องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 940 ไม่ปล่อยไว้เด็ดขาด ไม่เปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว
ได้ยินซุนเผิงจวี่กล่าว ทุกคนก็ไม่มีสีหน้าใด ได้แต่แสดงสีหน้าเห็นด้วยพยักหน้า ทหารในสังกัดออกปล้นเองเรื่องนี้เรียกได้ว่าไม่มีเกียรตินัก แต่ความจริงนั้นเป็นเช่นนี้กันบ่อยมาก
ทหารในสังกัดขุนพลทหารเป็นทหารที่เก่งกล้าที่สุด ปกติเสบียงเบี้ยหวัดและค่าตอบแทนต่างๆ มีเพียงพอ ยังรวมที่พักที่กินตอนฝึกอีกด้วย
คนเหล่านี้แน่นอนไม่อาจใช้วินัยทหารบังคับ ย่อมผ่อนปรนให้มากสักหน่อย ปลอมตัวเป็นโจรออกปล้น เรื่องนี้แน่นอนว่าย่อมปิดตาข้างหนึ่ง ราชสำนักหักเบี้ยหวัดไว้ หักทหารธรรมดาเสียเป็นส่วนมากเพื่อเอาไปเลี้ยงทหารในสังกัด เงินหักส่วนเงินอื่นก็หักไป ไม่อาจไม่หัก การปล้นสามารถชดเชยได้ไม่น้อย ขุนพลทหารไม่เพียงไม่ห้ามปราม กลับแอบปล่อยปละ ถึงกับเป็นนำกำลังไปเองก็มี
แต่ทว่าเรื่องเช่นนี้ ยังคงเป็นทหารชายแดนทำกันมาก หากให้ทหารในแผ่นดินหมิงสังหารปล้นชิง เท่ากับเป็นเรื่องไม่เห็นกฎหมายในสายตา พวกเขาไม่อาจกระทำได้
พื้นที่นอกด่านซ้ายขวาเป็นพื้นที่ไร้กฎหมาย คนที่นั่นไม่ใช่ราษฎรแผ่นดินหมิง ขอเพียงทำไม่เปิดเผย อย่าได้หาเรื่องที่จะพัวพันถึงตัว ก็ไม่มีต้องกังวลภัยตามมา
ซุนโส่วเหลียนเป็นขุนพลทหารในเมืองเหลียวโจวดูแลเขตติดกับเกาหลี ทางนั้นเป็นเส้นทางสำคัญติดต่อระหว่างเกาหลีกับแผ่นดินหมิง ทำเรื่องเช่นนี้ไม่แปลก
ความจริงนั้นกองกำลังหู่เวยของหวังทงบนทุ่งหญ้าก็ออกปล้นส่วนตัวอยู่บ้าง เป็นเรื่องปกติ
แต่ทว่าตอนเหนือของส่านซีแม้ว่ารกร้าง แต่อย่างไรก็เขตแผ่นดินหมิง ถึงกับประสบเหตุเช่นนี้ได้ เป็นเรื่องน่าตกใจยิ่ง
“จากเมืองเป่าติ้งไปทางใต้ ตลอดทางหลายวันไม่เห็นควันไฟจากบ้านเรือนผู้คน พ่อค้าเดินทางผ่านมาก็น้อย หากระหว่างทางถูกปล้น นำศพโยนไว้ที่รกร้างให้สัตว์ป่ากัดกินศพให้หมด ที่นี่ห่างไกลย่อมไม่มีผู้ใดจะสนใจ เพราะพ่อค้าน้อย ดังนั้นจึงไม่มีคนจะสนใจ”
หวังทงเงียบไปครู่หนึ่ง วิเคราะห์ขึ้น คนรอบๆ ล้วนเห็นด้วย เมืองเป่าติ้งย่อมมีสายโจรเหล่านี้ ขบวนหวังทงมีคนและม้า และยังมีของที่ม้าบรรทุกลากมาอีก พอเห็นย่อมรู้ว่าเป็นของไม่น้อย แน่นอนสามารถส่งกองกำลังระดับนี้มาได้ย่อมกับมีสายสัมพันธ์กับขุนนางในพื้นที่ เรื่องนี้ทุกคนล้วนรู้ดีแก่ใจ พวกโจรปกติไหนเลยจะกล้าลงมือ หากบอกว่าเป็นคนกองทัพ ฟังดูจะขึ้นกว่า ขบวนพ่อค้าร้อยกว่าคน แม้อาจไม่ใช่กองกำลังชาวบ้าน เป็นทหารปลอมตัวมา หรือว่าทหารมาสักหน่อย ก็จะโจมตีเอาได้ คืนวานพวกนั้นไม่แน่ก็คิดเช่นนี้ คืนวานแม้มืดมิดมองไม่ชัด แต่คนที่มาไม่น้อยกว่า 300
คิดถึงตรงนี้ หวังทงส่ายหน้า กล่าวว่า
“เรื่องพัวพันไม่น้อย อย่าได้คาดเดา ต้องไล่ตามไปดูให้รู้ชัด”
เฉินต้าเหออึ้งไป เตือนเบาๆ ว่า
“ท่านโหว เร่งเดินทางสำคัญ ทางนี้อย่างไรก็มิใช่เขตเมืองหลวง พื้นที่ห่างไกลฮ่องเต้ ไม่รู้ว่าคนที่นี่จะกล้าถึงขั้นใด……”
“เป็นเพราะที่นี่อันตราย ข้าจึงต้องระวัง คนเมื่อคืนวานเป็นไปได้มากว่าอาจเป็นคนจากเมืองหนิงเซี่ย หากเป็นเช่นนั้นจริง หรืออาจไม่ใช่ แต่ข่าวแพร่ออกไป แล้วทำให้พวกตระกูลปัวแห่กันมาเล่า?”
พอหวังทงกล่าวเช่นนี้ ทุกคนล้วนเงียบ หวังทงขยี้ใบหน้า ไม่ได้นอนสักตื่นดีๆ ลมหนาวราวมีดกรีดอีก ใบหน้าล้วนแข็งไปหมด เสียงดังกล่าวว่า
“คืนวานคนมากันมากเพียงนั้น เดินทางย่อมทิ้งร่องรอยไว้ พวกเขาโจมตีกลางดึก กลางวันย่อมหาที่พักผ่อน พวกเราไล่ตามไปทัน!”
นี่เป็นเป็นคำสั่ง ทุกคนรับคำพร้อมเพรียง ปฏิบัติการเรื่องนี้ก็ง่ายมาก ตอนเหนือของส่านซีไล่ตามร่องรอยบนพื้นไปเช่นนี้ พวกสื่อชีทำไม่ได้ แต่ม่อยื่อเกินกับปาถูกสองคนมาจากทุ่งหญ้าย่อมใช้การได้พอดี
ทั้งขบวนเตรียมพร้อมง่ายๆ ทิ้งสองคนไว้ดูแลคนเจ็บ ที่เหลือขี่ม้าออกเดินทางไล่ล่า คนเมื่อคืนวานไม่น้อย ระหว่างทางก็ย่อมไม่มีที่กำบัง ง่ายต่อการไล่ตามร่องรอย เช่นนี้จึงไล่ตามไป
พวกโจรลงมือปล้นแล้ว ไม่ว่าสำเร็จหรือไม่ คนถูกปล้นหรือกลัวมีเรื่องก็ย่อมเร่งเดินทางหนี อย่างไรก็ไม่อยากชักช้าให้เสียเวลา ล้วนคิดว่าเรื่องมากหนึ่งเรื่อง ไม่สู้เรื่องน้อยหนึ่งเรื่อง จึงไม่คิดจะสนใจเอาความต่อ ถึงกับแม้แต่ไปแจ้งทางการก็ยังเรียกว่าน้อยมาก ผู้ใดจะคิดว่าพวกหวังทงจะไล่ตามมา
ตอนเหนือของส่านซีเป็นพื้นที่รกร้าง กลางคืนบุกโจมตี อาศัยความมืดหลบหนี เช่นนี้ก็ย่อมหาร่องรอยเจอ ขอเพียงวิ่งออกไป ก็ไม่ต้องห่วงว่าจะหาไม่เจอ
ตามคาด พวกโจรที่มาโจมตีเมื่อคืนวานเป็นตามที่พวกหวังทงคิด หวังทงติดตามมาได้ไม่ถึงสองชั่วยาม ก็เห็นม้าผูกอยู่รอบนอกรังที่บังลม ในนั้นมีกระโจมน้อยใหญ่หลายสิบ ม้าผูกอยู่ด้านนอก ค่อยๆ เข้าไปใกล้ด้านใต้ลม ยังได้กลิ่นเผาหญ้าไหม้อีกด้วย
ย่อมเป็นพื้นที่เพิ่งใช้ไฟเผาร้อน จากนั้นก็ค่อยผูกกระโจมพักผ่อน เห็นกระโจมกับการตั้งค่ายแล้ว ย่อมแสดงให้เห็นว่าที่ทุกคนวิเคราะห์เป็นจริง พวกนี้เป็นพวกทหาร แต่ทหารแผ่นดินหมิงเป็นอย่างไรนั้น หวังทงเข้าใจดี คนพวกนี้ตอนนี้แม้แต่คนเฝ้ายามก็ไม่จัดไว้ ช่างใจกล้าแท้
“ปืนกับธนูเตรียมพร้อมก่อน ทหารม้าสิบนายถือทวนรอ นำม้าบุกเข้าไปก่อน จากนั้นลงมือสังหาร ซานเปียวเจ้านำทหารสิบนายไล่ล่า อย่าให้หนีไปได้แม้แต่คนเดียว!”
หวังทงกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบ ทุกคนพากันรับคำไปเตรียมตัว ครั้งนี้ไม่เหมือนเมื่อคืน ทุกคนล้วนสวมเกราะแล้ว แม้แต่ม้าที่บุกเข้าไปก็มีพรมคลุมตัวไว้ด้วย
ทุกคนย่องเบาเข้าไปใกล้ มือหานกังกับฉีอู่ถือทวนสั้นเดินอยู่หน้าสุด ทุกคนลงจากหลังม้า คนด้านหลังปล่อยม้าโจรทิ้ง ทุกอย่างเตรียมการเรียบร้อย ด้านหน้าตะโกนดัง ด้านหลังมีคนถือแส้ฟาดม้า
ม้าหลายร้อยกระโจนมุ่งไปยังที่พักพวกโจรทันที กระโจมสร้างจากไม้กับทวนยาวไว้กันลม จะไปต้านทานแรงปะทะม้าได้อย่างไร
ม้าพวกโจรล้วนตกใจ ส่งเสียงร้องดังไปทั่ว กระโจนไปข้างหน้าทันที พวกโจรที่ถูกม้าเหยียบก็เริ่มตื่น แต่ยังไม่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น กระโจมก็ถูกทำลายทิ้งไปกว่าครึ่งแล้ว คนไม่น้อยถูกม้าเหยียบตายทันที ไม่ก็กระดูกหัก
บุกเข้าไปได้ครึ่งทาง ก็เห็นมีคนวิ่งออกมาจากกระโจมอย่างตื่นตกใจ แม้มือถืออาวุธ เห็นว่าเป็นฝูงม้าวิ่งตะบึงเข้ามา จะหลบอย่างไร พริบตา ทหารม้าถือทวนก็มาถึงตรงหน้า แทงจากที่สูงลงมา
ทั้งม้าและคนส่งเสียงเอะอะอลหม่าน ทั้งกระโจมทั่วบริเวณก็ถูกถล่มราบ ม้าหนีไปไกล พอไร้กระโจมกำบัง พื้นที่ยังมีแต่เสียงร้องเจ็บปวดล้มตาย ไม่ก็พวกที่ยืนทื่อทำอะไรไม่ถูกอยู่กับที่
“ยิง!!”
พวกโจรที่เผยตัวแน่นอนย่อมเป็นเป้า เมื่อคืนวานปืนไฟทำให้พวกเขาตกใจ แต่ทว่าสถานการณ์เช่นนี้ การสังหารด้วยปืนไฟไม่สู้ธนู มือธนูมองโกลหลายคน เฉินต้าเหอเป้าเอ้อร์เสี่ยวเชี่ยวชาญธนูยาว ล้วนมาน้าวธนูอยู่ด้านหน้ายิงใส่ทันที ทุกดอกล้วนเด็ดชีพ
ความจริงนั้นตอนถูกธนูเด็ดทีละคน พวกโจรยังไม่ได้สติกัน แม้เป็นพวกล้าหาญอยู่บ้าง แต่ได้ยินเสียงร้องเจ็บปวดดังติดๆ กัน เห็นเพื่อนทหารด้วยกันล้มตายตรงหน้า ก็ย่อมต้องลนลาน สภาพการณ์นี้คิดหนีก็ไม่ได้ เพราะถูกอีกฝ่ายล้อมเป็นครึ่งวงกลมแล้ว ได้แต่ถูกล้อมสังหารเท่านั้น
ธนูยิงระลอกสอง คนวงในก็เริ่มทนไม่ไหว มีคนคว้าโล่ขึ้นมาส่งเสียงตะโกนบุกออกไป
ระยะห่างเช่นนี้ ธนูพุ่งมาย่อมไม่อาจยิงทะลุโล่ หากเป็นโอกาสของปืนไฟแล้ว เล็งไปยังโล่ ยิงทันที โล่ไม้ที่บังไว้จะทานได้อย่างไร ได้แต่ทะลุเป็นรู ปิดบัญชีคนด้านหลังไปอีกคน
“กล้าโจมตีกองกำลังซุ่นหนิง พวกเจ้าคิดกบฏหรือ?”
คนที่ตะโกนดังกลับเป็นดังเป้าของม่อยื่อเกิน ธนูดอกหนึ่งยิงเข้าปาก สิ้นลมทันที หวังทงส่ายหน้า กองกำลังซุ่นหนิงเป็นกำลังประจำเมืองอวี้หลิน ใกล้กับเมืองเป่าติ้ง ดูท่าไม่ได้มีสายสัมพันธ์กับตระกูลปัวเมืองหนิงเซี่ย
หวังทงปิดหมวกเกราะ ยกดาบขึ้น ตะโกนดังว่า
“มือธนูตั้งแถว ปืนไฟหยุด ตามข้าไปสังหารคนในนั้น!”
เสียงดังรับคำพร้อมเพรียง ทุกคนสวมเกราะถือดาบเริ่มบุกเข้าไป ม้าย่ำไปรอบ ยิงธนูกับปืนไฟไปรอบ พวกโจรในค่ายก็ยังมีคนมากกว่าพวกหวังทงหลายส่วน แต่ก็แตกตื่นขวัญหนีดีฝ่อกันหมดแล้ว ไม่อาจมีความกล้าหาญจะต่อสู้อันใดอีก
การต่อสู้ต่างจากเมื่อวานลิบลับ อยู่ๆ ตกใจกะทันหัน สำหรับหวังทงถึงกับน่าเบื่อเลยทีเดียว ตอนเข้าใกล้สนามรบก็วิ่งเหยาะๆ ไป ดาบพัวเตาในมือก็ทิ้งคมลง เดิมเตรียมการป้องกันตัวก่อนการโจมตี คิดไม่ถึงศัตรูตรงหน้ากลับเอาแต่อึ้ง ถึงกับหันหลังวิ่งหนี
เช่นนี้ไม่อาจเรียกว่าโจมตีอันใดแล้ว เริ่งฝีเท้าเข้าไป ดาบในมือตวัดฟันคอทิ้งทันที คนด้านหน้าล้มลงส่งเสียงร้องโหยหวน เลือดสาดกระเซ็นรอบทิศ หวังทงไม่สนใจ ยังคงมุ่งหน้าต่อไป ดาบพัวเตาในมือก็กวัดแกว่งต่อ อีกฝ่ายยังคงตั้งสติไม่ได้ ถูกดาบพัวเตาพาดผ่านตัดหัวทิ้งไปทันที
สังหารทิ้งไปสอง หวังทงก็ไม่เห็นศัตรูตรงหน้าแล้ว ล้วนหนีกระจัดกระจายไปหมด มีคนเริ่มคุกเข่าส่งเสียงร่ำไห้ดังบนพื้นร้องขอชีวิต
หวังทงสะบัดดาบพัวเตาในมือ ยืนมองดูสนามรบเงียบๆ การต่อสู้จบเร็วไปแล้ว
“ท่านโหว สอบสวนมาสองสามคน ล้วนพูดเหมือนกัน ได้ข่าวมาจากเมืองเป่าติ้ง ระหว่างทางเข้าจัดการเรา เป็นการนำของรองนายกองพัน เอ่ยถึงหนิงเซี่ยไม่มีผู้ใรู้ และไม่รู้ว่าพวกเราเป็นใครมาทำอะไร”
หวังทงพยักหน้า กล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า
“สังหารทิ้งให้หมด จะได้ไม่มีข่าวเล็ดรอดออกไป!”
น้ำเสียงนิ่งเรียบ ลูกน้องไม่ได้รู้สึกอันใด ได้แต่ฟังเสียงคนในนั้นส่งเสียงด่าทอและร้องโหยหวน จัดการหมดสิ้นอย่างรวดเร็ว ทุกคนได้พักครู่หนึ่ง ก็เปลี่ยนม้า เดินทางกลับ ติดตามหวังทงมานาน ก็จะรู้ว่าหวังทงดูอารมณ์หดหู่ หม่าซานเปียวเข้าไปใกล้กระซิบว่า
“ท่านโหว แค่พวกเศษสวะ สังหารก็สังหารไปแล้ว ไยต้องสนใจ”
“คนเหล่านี้ไม่ได้ทำเช่นนี้ครั้งเดียว ไร้กฎหมายไร้ระเบียบเช่นนี้ ไร้ความสามารถราวกระสอบหญ้าเช่นนี้ กองกำลังเช่นนี้ ไม่จัดการไม่ได้แล้ว!”
หวังทงตอบคำถามที่ไม่ได้ถาม