องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 938 บุตรชายนามหวังเซี่ย เดินทางยากลำบาก
ขณะเมืองหลวงเตรียมการกันอย่างแข็งขัน เดือนเก้าเป็นเรื่องมงคลใหญ่สำหรับหวังทง หานเสียคลอดลูกชายให้หวังทง
ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรหวังทงมีทายาทแล้ว เป็นเรื่องมงคลใหญ่ ในวังมีพระราชทาน เพื่อนสนิทมิตรสหายมาอวยพร ตนเองนั้นไม่ต้องพูดถึง ติ้งเป่ยโหวสถานะเช่นนี้ บุตรชายคนโตก็ย่อมมีตำแหน่งบรรดาศักดิ์ แม้ว่าเป็นทารก แต่ก็มั่นใจในวันหน้ามีแต่วาสนา
หวังทงตัวคนเดียว นางหม่าแม้ว่านับเป็นผู้ใหญ่ แต่เรื่องตั้งชื่อก็ไม่อาจข้องเกี่ยว เรื่องนี้ก็สร้างความลำบากใจให้หวังทง ไม่มีประสบการณ์เลยจริงๆ
ระยะนี้เรื่องราวเกี่ยวกับเมืองหนิงเซี่ยกับรายงานลับมีมามาก ทำให้หวังทงคิดได้ว่า เขาจะตั้งชื่อบุตรชายตนเองว่าหวังเซี่ย
ชื่ออักษรตัวเดียว ก็ไม่อาจวิจารณ์ว่าดีหรือไม่ ทุกคนย่อมไม่รู้ว่าหวังทงคิดจากเรื่องนี้ พอได้ยินก็ล้วนชื่นชมว่า ‘ฟังแล้วดังกังวานดี’ เรื่องอื่นไม่อาจกล่าวอันใดได้
บุตรชายคนโตเกิดมา แน่นอนทำให้ตระกูลหวังมีความสุขกันมาก หานเสียไม่ต้องพูดถึง หานกังก็ดีใจแทบตาย ว่ากันว่าพอข่าวนี้ไปถึงวังหานไท่ผิงก็ดีใจจนแทบลืมหายใจ
ลูกเพิ่งเกิด หานเสียยังต้องพักรักษาตัว หวังทงได้แต่อยู่บ้านครบเดือน ไม่อาจอยู่รอครบร้อยวัน เพราะมีภารกิจที่เมืองหนิงเซี่ย
ทุกเดือนสิบสอง ปีใหม่ต้องปฏิบัติงาน เรื่องพวกนี้หวังทงชินเสียแล้ว และไม่รู้ว่าบังเอิญหรืออย่างไร ภรรยาในบ้านได้แต่ยิ้มรับ
ไปครั้งนี้แน่นอนไม่อาจเหมือนกับการไปเมืองกุยฮว่าเฉิงที่เอิกเกริก หวังทงนำทหารในสังกัดไปร้อยกว่า หม่าซานเปียวกับเฉินต้าเหอก็ตามไปด้วย
กองกำลัง 120 คนล้วนขี่ม้าไป สัมภาระก็ให้ม้าลากไป ทุกคนล้วนแต่งกายเป็นพ่อค้า ออกจากเมืองหลวงยามฟ้ามืดประตูเมืองใกล้ปิด
เมืองหลวงคนมาก หูตาก็มาก ปิดข่าวไว้อย่างไรก็ดี ก่อนออกจากเมือง คนแถวนั้น กับคนแถวหน้าและหลังประตูเมืองล้วนถูกขับไล่ไปจนหมด หลังจากออกเดินทางได้ 30 ลี้ ขบวนการค้าหวังทงเช่นนี้ไม่เท่าไร ไม่มีคนสนใจ
พอหวังทงออกจากเมืองหลวง ข่าวส่งไป เมืองกุยฮว่าเฉิงก็เริ่มเดินทาง ม้าเร็ววิ่งขึ้นเหนือ
ไปเมืองเป่าติ้งเข้าซานซี จากนั้นซานซีเข้าส่านซี ค่อยเข้าสู่หนิงเซี่ย ความจริงนั้นหากอยู่เมืองเซวียนฝู่ออกทุ่งหญ้า จากนั้นจากบนทุ่งหญ้าไปเมืองกุยฮว่าเฉิงอ้อมเล็กๆ ไปพื้นที่ลุ่มน้ำ เช่นนี้เร็วกว่า แต่ทว่าตอนนี้ทุ่งหญ้าไม่สงบ การมีกองกำลังทหารม้าผู้คุ้มกันกองใหญ่จะทำให้คนตกใจได้ เพียงแค่ร้อยกว่าคน แม้เป็นขุนนางทางการปลอมตัวมา ก็ย่อมเกิดอันตรายได้ง่าย
แต่ละร้านขายสินค้าต่างกัน ผลประโยชน์ย่อมต่างกัน ดังนั้นข้อเรียกร้องบนทุ่งหญ้าย่อมต่างกัน เพราะความต่างเหล่านี้ ถานเจียงสั่งการกลุ่มพ่อค้าติดอาวุธบนทุ่งหญ้ามักถูกแต่ละคนดึงไปทางนั้นทีทางนี้ที ล้วนยุ่งยากมาก
กลุ่มพ่อค้าต่างกัน มักมีกลุ่มอิทธิพลอำนาจเบื้องหลังต่างกันเช่นกัน อิทธิพลอำนาจเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนใกล้ชิดฮ่องเต้ว่านลี่ เป็นพันธมิตรหวังทง
สถานการณ์เช่นนี้ แม้แต่ฮ่องเต้ว่านลี่กับหวังทงก็ทำอะไรไม่ได้มากนัก เรื่องเล็กพวกนี้ก็ได้แต่รับมือนุ่มนวล จัดการไป ตามนี้
หวังทงบอกว่าต้องการใช้กำลังกลุ่มพ่อค้าติดอาวุธเพื่อเตรียมการไว้รับมือเมืองหนิงเซี่ยที่อาจเกิดเหตุได้ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ทรงเป็นห่วงแล้ว
หวังทงกลับมั่นใจมาก ถานเจียงทำก็ส่วนถานเจียงทำ แต่หวังทงกลับไม่เหมือนกัน หวังทงไม่ได้ไปเมืองหลวงหารือกับเบื้องหลังของกลุ่มพ่อค้าพวกนี้ มีแต่จดหมายไป
“หากไม่ฟังคำสั่ง อย่าได้ทำการค้าบนทุ่งหญ้าอีก!”
วาจานี้ก็ง่ายมาก และยังดุดันอยู่มาก แน่นอนคำสั่งไปถึงเมืองกุยฮว่าเฉิงย่อมไม่ประกาศเอิกเกริก แต่ให้เมิ่งตั๋วกับกับขุนพลตระกูลถานแยกกันไปแจ้ง เพียงแต่แจ้งให้เถ้าแก้ร้านทั้งหลายรู้ก็พอ
พวกขุนพลตระกูลถานไปแจ้งข่าวก็ล้วนเป็นห่วงอยู่สักหน่อย ถานเจียงประสบเหตุที่หม่านเท่าเอ๋อร์นั้น พวกเขาล้วนรู้ กลัวว่าคำสั่งหวังทงจะถูกละเลยและไม่ปฏิบัติตาม เช่นนี้ก็ย่อมดูไม่ดีแล้ว
ที่เหนือความคาดหมายก็คือ พอคำสั่งไปถึง พ่อค้าใหญ่ทุกคนล้วนตกใจ รีบส่งคนมาให้พร้อม ถึงกับมีคนเร่งส่งคนไปติดต่อแต่ละหน่วยบนทุ่งหญ้าในคืนนั้น ไม่กล้าชักช้า
ระยะนี้ การขยายตัวของกลุ่มพ่อค้าบนทุ่งหญ้าเร็วมากไป ผู้คุ้มกันหลายร้านบ้างก็ไปตีหม่านเท่าเอ๋อร์ ที่เหลือล้วนเฝ้ารักษาการณ์อยู่ตามจุดต่างๆ พอได้รับคำสั่ง ก็มีหลายร้านถึงกับไม่สนใจการป้องกันบนทุ่งหญ้า ล้วนรีบส่งคนกลับมารอคำสั่งพร้อม ไม่กล้ารอช้า
ชนเผ่ารอบนอกเมืองก็รวมกำลังกันอย่างตื่นเต้น ใต้เท้าหวังต้องการใช้คน ย่อมเป็นเกียรติใหญ่ หากตนได้รับเลือก ก็แสดงถึงว่าตนเองมีความกล้าหาญ
ถานเจียงรีบมายังเมืองกุยฮว่าเฉิงเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็ได้แต่ยิ้มเฝื่อน ตอนไปหม่านเท่าเอ๋อร์อ้างเหตุนั่นนี่ พวกพ่อค้าอ้างเหตุปัดทิ้งมากมาย แต่ยามนี้เมืองกุยฮว่าเฉิงล้วนอยู่ในภาวะกระตือรือร้นอย่างมาก พวกนั้นถึงกับกล้าต่อปากกับถานเจียงผู้เป็นทหารเก่าแก่แห่งกองกำลังหู่เวย แต่ครั้งนี้ล้วนขยันขันแข็งผิดวิสัย ไม่กล้ารอช้ากันสักคน
คำสั่งหวังทงแผ่นเดียว ทั้งเมืองกุยฮว่าเฉิงล้วนเตรียมตัวกันอลหม่าน ถึงกับมีกำลังเหนือเกินความต้องการไปมาก อย่างไรก็ต้องเป็นถานเจียงออกมาคัดเลือกคนที่เก่งกล้า
ถานเจียงดำรงสถานะหัวหน้าผู้คุ้มกันร้านสามธารา แต่ความจริงนั้นต้องทำการวิเคราะห์สภาพทางการทหารบนทุ่งหญ้าของกลุ่มพ่อค้าเมืองกุยฮว่าเฉิงทั้งหมด ที่หม่านเท่าเอ๋อร์เพิ่งยึดได้ มีแค่ปืนใหญ่สามกระบอกน้ำหนักกระสุนสามชั่งทิ้งไว้รักษาการณ์ จะต้องเคลื่อนกำลังมาทางนี้ ตอนนี้ดูแล้ว ใกล้เผ่าเคอเอ่อร์ชิ่นสุด จะทุ่มกำลังมาย่อมสะดวกสุด และทางเมืองกุยฮว่าเฉิง นอกจากสองจุดพักกำลังใหญ่แล้ว ที่เหลือล้วนถูกพวกนอกด่านก่อกวนและทำลาย มีความยุ่งยากมาก
แต่เหนือความคาดหมายของถานเจียงก็คือ เผ่าเคอเอ่อร์ชิ่นเริ่มเก็บตัว จากทางตะวันตกเขาเยี้ยนซานล้วนถอยไปทางตะวันออก แรกๆ ที่ยึดเหมืองทองหม่านเท่าเอ๋อร์ได้ กลางคืนมักมีคนมาก่อกวน กลุ่มพ่อค้าติดอาวุธออกไปหากคนน้อยกว่าร้อย ก็มักถูกโจมตีก่อกวนเสมอ
แต่ใกล้ปีใหม่นี้ถึงกับเงียบกริบ สินค้าที่ขนมาจากในด่านก็สามารถมาเติมเสบียงเพิ่มได้ ที่หม่านเท่าเอ๋อร์ถึงกับมีพอที่จะฉลองปีใหม่อย่างดีแล้ว
ในเรื่องนี้ ถานเจียงเองก็งงมาก แต่พอสักพัก ก็ไม่มีข่าวอันใดมาอีก ทางเมืองจี้โจวมีข่าวมาว่า เผ่าเคอเอ่อร์ชิ่นถอนกำลังกลับจริง ว่ากันว่าเผ่าฉาฮาเอ่อร์ลงใต้มากขึ้น ที่นี่เดิมเป็นแถบอิทธิพลอำนาจเผ่าเคอเอ่อร์ชิ่น
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ทำให้การเคลื่อนทหารกลับของถานเจียงผ่อนคลายลงไม่น้อย เดิมคิดว่าต้องไปเคลื่อนกำลังแรงงานจากโรงบ้านรอบเมืองกุยฮว่าเฉิงมาฝึกแล้วส่งไปหม่านเท่าเอ๋อร์ ครั้งนี้ไม่ต้องแล้ว แค่กลุ่มพ่อค้าติดอาวุธก็เพียงพอแล้ว สามารถับมือไปถึงต้นฤดูใบไม้ผลิได้ ตอนนั้นแต่ละเผ่าทุ่งหญ้าก็ไม่อาจเคลื่อนกำลังได้แล้ว กลุ่มพ่อค้าเมืองกุยฮว่าเฉิงสามารถทุ่มกำลังได้แล้ว
เดิมจะปล่อยกำลังส่วนหนึ่งให้กลับไปฉลองปีใหม่ สำหรับชาวนาเหล่านี้ นี่เป็นปีที่สองที่เปลี่ยนนายมา สภาพความเป็นอยู่ดีขึ้นกว่าเดิม จึงล้วนอยากกลับไปฉลองปีใหม่กับครอบครัว
ถานเจียงปิดประกาศ ต้องการรับสมัครทหารเก่งกล้า การฝึกปกติใช้ไม่ได้ ครั้งนี้เงื่อนไขคัดเลือกพิเศษ เหมือนกับคัดทหารกองกำลังหู่เวย ทำให้ทุกคนดูแล้วรู้สึกยากสักหน่อย แต่ทว่าเงื่อนไขที่จะได้รับก็ดีมาก หากได้รับเลือก ครอบครัวไม่ต้องเสียภาษี และจะได้แบ่งสรรที่ดินทำมาหากินกับเครื่องมือทำนา ยังได้มีวัวไถนาด้วย
เท่ากับว่าจากครอบครัวชาวนาธรรมดาได้เป็นครอบครัวชาวนาร่ำรวย ชีวิตนี้ใช่ว่าหาได้ง่ายๆ ย่อมมีคนมาสมัครมากทันที……
***************
หวังทงเดินทางได้ไม่เร็วนัก จากเมืองหลวงไปหนิงเซี่ยแม้ว่าม้าเร็วเร่งสุดๆ ก็ต้อง 20 วัน
สถานการณ์เปลี่ยนไปทุกวัน ทางหวังทงไปก็เพื่อจัดการความสงบทางนั้น มากไปกว่านั้นก็คือหากพบว่าทางนั้นเกิดเหตุกบฏ หวังทงก็จะนำกำลังปราบ มีความคิดเช่นนี้ ก็ย่อมไม่อาจเอาแต่เร่งเดินทาง แต่ต้องรู้ความเปลี่ยนแปลงทางนั้นด้วย จะได้รับมือได้ทัน เพราะการเคลื่อนกำลังมาก็ย่อมใช้เวลา
ดังนั้นทุกจุดที่หวังทงไปถึง ก็ต้องรอข่าวจากทางหนิงเซี่ยมาก่อน จากนั้นค่อยเดินทางต่อ กับนายกองพันที่หนิงเซี่ยก็ได้นัดเวลาพบหน้ากันแล้ว องครักษ์เสื้อแพรที่มาส่งข่าวก็นำสถานที่แจ้งแก่หวังทง
แม้รายงานองครักษ์เสื้อแพรวิเคราะห์ตระกูลปัวเมืองหนิงเซี่ยคิดการไม่ซื่อ ผู้บัญชาการกับผู้ว่าการมณฑลเมืองหนิงเซี่ยต่างมีฎีกา แต่เรื่องกบฏไม่ใช่เรื่องง่าย ตระกูลปัวไม่เคยมีการเคลื่อนไหวใหญ่เช่นนี้
จากซานซีเข้าสู่ส่านซี พวกหวังทงไปถึงเฝินโจว หนิงโจว เข้าอู๋เป่า สุยเต๋อโจวที่ส่านซี เมืองเหยียนอันทางตอนเหนือของส่านซี ไม่อาจปิดบังอีกแล้ว เพราะตอนเหนือของส่านซีเส้นนี้ เหยียนสุย อวี้หลิน หนิงเซี่ยสามเมืองนี้ติดกัน ตอนนั้นพวกนอกด่านเข้าตีไม่หยุด เพราะสามเมืองนี้รับมือพวกนอกด่านส่วนใหญ่ล้วนเสียเปรียบ ดังนั้นพวกนอกด่านมักจะเข้ามากวาดต้อนทรัพย์สินและคนในตอนเหนือของส่านซี
มีเรื่องโจมตีอยู่ตลอด และยังเป็นที่ราบสูงดินเหลือง ดินไม่อุดมสมบูรณ์ ประชากรในพื้นที่น้อย พวกหวังทงเข้าสู่เขตซานซี เดินทางวันหนึ่ง กลางคืนก็ย่อมต้องหาที่พัก แต่ตอนเหนือของส่านซีไม่ได้ ผ่านสุยเต๋อโจวไป ต้องตั้งค่ายพักก่อน
อากาศหนาวเหน็บ ตั้งค่ายกลางแจ้งเรียกได้ว่าลำบากมาก แต่พวกหวังทงมีประสบการณ์มากในพื้นที่เช่นนี้ ตกค่ำก็หาที่ตั้งค่ายหลบลมหนาว ใช้ฟืนแห้งก่อไฟ ล่าสัตว์มาเติมไขมันในร่างกาย
พอก่อกองไฟเสร็จ ก็ล้อมวงห่อตัวด้วยผ้าขนแกะหนานอนกัน เช้ามาก็ล้วนตื่นเพราะความหนาว ในใจก็คิดถึงครอบครัวที่กำลังวุ่นกับการจัดฉลองปีใหม่กัน ตนเองกลับต้องมาร่อนเร่อยู่เช่นนี้ ก็อดรู้สึกทอดถอนใจไม่ได้
พวกหวังทงล้วนตั้งค่ายพักแบบทหาร จัดการเวรยาม เตรียมเดินทางวันรุ่งขึ้น เป็นต้น แต่พวกสื่อชีที่ตามมากลับทำเรื่องอื่น หลังจัดการป้องกันเสร็จ เขาก็จะเดินรอบๆ ไม่รู้ว่าคิดทำอะไร หวังทงตามไปดู พบว่าสื่อชีไปวางกิ่งไม้แห้งไว้รอบๆ เท่านั้น บางครั้งใช้เชือกเส้นบางๆ ดักไว้ในที่ลับตา ผูกกับหินสองก้อน
ออกจาเป่าติ้งอย่างน้อยก็ต้องสามวันที่ต้องหาที่นอนกลางทาง ที่ยุ่งยากก็คือ เมืองเป่าติ้งซื้อหาของนั้น หาซื้อไม่ได้เสียมาก และยังเป็นจุดสนใจ
เดินทางออกจากเมืองหลวงมานานเช่นนี้ เดินทางยากลำบาก ทิวทัศน์ตลอดทางล้วนเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ แต่ไม่มีอะไรน่าสนใจ กลางคืนก็จัดหาที่พักกินเสร็จแล้วก็นอน กลายเป็นความเคยชินของทุกคนไปเสียแล้ว
ออกจากเมืองเป่าติ้งได้วันหนึ่ง หวังทงนอนหลับสนิทอยู่ ๆ ก็ถูกเสียงกิ่งไม้แตกปลุกให้ตื่น เขากุมดาบข้างกายแน่น