องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 939 มาจากไหน
หวังทงเป็นคนตื่นง่ายมาแต่ไหนแต่ไร แม้ว่าอยู่กับบรรดาภรรยาก็เป็นเช่นนี้ บางครั้งเสียงเคลื่อนไหวเล็กน้อยในบ้านก็ทำเขาตื่น
สถานะเช่นนี้ และยังทำอะไรมามากมาย ระวังตัวดีก็ยังต้องเจอกับเรื่องราวมากมาย หากไม่ระวังเกรงว่าคนสิ้นชีพไปนานแล้ว
วางกิ่งไม้แห้งไว้บนพื้น จะทำให้คนคิดว่ามันอยู่ตรงนั้นอยู่แล้ว ไม่สนใจอะไร แต่พอเหยียบโดนก็ทำให้เกิดเสียงแตกหัก กลางคืนท่ามกลางความสงัดย่อมทำให้เกิดเสียงกระทบหู
การจัดการของสื่อชีดูเหมือนไม่มีอะไร แต่หวังทงรู้ว่าทหารยามย่อมไม่เหยียบโดน เช่นนั้น เสียงนี้ย่อมแสดงถึงการบุกโจมตี
หวังทงกำดาบแน่น ก้มตัวลงคลานกับพื้นพรม อีกมือควักปืนไฟออกมา เตรียมหินจุดไฟไว้พร้อม หวังทงไม่ขยับ คนข้างๆ คนหนึ่งกระโดดขึ้นส่งเสียงร้อง
“หมอบ!”
เสียงคำสั่งดัง ทุกคนแม้ยังตั้งสติไม่ได้ แต่คนหวังทงไม่มีสักคนที่ยืนขึ้น เสียงตะโกนดังไม่ทันจบ ก็ได้ยินเสียงธนูน้าวยิงมากันระลอกใหญ่ ตามมาด้วยเสียงร้องเจ็บปวด
“กองไฟทางตะวันออก!”
ทุกครั้งที่ตั้งค่ายพัก ตั้งแต่หวังทงไปจนทหารราบธรรมดา แต่ละคนล้วนต้องแยกแยะทิศทางได้ และยึดเอากองไฟใหญ่เป็นศูนย์กลาง กลางคืนถูกโจมตี ก็จะได้ตั้งตัวได้ทันท่วงที
ตะโกนทิศทางไป พวกหานกังก็คว้าอาวุธออกไปด้านหน้าสุด สิบกว่าคนถืออาวุธยืนเรียงสองปีก มุ่งไปทางตะวันออก
ถานต้าหู่กับถานเอ้อร์หู่มาถึงข้างกายหวังทงแล้ว เห็นเป้าเอ้อร์เสี่ยววิ่งก้มตัวมายังหน้ากองไฟพร้อมดาบในมือเขี่ยไฟในกองไฟที่เริ่มมอดให้ลุกขึ้นอีกครั้ง เห็นไฟสว่างขึ้นแล้ว ก็หยิบธนูจากซองออกมาเล็งไปยังทางตะวันออกแล้วยิงทันที
ธนูเป้าเอ้อร์เสี่ยวมีถุงน้ำมันกับไฟติดไว้ ยิงไปบนที่ว่าง ไฟเผาให้เห็นในระยะเวลาสั้นๆ ได้
ตามคาด พอยิงธนูไฟไป ก็เห็นเงาคนตื่นตระหนกหลายสิบคนชัดเจน แทบในเวลาเดียวกันกับสองมือธนูมองโกลของอู๋เอ้อร์ลุกขึ้น เช่นเดียวกับเป้าเอ้อร์เสี่ยว ยิงธนูไปในทิศทางต่างๆ อีกสองทางก็มีคนเช่นกัน
ในความมืดมองไปย่อมเห็นคนกว่าร้อย หวังทงอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะตะโกนดังว่า
“ย่อมเป็นโจรที่ตามมาจากเมืองเป่าติ้ง ไม่ใช่คนทางนั้น บุกสังหารทิ้ง สังหารโจรพวกนี้ให้ราบคาบ!”
ครั้งนี้ไปสืบคดีที่เมืองหนิงเซี่ย ระวังตัวมาตลอดทาง เจอบุกโจมตีกลางดึก ปฏิกิริยาแรกก็นึกถึงตระกูลปัวส่งมา แต่หวังทงวิเคราะห์ได้ทันทีว่าไม่ใช่ หากเป็นตระกูลปัวคิดลงมือจริง เกรงว่าคงไม่รอยามค่ำคืน เพราะกลางทุ่งรกร้างย่อมไม่ต้องกลัวว่าจะมีคนพบเห็น
การต่อสู้กลางคืนมองไม่เห็น วิ่งมั่วไปมาเกรงว่าเป็นเรื่องยุ่งยากยิ่ง กลางวันส่งกำลังปะทะกันใช่ว่าสะดวกกว่าหรือ
ในเมื่อวิเคราะห์เช่นนี้ ก็ย่อมไม่ต้องเป็นห่วงมาก หวังทงเพิ่งออกคำสั่งก็ถูกถานเอ้อร์หู่ด้านหลังผลักล้มไปด้านหน้า หวังทงยังไม่ทันลุกขึ้น ก็ได้ยินเสียงหานกังบุกออกไปสังหารทิ้งไป ได้ยินเสียงสองคนส่งเสียงร้องเจ็บปวด คนหวังทงบาดเจ็บ
เสียงธนูดังมา อีกฝ่ายยิงแล้ว หวังทงหมอบอยู่บนพื้น ถานต้าหู่ถือโล่มายืนบังหน้าหวังทง ถานเอ้อร์หู่ดึงมีดสั้นออกจากรองเท้า ตัดก้านธนู เพิ่งจะผลักหวังทงล้ม แขนตนเองกลับถูกไปดอกหนึ่ง
“ธนูโจรยากรับมือ ปืนไฟรีบมายันไว้เร็ว!”
ทางนั้นมีคนตะโกนดัง ที่ขังม้าไว้เริ่มมีเสียงเคลื่อนไหว ม้าเริ่มส่งเสียงร้องดัง หวังทงคว้าก้านธนูในมือถานเอ้อร์หู่มาส่องแสงไฟดู ก็ต้องอึ้งไป เสียงดังขึ้นว่า
“เจ้าพวกสวะกลุ่มนี้ใช้ธนูกองทัพ!”
ธนูชาวบ้านมักมีแรงไม่พอ ยิงได้ไม่ไกล ธนูกองทัพแม้ว่าคันใหญ่ แต่มักจะมีคุณภาพดีกว่าธนูชาวบ้าน และทหารชายแดงก็มักใช้ป้องกันมากกว่า ธนูจึงต้องเลือกคันยาว ระยะยิ่งไกลได้เปรียบ
สำหรับหวังทง ดูออกในทันที่ เดิมคิดว่าเป็นโจร แต่คิดไม่ถึงว่ายังมีสายสัมพันธ์กับกองทหาร หรือว่าเป็นพวกจากเมืองหนิงเซี่ยจริง
“สวมเกราะๆ รีบไปเตรียมจุดเชือกไฟ!!”
หม่าซานเปียวตะโกนดังจากอีกทาง พร้อมกับโยนของที่เป็นเชื้อเพลิงได้เข้ากองไฟ กองไฟเริ่มลุกโชติช่วงอีกครา กลางคืนหนาวเหน็บ เกราะเป็นเหล็ก สวมแล้วก็ย่อมดูดความอบอุ่นในร่างกายหายไปในทันที ดังนั้นตอนกลางคืนนอน ก็ย่อมถอดชุดเกราะนอน
กองไฟลุกโชน มีคนนำคบไฟไปแบ่งกันอย่างเร็ว คนที่ระวังภัยรอบตัวหวังทงเริ่มประสานกำลัง เฉินต้าเหอกับมือธนูมองโกลล้วนตั้งสติได้ ทหารด้านหน้าถือเกราะบังให้พวกเขาเป็นด่านหน้าแล้ว พวกเขาวิเคราะห์ทิศทางธนูได้คร่าวๆ แล้ว จึงระดมยิงไปไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ได้ยินเสียงอีกฝั่งร้องดังเจ็บปวด เสียงร้องดังหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ
กลางคืนปืนไฟล้วนบรรจุเต็มเตรียมพร้อม ขอเพียงจุดไฟก็จะยิงได้ทันที ไม่นานก็เตรียมพร้อมสรรพ
“ไปทางตะวันออก ไปทางตะวันออกยิงพร้อมกันระลอกแรก!”
หวังทงตะโกนดัง ทหาร 20 นายเรียงแถววิ่งไป หวังทงยืนอยู่ทางขวาของทุกคน ด้านหน้ามีคนถือโล่บังไว้หนึ่งแถว เป็นดังโล่จากมนุษย์
ที่พักกลางคืนเป็นที่ราบกลางเขา ทุกคนวิ่งไปทางตะวันออก ล้วนยกปืนไฟเล็งแนวระนาบไปในความมืด หวังทงตะโกนดังอีกว่า
“หู่เวยหมอบ!!”
พวกด้านหน้าที่กำลังรบติดกันก็พากันก้มตัวลงหมอบกับพื้นทันที หวังทงกดไกปืนสั้นในมือ ตะโกนดัง
“ยิง!!”
เสียงดังสนั่นไปทั่ว อีกฝ่ายส่งเสียงร้องโอดโอยไปทั้งแถบ ปืนไฟยิงไป ทั่วลานเหมือนเงียบไปมาก หานกังตะโกนบุกต่อ โจรที่อาศัยความมืดคลำทางมา เจอปืนไฟยิงพร้อมก็ตกใจ พวกหานกังยังบุกเข้าไปปะทะดุเดือด พวกโจรตั้งตัวไม่ทัน
“ปืนของพวกนี้ เป็นของพวกลูกหมาที่เมืองกุยฮว่าเฉิงนี่นา ถอย ถอย!!”
มีคนตะโกนดัง แม้ว่ากำลังเคร่งเครียดกับการต่อสู้ แต่ก็ทำเอาหวังทงอึ้งไป อีกฝ่ายถึงกับวิเคราะห์ออกว่าเป็นปืนไฟจากเมืองกุยฮว่าเฉิง คนพวกนี้ไม่ได้กล่าวถึงหวังทงหรือเมืองหลวง ย่อมวิเคราะห์ได้อย่างชัดเจนถึงสถานะคนพวกนี้
“ยิงพร้อมกัน!!”
อีกฟากหนึ่ง เสียงฉีอู่เรียงแถวพร้อมยิงแล้ว เสียงร้องเจ็บปวดดังขึ้นอีก ได้เยินเสียงซาตงหนิงตะโกนดังว่า
“ตามข้าบุกเข้าไป!! สังหารสวะพวกนี้ทิ้ง!!”
“รีบหนีเร็วๆ ไม่ต้องสนใจม้าแล้ว…..ครอบครัวภรรยา ลูก บิดา มารดาเจ้า ข้าจะดูแลให้เอง!”
ได้ยินเสียงพวกโจรตระหนกส่งเสียงดัง มีคนตะโกนอย่างเสียการควบคุม ปืนไฟสองระลอก ธนูระดมยิงไร้เป้า ทหารติดตามหวังทงยังออกปะทะอย่างกล้าหาญ ทำให้โจรที่บุกมากลางดึกเริ่มไปไม่เป็น ตอนนี้คิดแต่จะหนีแล้ว หวังทงใช้แท่งเหล็กเขี่ยปากกระบอกปืนอัดดินปืนเข้าไปอีก ยิงไปด้านหน้าอีกรอบ ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวรอบๆ ไม่ได้มากเหมือนก่อนหน้าแล้ว หลายเสียงเริ่มไกลออกไป หวังทงกล่าวว่า
“ทุกคนกลับค่ายๆ ปืนไฟกับธนู หากมีเสียงเคลื่อนไหวอีกก็ยิ่งได้เลย!”
ทุกคนรับคำพร้อม ที่เรียกว่าวินัยทหารก็คือยามนี้ หวังทงสั่งการไป พวกที่เมื่อครู่บุกออกไปก็ถอยกลับทันที
ปืนไฟก็ยิงต่อ แต่พอยิงระลอกสาม ระยะร้อยก้าวก็ไม่ได้ยิงเสียงอันใดอีกแล้ว คิดว่าพวกโจรหนีไปไกลแล้ว แต่คืนนี้อยู่ ๆ เกิดเรื่องเช่นนี้ ผู้ใดจะนอนต่อได้ คืนนี้ทุกคนต้องระวังตัวก่อน ระวังไปจนฟ้าสาง
ทหารติดตามหวังทงสามคนถูกยิง สำหรับพวกที่บาดเจ็บเล็กน้อยไม่นับ แต่สามคนที่ถูกยิง มีสองคนเจ็บหนัก แม้ว่าไม่ถึงชีวิต แต่ก็จะต้องได้รับการรักษาเร่งด่วน ไม่เช่นนี้วันหน้าไม่อาจออกรบได้อีก แม้แต่เคลื่อนไหวก็ล้วนอาจมีปัญหาได้
เหตุโจมตีกลางดึกมาเร็วและจบลงอย่างรวดเร็ว พวกหวังทงไม่กล้าเคลื่อนไหวพลการกลางคืน ฟ้าสว่างแล้วค่อยออกไปเก็บกวาดพื้นที่รอบๆ
รอบๆ ค่ายทหารมีศพสิบกว่าศพ ศพล้วนถูกถอดเสื้อผ้าโยนทิ้งไว้ น่าจะเป็นพวกโจรที่คืนวานถูกสังหารทิ้ง อากาศหนาว ไม่มีดาวและดวงจันทร์ ปืนไฟกับธนูก็ยิงไปยังทิศทางที่คนลงมือมา แม่นหรือไม่ก็ไม่อาจกล่าวได้
ไม่แม่นยังสังหารศัตรูได้มากเพียงนี้ก็เรียกได้ว่าไม่เลวแล้ว นับประสาอันใดกับบาดแผลบนตัวโจรพวกนี้เหมือนว่าเป็นพวกเดียวกันลงมือซ้ำ คิดว่าเมื่อคืนก็คงเพื่อให้ตายง่าย ตายสบาย น่าจะเป็นโจรที่ได้รับบาดเจ็บ แต่พวกโจรเหล่านี้ก็น่าจะพากลับไปด้วยนี่นา
ที่แท้เป็นผู้ใดกัน ทุกคนล้วนคาดเดากันไป การต่อสู้เมื่อคืนเกิดขึ้นกะทันหัน ซุนเผิงจวี่ที่เป็นทหารในสังกัดหวังทงได้ไม่นานปฏิกิริยาค่อนข้างช้า พอสวมเกราะเสร็จออกไป ก็เกือบสู้เสร็จแล้ว ในบรรดาทหารหวังทง ให้ความสำคัญกับฝืมือมาก ซุนเผิงจวี่ตัวโตสูงใหญ่ มีความสง่าผ่าเผย เป็นลูกหลานขุนพล ธนูม้าก็ชำนาญ แต่คิดไม่ถึงว่าพอเจอการต่อสู้จริงจัง ถึงกับเป็นเช่นนี้ได้ พริบตาเดียวทำให้ทุกคนล้วนดูแคลน
ซุนเผิงจวี่เองก็งง เดิมคิดว่าคนหวังทงกับทหารในสังกัดที่อายุเท่ากัน ที่ยอดเยี่ยมก็คือทหารในสังกัดตระกูลหลี่ เมืองเหลียวโจว คิดไม่ถึงว่าพวกนี้ถึงกับเก่งกล้าเช่นนี้ได้ ตนเองดูด้อยไปทันที วันหน้าไม่รู้ว่าจะเงยหน้าขึ้นมองผู้อื่นอย่างไร
เห็นสภาพเช่นนี้ ทุกคนกำลังวิพากษ์วิจารณ์พวกโจรว่ามาจากที่ใด ซุนเผิงจวี่รีบเข้ามาเอ่ยถึงการคาดเดาของตน เร่งแสดงความสามารถสักหน่อย
“ท่านโหว ละแวกนี้แปดเก้าส่วนย่อมมีป้อมทหารของกองพันตั้งอยู่ โจรเหล่านี้มากันกลางดึกต้องออกมาจากด้านในแน่นอน ล้วนเป็นทหาร!”
ก้านธนูได้แสดงให้เห็นแล้วว่าพวกนี้มาจากกองทหาร แต่ตระกูลปัวเมืองหนิงเซี่ยส่งมาหรือ? หรือว่าที่อื่น ไม่อาจพิสูจน์ได้ ซุนเผิงจวี่กล่าวเช่นนี้ ทำให้ทุกคนตกใจ
“กองกำลังเราออกจากเมืองเป่าติ้ง น่าจะมีคนจับตาแล้ว รอให้พวกเขามากลางทางจึงได้ลงมือปล้น ย่อมเป็นพวกที่คุ้นเคยเส้นทาง ธนูทางการ ยังมีวิธีการรุกถอย ยังถอดเสื้อผ้าออกหมด ล้วนแสดงให้เห็นว่าเป็นการกระทำของทหาร”
ทุกคนพากันมองมา ซุนเผิงจวี่เริ่มไม่มั่นใจก้มหัวลง กระแอมไอ เขายกตัวอย่างเหล่านี้ยังไม่พอ อย่างไรต้องเสริมอีก
“……ทหารสังกัดตระกูลซุน มักจะปลอมตัวปล้นทางเกาหลีอยู่บ่อยครั้ง……”