องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 937 ไม่ร้อนใจรับมือ ไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึง
กินตำแหน่งไม่ปฏิบัติงาน ไร้สามารถราวกระสอบหญ้า หวังทงวิจารณ์ผู้บัญชาการทหารประจำหนิงเซี่ยจางเหวยจงกับผู้ว่าการมณฑลหนิงเซี่ยตั่งเซียง ผู้ว่าการมณฑลกับผู้บัญชาการทหารเป็นขุนนางบุ๋นบู๊อันดับต้นในเมือง สามารถรายงานราชสำนักได้โดยตรง ตระกูลปัวที่หนิงเซี่ยเป็นใหญ่ข่มบารมีพวกเขามานานเช่นนี้ พวกเขากลับยื่นฎีกาแค่รับสินบนและเหิมเกริมเท่านั้น
เมืองชายแดนทั้งเก้าล้วนมีนายกองพันองครักษ์เสื้อแพรประจำอยู่ เดิมนายกองพันที่หนิงเซี่ยเป็นชาวมองโกล ว่ากันว่าเป็นดังสุนัขของตระกูลปัวก็เหมือนจะเกินไป หากกล่าวว่าเป็นคนเฝ้าประตูตระกูลปัวก็เหมือนยกไป
หลังยึดเมืองกุยฮว่าเฉิงมาได้ พื้นที่ลุ่มน้ำต้องการคนของตนไปดูแล หวังทงจึงส่งคนที่เชื่อใจได้ไปเปลี่ยนตัว
นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรแม้ว่าเป็นคนจากเมืองกุยฮว่าเฉิงไปประจำการ นำคนของตัวเองไปด้วย แต่พอไปถึงหนิงเซี่ย ก็เหมือนคนไม่คุ้นเคยพื้นที่ แม้ว่าไม่คุ้นเคย แต่ก็ยังวิเคราะห์ได้เช่นนี้
หวังทงเชื่อคนของตน การจะใส่ความรองแม่ทัพว่าคิดกบฏนั้น มีโทษประหารล้างชั่วโคตร
หลังได้ข่าวที่แน่นอนนี้แล้ว ไปอ่านฎีกาผู้บัญชาการทหารประจำหนิงเซี่ยกับผู้ว่าการมณฑลหนิงเซี่ย เทียบพิสูจน์กัน ก็ยิ่งรู้สึกมั่นใจในข่าวนี้
เมื่อก่อนตระกูลปัวแม้ว่าละโมบเหิมเกริม แต่อย่างไรก็ยังคงเป็นขุนนางแผ่นดินหมิง เวลาไม่ถึงสองปี ก็เปลี่ยนแปลงไปเช่นนี้ ต้องสืบไปถึงต้นตอ หวังทงมักจะสืบเรื่องราวจากต้นตอ การวิเคราะห์เช่นนี้ทำให้คนไม่อาจกล่าวค้านได้ แต่ทว่าหวังทงมาอยู่ในยุคสมัยนี้ ยุคสมัยแห่งวงการราชสำนักนี้ มีคนลอยขึ้น มีคนจมลง ไม่ใช่ที่หวังทงจะคิดตามได้ หรือเปลี่ยนแปลงได้
ข่าวช่องทางที่สองจากองครักษ์เสื้อแพรเมืองหนิงเซี่ยมาถึง ประกอบกับข่าวกานซู่กับส่านซีแต่ละแห่งพิสูจน์แล้ว ก็พอจะรับรองได้ว่าที่ว่ามานั้นไม่ผิดพลาด หวังทงจึงได้กราบทูลฮ่องเต้ว่านลี่ในเรื่องนี้
เรื่องใหญ่เช่นนี้ รองแม่ทัพต่างเชื้อชาติเมืองชายแดนคิดกบฏ ก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่เท่าไร แต่จะบอกว่าเล็ก อย่างไรก็แม่ทัพชายแดนจะก่อกบฏ ราชสำนักอย่างไรก็ต้องให้ความสำคัญ
หากตระกูลปัวก็ยังไม่ได้มีท่าทีชักธงรบเป็นทางการ รายงานองครักษ์เสื้อแพรก็เพียงแค่วิเคราะห์ ในการประชุมขุนนาง ก็แค่วาจาคาดเดา ว่าหนิงเซี่ยทางนั้นรู้สึกจะไม่สงบ
ไม่ว่าขันทีฝ่ายในหรือขุนนางราชสำนัก ต่างก็คุ้นเคยกับวาจาที่กล่าวกับในวงการขุนนางเช่นนี้ กล่าวว่าหนิงเซี่ยไม่สงบ แปดเก้าส่วนย่อมใกล้เกิดเหตุกบฏ
แน่นอน เพราะยึดเมืองกุยฮว่าเฉิงได้ เป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ทำให้ตระกูลปัวหนิงเซี่ยคิดการไม่ซื่อ แต่ก็ยังไม่เกิดในตอนนี้
แม้ว่าขุนนางใหญ่ราชสำนักไม่รู้สึกดีกับหวังทง แต่อย่างไรก็ไม่อาจไม่ยอมรับว่า หลังหวังทงปรากฏตัว ราชสำนักไม่ต้องมาร้อนใจเรื่องปัญหาการทหารอีก แผ่นดินหมิงอยู่ ๆ ก็กลายเป็นประเทศการทหารเข้มแข็งขึ้นมา
เส้นทางบนทุ่งหญ้าเมืองกุยฮว่าเฉิงไปหม่านเท่าเอ๋อร์เกิดเรื่อง เมืองหลวงล้วนรับรู้ว่ามีหลายตระกูลอยู่ๆ ร่ำรวยใหญ่ เช่นว่าตระกูลเซียงเฉิงป๋อที่คุมกำลังเมืองหลวง ส่งทหารไปรบบนทุ่งหญ้า ขุนนางใหญ่ราชสำนักกับขันทีฝ่ายในก็ไปร่วมด้วย
ไม่ได้ใช้กำลังกองทัพ ไม่ได้ใช้ทหารในสังกัดขุนพล อาศัยแค่กลุ่มฝึกต่อสู้ก็สามารถตีเอามาได้ เมื่อก่อนพวกนอกด่านบนทุ่งหญ้าถูกทหารชายแดนหมิงพูดเสียอย่างกับว่าเป็นเสือเป็นหมาป่าโหดร้าย ทุกปีราชสำนักต้องส่งเงินไปเป็นเบี้ยสงคราม ไม่เห็นเคยรบชนะสักครั้ง แต่เรื่องพวกนี้พอมาตกในมือหวังทงก็ทำได้ง่ายราวปอกกล้วย
เมืองหนิงเซี่ยไม่สงบจะไปกระไรนัก เมืองหนิงเซี่ยหลายปีนี้ เคยรบกับโจรลุ่มน้ำกับเผ่าอันต๋ามา หวังทงเป็นขุนพลทำลายเผ่าอันต๋า เทียบกันแล้ว นับว่าไม่กระไรนักจริงๆ
*************
“ฝ่าบาท เพราะราชสำนักยกเมืองชายแดนมากไป ยกขุนพลชายแดนมากไป พวกเขาคิดว่าทุกเรื่องตนเองควรได้ประโยชน์ ทุกเรื่องไม่ควรให้ตนเองต้องลำบาก พอมีคลื่นลม ก็เริ่มไม่สงบ ดังนั้นกระหม่อมว่า เมืองชายแดนควรปรับระบบใหม่!”
ตอนเข้าเฝ้าส่วนตัว เรื่องเมืองหนิงเซี่ยกลายเป็นเหตุให้หวังทงคิดปรับระบบเมืองชายแดน ฮ่องเต้ว่านลี่กำลังทรงรู้สึกไม่ดีกับเมืองชายแดน ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ ก็ยิ่งตอกย้ำ
“ฝ่าบาท เรื่องนี้ทรงคิดให้รอบคอบ ตอนนี้เอาทีละเรื่องก่อนดีกว่า!”
ฮ่องเต้ว่านลี่เรียกเข้าเฝ้าส่วนพระองค์ สีพระพักตร์ตื่นเต้น คนสนิทข้างพระวรกายสามารถวิเคราะห์ได้จากสีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ จางเฉิงแน่นอนมองออก อย่างไรก็ต้องเตือนสักคำ จากนั้นทูลต่อว่า
“ฝ่าบาท เมืองชายแดนทั้งเก้าคุมกันและกัน แต่หากเปลี่ยนระบบเมืองชายแดน และหากลงมือตอนนี้ หากเมือง หนิงเซี่ยเกิดเหตุ และยังเรื่องเปลี่ยนระบบ เกรงว่าเมืองชายแดนอื่นก็จะไม่สงบไปด้วย ถึงตอนนั้นก็จะเกิดเหตุกบฏใหญ่”
นี่เป็นความคิดที่ละเอียดรอบคอบ เมืองชายแดนเปลี่ยนระบบ ย่อมทำให้กลุ่มเมืองชายแดนสูญเสียผลประโยชน์ หากเอ่ยขึ้นตอนนี้ และเกิดเมืองหนิงเซี่ยไม่สงบขึ้นมานำ เป็นเหตุให้ทุกที่เกิดตาม ก็ย่อมทำให้เกิดความยุ่งยากใหญ่
เหตุผลนี้ จางเฉิงเข้าใจ ฮ่องเต้ว่านลี่กับหวังทงก็เข้าใจ จางเฉิงยังเอาแต่พร่ำเตือนไม่หยุด หวังทงอดหรี่ตามองจางเฉิงไม่ได้ พบจางเฉิงก็ดูปกติดี
เมื่อครู่คงเป็นแค่วาจาเตือนสติ ไม่ได้เจตนาส่งสัญญาณใด เห็นสีหน้าจางเฉิงเป็นห่วง ในใจหวังทงก็โล่ง พลางทอดถอนใจ จางเฉิงแก่แล้ว
ขันทีในวังกับขุนนางในราชสำนัก อายุราว 70 กันมาก ถึงกับ 80 กว่าก็มี การตัดสินใจล้วนว่องไว ปฏิกิริยาไวมาก หากแต่ละคนไม่เหมือนกัน จางเฉิงเห็นได้ชัดว่าความคิดการอ่านอ่อนกำลังลงเร็วมาก
ฮ่องเต้ว่านลี่ได้แต่พยักพระพักตร์ตรัสเรียบๆ ว่า
“จางปั้นปั้นว่ามาได้มีเหตุผล”
หวังทงยิ้มกล่าวว่า
“ขอจางกงกงวางใจ หวังทงรู้หนักเบา พูดกันเองที่นี่ก่อนว่า การเปลี่ยนระบบชายแดนนั้นต้องวางแผนกันอีกนาน ไม่เร่งร้อนในตอนนี้”
“ตระกูลปัวเมืองหนิงเซี่ยแม้ว่าจำกัดอยู่ในพื้นที่หยิบมือ แต่ทว่าทหารตระกูลปัวก็เก่งการรบ ที่เมืองแถบส่านซีและกานซู่น่าจะเรียกได้ว่าระดับแนวหน้า อย่างไรก็ควรป้องกันเหตุไว้ก่อน จัดการก่อนเกิดเหตุ พื้นที่ตะวันตกเฉียงเหนือสถานการณ์ซับซ้อนอยู่ อย่าได้ปล่อยให้เกิดเรื่องจนไม่อาจจัดการได้”
หวังทงลังเลสงสัยครู่หนึ่ง ถวายบังคมทูลว่า
“ฝ่าบาท กระหม่อมอยากไปหนิงเซี่ยสักครั้ง ไปจัดการสถานการณ์นี้ให้ฝ่าบาท”
ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ขมวดพระขนงตรัสถามขึ้น
“เจ้าจะนำกองกำลังหู่เวยไปไหม?”
“หากเคลื่อนกองกำลังหู่เวย ไม่ทันการณ์ และเหมือนจะใช้กำลังมากไป หากตระกูลปัวไม่ได้คิดการใด ได้ยินข่าวก็คงตกใจ”
ฮ่องเต้ว่านลี่กลับทรงแปลกพระทัย และเป็นห่วงอยู่บ้าง นิ่งไปก่อนจะตรัสว่า
“เจ้าอย่าได้แสร้งว่าเข้มแข็ง พวกป่าเถื่อนเมืองชายแดนทางตะวันตกเฉียงเหนือไม่ใช่ทางนี้ หากบีบพวกเขาจนมุม พวกเขาก็ย่อมไม่สนใจอันใดและจะก่อกบฏลงมือเข่นฆ่าทันที เจ้าตอนนี้สถานะสูงส่ง ไม่ต้องไปเสี่ยงภัย การปลอมตัวเป็นชาวบ้านไปสืบความ หรือแอบสืบคดี ล้วนเป็นเรื่องเล่นกันในงิ้ว เจ้าอย่าไปทำเรื่องโง่ๆ เช่นนั้นตามเลย”
เจ้าจินเลี่ยงปากขยับคิดจะยิ้ม แต่อย่างไรก็อยู่ข้างพระวรกายฮ่องเต้ จึงได้แต่กลั้นไว้ หวังทงกลับกลั้นยิ้มไม่อยู่ ถวายคำนับทูลว่า
“กระหม่อม ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเป็นห่วง กระหม่อมครั้งนี้ไปหนิงเซี่ย จะนำแค่ทหารติดตาม ไม่เสี่ยงก่อเหตุ ฝ่าบาท กองกำลังหู่เวยแม้ว่าไม่เคลื่อน แต่กระหม่อมไปทางนั้นก็จะนำกำลังไปไม่น้อยกว่าตระกูลปัว”
“กำลังจากเมืองชายแดนส่านซี? เกรงว่าจะแหวกหญ้าให้งูตื่น ตระกูลปัวทางตะวันตกเฉียงเหนือมีคนแอบแจ้งข่าวไปไม่น้อย ไม่เหมาะ”
“ฝ่าบาท ตอนนี้บนทุ่งหญ้ากลุ่มพ่อค้าติดอาวุธเปิดศึกกับพวกนอกด่าน ก็คือกำลังที่กระหม่อมจะใช้ครั้งนี้”
หวังทงตอบอย่างไม่ปิดบัง ฮ่องเต้ว่านลี่เงียบไปครู่หนึ่ง แม้ว่ากลุ่มพ่อค้าติดอาวุธแต่ทว่าเป็นกลุ่มต่อสู้กล้าแกร่ง ไม่ค่อยได้ยินว่าพ่ายแพ้บนทุ่งหญ้า แสดงให้เห็นว่ากลุ่มพ่อค้าติดอาวุธกำลังรบไม่อ่อนแอ
“พวกเขาจะฟังคำสั่งเจ้าหรือ?”
การต่อสู้บนทุ่งหญ้ามีข่าวส่งกลับมาไม่น้อย พวกพ่อค้าเห็นแต่ประโยชน์ลืมคุณธรรม กลุ่มติดอาวุธในสังกัดพ่อค้าล้วนมีแผนงานของตน เรื่องแผนงานที่คิดจะทำนั้นฮ่องเต้ว่านลี่แน่นอนย่อมทรงรู้ พ่อค้าปกติไม่ฟังคำสั่งทางการก็เท่ากับรนหาที่ตาย แต่พ่อค้าบนทุ่งหญ้าล้วนมีเบื้องหลังยิ่งใหญ่ สายสัมพันธ์มากมาย แตะต้องง่ายๆ ไม่ได้ ไม่ทำผิดก็ไม่อยากจะสนใจ
แต่หวังทงครั้งนี้จะปฏิบัติการที่เรียกได้ว่าอันตรายอย่างมาก หากเหล่านี้กลุ่มพ่อค้าติดอาวุธไม่ฟังคำสั่ง ก็ย่อมเกิดเภทภัยใหญ่ได้ง่าย
“ขอฝ่าบาทวางพระทัย พวกเขาอยู่บนแผ่นดินฝ่าบาท ได้รับพระเมตตาฝ่าบาทปกป้อง หากเรื่องเล็กแค่นี้ไม่ฟังคำสั่ง ก็ย่อมไม่ใช่ข้าแผ่นดินหมิง”
หวังทงถวายคำนับอีก ฮ่องเต้ว่านลี่อึ้งไป หากก็ยังคงพยักพระพักตร์
*************
หวังทงยืนมั่นในเมืองหลวงแล้ว ทุกอย่างในเมืองหลวงก็จัดการไปตามระบบ วันเวลาเรียบง่าย แต่ทว่าหลี่ว์วั่นไฉแอบคุยส่วนตัวกับหวังทง หากมีโอกาสได้ออกไปปฏิบัติงานนอกเมืองหลวง ก็ควรออกไปสักครั้ง
“ทำไม?”
“เมื่อก่อนองครักษ์เสื้อแพรมีบารมีเกรียงไกรเช่นน้องหวังที่ไหนกัน กุมอำนาจองครักษ์ฝ่ายใน กุมอำนาจสายสืบ สายสัมพันธ์กับกองกำลังวังหลวงยังแนบแน่น สายสัมพันธ์กับขันทีในวังก็ดีเช่นนี้ ยังมีความดีความชอบใหญ่อีก หากเจ้าอยู่เมืองหลวง ย่อมส่งผลกระทบต่อบารมีฝ่าบาท หากเจ้าไม่ขยับก่อน เกิดฝ่าบาททรงรู้สึกได้ แม้เป็นขุนนางคนสนิทเพียงใด ก็ย่อมเกิดความระแวง”
วาจาจากใจ และเป็นความจริง หวังทงจดจำไว้ในใจ ครั้งนี้ในการประชุมขุนนางก็เอ่ยออกมา ตามธรรมเนียมปกติ องครักษ์เสื้อแพรล้วนคอยรับใช้ข้างพระวรกาย ไม่มีเหตุผลที่จะออกไปนอกเมืองหลวง แต่ทว่าหวังทงเสนอ ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงอนุญาต ก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำการวิเคราะห์ของหลี่ว์วั่นไฉ
หวังทงต้องการกำลังกลุ่มพ่อค้าเมืองกุยฮว่าเฉิง ดังนั้นจึงไม่อยากให้พวกเขาอยู่ที่หม่านเท่าเอ๋อร์นานไป จึงแอบส่งปืนใหญ่ไปช่วยกลุ่มพ่อค้าติดอาวุธยึดหม่านเท่าเอ๋อร์ จากนั้นก็ออกคำสั่งให้เมืองกุยฮว่าเฉิงเตรียมกำลังรอคำสั่ง ออกปฏิบัติการได้ตลอดเวลา
ถานเจียงอยู่เมืองกุยฮว่าเฉิง แต่ที่หม่านเท่าเอ๋อร์ล้วนไม่อาจบัญชาการกลุ่มพ่อค้าติดอาวุธ หวังทงไม่อยู่เมืองกุยฮว่าเฉิงนาน พูดอะไรก็ใช่ว่าจะได้ผล
หวังทงมีคำสั่งไปยังเมืองกุยฮว่าเฉิงง่ายมากว่า ‘ไม่ฟังคำสั่ง ก็อย่าได้ทำการค้าบนทุ่งหญ้าอีกเลย’