืองกุยฮว่าเฉิงแทบถูกวาดล้างหมดสิ้น ผู้ใดก็คิดไม่ถึงว่าเวลาไม่ถึงเดือนพวกที่ทรงอิทธิพลอำนาจบนทุ่งหญ้าก็สูญสิ้นไปราวกับหมอกควัน
อิทธิพลอำนาจเผ่าอันต๋าสูญสิ้นไป เมืองชายแดนแต่ละเมืองนอกจากตะลึงแล้วก็ล้วนมีปฏิกิริยา ปฏิกิริยาตระกูลปัวเมืองหนิงเซี่ยก็คือส่งทหารออกไปล้อมพื้นที่ ยึดครองพื้นที่แถบลุ่มน้ำไปไม่น้อย ในช่วงเวลานี้ อิทธิพลตระกูลปัวยิ่งเกรียงไกรแต่ช่วงเวลาฝันหวานก็ดำเนินมาถึงแค่ตอนนี้แล้ว
รูปแบบและกระบวนการขยายตัวของกลุ่มพ่อค้าเมืองกุยฮว่าเฉิงก็คือกลุ่มพ่อค้าติดอาวุธเมืองกุยฮว่าเฉิงขยายอิทธิพลไปทางพื้นที่กว้างใหญ่ทางตะวันตกของเมืองกุยฮว่าเฉิงด้วยการสังหารปล้นชิง อิทธิพลอำนาจตระกูลปัวบนทุ่งหญ้าล้วนเป็นเผ่ามองโกลน้อยใหญ่ ชนเผ่าพวกนี้เป็นดังก้อนเนื้ออวบอิ่มในสายตากลุ่มพ่อค้าเมืองกุยฮว่าเฉิง
ตนเองตีได้ก็ตีมา ตีไม่ได้ก็ใส่ความว่าเป็น ‘พวกที่เหลือจากเผ่าอันต๋า’ กลับมาเมืองกุยฮว่าเฉิงขอกำลังทหารไปจัดการ
อิทธิพลอำนาจตระกูลปัวในแถบลุ่มน้ำเสียหายหนัก แต่ไม่ส่งเสียงเอะอะ เพราะตอนเผ่าอันต๋ายังอยู่ ชนเผ่าเหล่านี้ตระกูลปัวล้วนมองว่าเป็น ‘ศัตรู’ ทิ้งไว้บนทุ่งหญ้า หากเอาความเสียหายนี้ไปฟ้อง อย่างไรก็ต้องมีความผิดฐานสมคบคิดกับประเทศศัตรู
กลุ่มพ่อค้าเมืองกุยฮว่าเฉิงไม่พูดถึง กล่าวถึงคหบดีแถบส่านซีและกานซู่กับขุนพลทหารเมืองชายแดนแต่ละกลุ่มอิทธิพล ทุกกลุ่มย่อมออกมาจับจองพื้นที่ เดิมเกรงกลัวพวกนอกด่านราวกับกลัวเสือ แต่ตอนนี้เผ่าอันต๋าที่เหมือนเป็นอุปสรรคใหญ่หายไป ที่เหลือก็ย่อมใช้กำลังเข้านำชัยแล้ว
และพวกเขาคุ้นเคยพื้นที่ดี รู้ว่าจะร่ำรวยทางใด เมื่อก่อนผลประโยชน์ใหญ่ที่เคยเป็นของตระกูลปัว ก็ค่อยๆ ถูกแย่งชิงไป บ่อเกลือถูกคนครอบครองไป การค้าชายแดนถูกบีบ ตระกูลปัวอยู่เมืองหนิงเซี่ยมีอำนาจมาก แต่ที่ส่านซีจะไปกระไรนักหนา หรือว่าเทียบกับผู้ว่ามณฑลส่านซีได้ ทุกคนล้วนต้องการรวย เจ้าเป็นแค่ขุนพลทหาร อย่างไรก็เข้าไปยืนดูข้างทางเฉยๆ ดีกว่า!
พื้นที่เดิมตระกูลปัวเริ่มถูกรุกราน ชนเผ่าไม่น้อยเดิมที่ขึ้นกับตระกูลปัว ตอนนี้ล้วนไปหาพ่อค้าเมืองกุยฮว่าเฉิง หรือไม่ก็หากลุ่มอิทธิพลส่านซีสวามิภักดิ์แทน
เดิมที่ค่อยๆ ก้าวขึ้นสู่อำนาจ อยู่ๆ มาเป็นเช่นนี้ ตระกูลปัวจะทนได้อย่างไร ในใจย่อมต้องเคียดแค้น
หากมีแค่เขาตระกูลเดียวก็แล้วไป แต่ชนเผ่าต่างๆ แถบลุ่มน้ำนี้ เช่น เผ่าที่ใหญ่สุดอย่างหั่วลั่วชื่อ เป็นขุนพลทหารที่ หนิงเซี่ยกับกานซู่ หลังเผ่าอันต๋าถูกทำลายลง กลุ่มพ่อค้าเมืองกุยฮว่าเฉิงบนบนทุ่งหญ้าก็เหิมเกริมสร้างความเสียหายหนักให้ จนพวกเขาไม่อาจได้รับผลประโยชน์ใดอีก
ตระกูลปัวไม่ต้องพูดถึง เผ่าหั่วลั่วชื่อเปื้อนเลือดแผ่นดินหมิงมากมาย ถึงกับตอนขบวนการค้าเมืองกุยฮว่าเฉิงมาใหม่ๆพวกเขาถึงกับคิดว่าแพะตัวอ้วนมาแล้ว ต้องกัดกินสักสองสามคำ มีปัญหากับกลุ่มพ่อค้าเมืองกุยฮว่าเฉิงอย่างไม่อาจร่วมโลก เผ่าหั่วลั่วชื่อเป็นเผ่าใหญ่คนนับหมื่น กลุ่มพ่อค้าเมืองกุยฮว่าเฉิงกับตระกูลใหญ่ส่านซีและกานซู่ล้วนจับจ้องระวัง
สถานการณ์ขุนพลทหารหนิงเซี่ยกับกานซู่ส่วนใหญ่ไม่ต่างกับตระกูลปัว ล้วนอาศัยสถานการณ์แผ่นดินหมิงไม่ลงรอยกับอันต๋าแทรกตัวเข้ามา ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปมาก พื้นที่ที่เขาคุ้นเคยกับอำนาจนอกด่านเริ่มหายไป แน่นอนเริ่มเปลี่ยนไปในทิศทางลง
ทุกคนล้วนไม่พอใจคับแค้นเต็มทน ตระกูลปัวแห่งเมืองหนิงเซี่ยเป็นตระกูลใหญ่ระดับหัวหน้าทางตะวันตกเฉียงเหนือ ทุกคนย่อมยกให้เป็นหัวหน้ากลุ่ม เป็นกลุ่มที่เต็มไปด้วยความคับแค้นใจ
กลุ่มคับแค้นนี้มองกลุ่มพ่อค้าเมืองกุยฮว่าเฉิงเป็นศัตรู มองพวกอิทธิพลในส่านซีและกานซู่เป็นดังคู่แค้น แค้นชาวฮั่น และแค้นแผ่นดินหมิง