องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 941 เมืองหนิงเซี่ย
เขตชายเมืองอวี้หลินกับชิ่งหยาง ก็คือเขาไท่ไป๋ เดินไปสี่วันก็จะเข้าสู่เมืองหนิงเซี่ย พอเข้าสู่เมืองอวี้หลิน พวกหวังทงออกจากสุยอันเข้าสู่หมู่บ้านหนึ่ง ในหมู่บ้านมีชายว่างงานกล้าหาญอยากขอมาช่วยนำทาง
คนมานำทางก็ไม่มีอะไรน่าสงสัย ก็แค่ฤดูหนาวไม่มีงานทำต้องการหาเงินเท่านั้น หวังทงให้ค่าตอบแทนเป็นม้าหนึ่งตัว เรียกได้ว่าค่าตอบแทนหนักอยู่ไม่น้อย
มีคนนำทาง ก็ทำให้ประหยัดเวลาไปไม่น้อย อย่างน้อยก่อนคืนปีใหม่ก็คงได้เข้าสู่เมืองหนิงเซี่ย ทุกคนจะได้พักผ่อนกันเต็มที่สักที
จากซานซีเข้าสู่สุยอัน หวังทงรู้สึกถึงความยากจนและแห้งแล้งของตอนเหนือส่านซี พอออกจากเป่าติ้งมา เดินทางไปทางตะวันตกสู่เมืองหนิงเซี่ย ที่ได้เห็นมาตลอดทาง ล้วนยิ่งกว่าสุยอันมาก
เห็นความรุ่งเรืองเมืองหลวงและเทียนจินมาจนเคย เห็นความรุ่งเรืองงดงามของทางใต้มาจนชิน ได้เห็นความกว้างใหญ่และงดงามของทุ่งหญ้ามาก็มาก พวกหวังทงตอนนี้ต่างไม่ชิน พื้นที่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ เห็นแต่ดินสีเหลือง ถึงกับแม้แต่ต้นไม้ก็แทบไม่เห็น หากบอกว่าคนนำทางเป็นพวกชำนาญก็ย่อมได้ เขานำเดินไปตามเส้นทางเขาไท่ไป๋ อย่างน้อยก็สบายกว่าหน่อย
ตลอดทางผ่านหมู่บ้านเล็กสองสามหมู่บ้าน หมู่บ้านเหล่านี้ล้วนรับรู้การมาของพวกหวังทง ได้ยินเสียงกลองและนกหวีดไกล
พอขบวนทัพม้าผ่านหมู่บ้านไป ควันไฟจากบ้านเรือนที่เห็นเมื่อครู่ก็หายไปหมด ไร้ผู้คน เดินอยู่กลางหมู่บ้านหรือชายขอบหมู่บ้าน ยังรู้สึกมีคนจ้องขบวนทัพม้าแต่ไม่กล้าออกมา
นี่หากเป็นซานซีกับเขตปกครองเหนือ ขบวนทัพม้าเช่นนี้ผ่านหมู่บ้าน พวกที่รู้จักหาเงินทองเห็นก็ย่อมออกมาดูว่ามีอะไรให้เก็บเกี่ยวได้บ้าง เด็กน้อยก็ย่อมออกมามุงดูความครึกครื้น
หากทางตะวันตกเฉียงเหนือนี้ไม่เหมือนกัน เมื่อครู่ยังเป็นหมู่บ้านเล็ก หากป้อมหมู่บ้านใหญ่ยังมีหอสังเกตการณ์ เห็นหวังทงนำกองกำลังผ่านมา ก็รีบปิดประตูป้อมทันที พอพวกหวังทงผ่านไป ก็เห็นบนกำแพงป้อมมีชายฉกรรจ์ถืออาวุธ ยังถึงกับมีธนู ล้วนมองมาอย่างไม่เป็นมิตร
“นายท่านอย่าได้สงสัย พวกเราที่นี่สถานการณ์วุ่นวาย ไม่ระวังตัว ไม่แน่อาจถูกโจรม้าบุกเข้าไปสังหารได้ ทั้งครอบครัวล้วนต้องพลอยจบสิ้นไปด้วย มีบางครั้ง เพื่อแย่งน้ำแย่งพื้นที่ คนในหมู่บ้านก็ยังสังหารกันเอง!”
ชายนำทางผู้นี้ไม่เห็นเป็นเรื่องแปลก กล่าวบรรยายสบายๆ หวังทงกลับขมวดคิ้วถามขึ้น
“โจรม้าเป็นชาวฮั่นหรือเป็นพวกนอกด่าน?”
“พวกนอกด่านล่วงเขตแดนมาแม้แต่จะแตะต้องพวกเราที่ยากจนก็ไม่แตะต้อง ที่ปล้นส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกเดนตาย บ้างก็เป็นคนจากป้อมทหาร บ้างก็เป็นตระกูลใหญ่ออกมาหากิน ได้ยินว่าอาศัยเรื่องพวกนี้ร่ำรวยกัน ข้าน้อยเองก็งง จะร่ำรวยได้อย่างไร?”
เห็นความยากจนและแห้งแล้งตลอดทางมาแล้ว ผู้ใดก็ล้วนไม่สบายใจ ได้ยินแล้ว หวังทงก็ยิ่งงง แต่เรื่องพวกนี้ไม่อาจแก้ไขอะไรได้ในตอนนี้ ได้แต่ค่อยหาทางต่อไป
“นายท่านขอรับ ตะวันตกเฉียงเหนือเราเหล่านี้ไม่ได้ดีไปกว่าทางตะวันออกเฉียงใต้นัก ล้วนเป็นเพราะบรรพชนโชคร้ายจึงได้อพยพมาที่นี่ ปกติดื่มน้ำก็ยังต้องแสวงหากันแทบตาย ปีใหม่ได้เห็นอาหารเนื้อมีน้ำมันสักมื้อก็เรียกได้ว่าขอบคุณสวรรค์แล้ว ยามปกติเจอโจรม้า พอมีเรื่องก็เจอพวกนอกด่านมาซ้ำ วันเวลายากลำบากมาก!”
ชายนำทางอย่างไรก็ต้องระบายออกมา เป็นคนเห็นโลกมามาก ว่ากันว่าเคยอยู่ซีอานมาหลายปี แต่เพราะทำผิดจึงได้กลับมาอยู่ที่ยากจนเช่นนี้ แต่ทว่าทุกคนขี้เกียจจะสนใจ
พอเข้าสู่เมืองหนิงเซี่ย ภาพตรงหน้าช่างแตกต่างจากเส้นทางหลังจากออกจากเมืองเป่าติ้งมา เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน มีภาพป้อมหมู่บ้านดูแล้วไม่ธรรมดา หรือว่าเป็นพื้นที่สำคัญ ตอนผ่านป้อมหมู่บ้านพวกนี้ ก็ยังได้เห็นชายขี่มาตามออกมาอยู่บ้าง ตามมาได้ 20-30 ลี้ก็กลับไป
“คนลับๆ ล่อๆ เหล่านี้ ในบรรดาโจรม้าย่อมมีพวกเขาร่วมด้วย”
ชายนำทางวิจารณ์ หวังทงได้ฟังแล้ว ก็แอบพูดกับหม่าซานเปียวว่า
“มีความสามารถต่อสู้หากินเช่นนี้ ทำไปไม่ออกไปเสี่ยงดวงบนทุ่งหญ้า กลับมาอยู่ในพื้นที่ยากจนที่แม้แต่นกยังไม่มาถ่ายรดนี้ได้อย่างไร”
“คนเหล่านี้โลกแคบ ไหนเลยจะรู้ว่าใต้หล้านี้กว้างใหญ่ แต่ทว่าเมื่อถึงเวลาหาคนก็จะมาจากที่พวกนี้สักรอบ ก็หาคนไปได้ไม่น้อย”
หม่าซานเปียวหลายปีนี้ติดตามหวังทง ประสบการณ์ไม่น้อย เดาใจหวังทงได้หลายเรื่อง
ได้เห็นชีวิตยากลำบากแห้งแล้งมาสองสามวัน ก็เข้าใกล้เมืองหนิงเซี่ยมากขึ้น พบว่าที่นี่กลับดีกว่าตอนเหนือของส่านซี อย่างไรก็เป็นรอบนอกของแถบลุ่มน้ำ ที่นาไม่เลว
ตามรายงานองครักษ์เสื้อแพร ที่นาของแต่ละหน่วยมณฑลทหารล้วนคุณภาพต่ำ เพราะไม่ได้รื้อฟื้นระบบชลประทานลุ่มน้ำเดิม ทำให้เป็นที่ดินรกร้างไปหมด มีแต่ชาวบ้านช่วยกันรื้อฟื้นบางแห่งเท่านั้น ที่นาไม่เลวเหล่านี้คิดแล้วน่าจะเป็นผลจากการรื้อฟื้นระบบชลประทานเดิม
ที่นาเหล่านี้เป็นเรื่องดี เมืองหนิงเซี่ยเทียบกับตอนเหนือของส่านซีแล้วมีความยุ่งยากกว่าก็คือต้องรับแรงกดดันจากแต่ละเผ่าแถบลุ่มน้ำและเผ่าถู่ม่อเท่อ
ตั้งแต่ปีรัชสมัยฮ่องเต้เจียจิ้ง อิทธิพลทหารเริ่มเข้ากวาดล้าง ราชสำนักได้รับสารแจ้งเหตุด่วน ห้าส่วนก็ล้วนมาจากเมืองหนิงเซี่ย พวกนอกด่านหลายร้อยเข้าเผาและสังหารคนในเมืองหนิงเซี่ย มีทหารนับหมื่นผ่านข้ามเขตแดนมา เกิดเหตุใหญ่น้อยไม่หยุด
พื้นที่เช่นนี้มีข้อดีเรื่องเดียวก็คือง่ายต่อการสร้างความชอบจากสงคราม ทำให้ปัวไป้นำสิบกว่าเผ่ามาสวามิภักดิ์เมืองชายแดน สุดท้ายสะสมความชอบจนก้าวสู่อำนาจในวันนี้ ไม่ได้ต้องยากลำบากผ่านขั้นตอนอะไรมากนัก เริ่มต้นก็แค่ใช้กำลังอาวุธต่อสู่เสี่ยงตายจนได้มาเท่านั้น
แต่ละเผ่าวุ่นวาย ประชายากลำบาก มีแต่การศึกไม่หยุดหย่อน ล้วนเป็นเพราะสงครามทำให้เกิด ตั้งแต่เข้าสู่เมืองหนิงเซี่ย พื้นที่สงครามเช่นนี้ ชื่อสถานที่ล้วนมีกลิ่นอายสงคราม
ป้อมอู๋จงเป่า ป้อมเถียนสุ่นเป่า ป้อมเซี่ยเจียเป่า ป้อมหลี่จวิ้นเป่า ….แต่ละแห่งล้วนมีคำว่า ป้อม ตลอดทางมามีสิบกว่าหมู่บ้าน แปดหมู่บ้านมีคำว่า ป้อม ที่เหลือก็เป็นค่ายชิงสุ่ยอิ๋ง ค่ายอวี้เฉวียนอิ๋ง ชื่อเช่นนี้ แปดเก้าส่วนย่อมเป็นเกี่ยวข้องกับมณฑลทหาร และระบบการก่อสร้างก็ล้วนสร้างแบบป้อมทหารเป็นหลัก
ตอนนี้ใกล้ปีใหม่แล้ว แต่ไม่เห็นบรรยากาศเทศกาล แต่ละแห่งล้วนดูเข้มงวด ป้องกันแน่นหนา พวกหวังทงล้วนเป็นทหารออกรบมาหลายครั้ง ย่อมเข้าใจในการทหาร ทหารแต่ละแห่งล้วนต้องระวังภัยแน่นหนา ไม่อาจปล่อยปละได้แม้แต่น้อย
“ช่วยไม่ได้ พวกนอกด่านอาจมาตอนนี้ได้ ผู้ใดจะมานั่งสนใจฉลองปีใหม่กัน ทุกคนล้วนเป็นต้องระวังตัวมาก”
ชายนำทางแน่นอนย่อมอธิบาย แต่ทว่าพวกหวังทงรู้ว่าที่นี่ย่อมมีความผิดปกติ เผ่าอันต๋าถูกทำลายไปแล้ว หนิงเซี่ย อวี้หลิน เหยียนสุย ความกดดันย่อมน้อยลง พวกเขาเผชิญกับแต่ละเผ่าบนทุ่งหญ้า เรียกได้ว่าได้เปรียบแล้ว เหตุใดจึงตั้งป้อมระวังตัวเช่นนี้
เรื่องนี้ชายนำทางไม่รู้ เมืองหนิงเซี่ยลำบากยากจน ร้านสามธาราไม่ได้มาตั้งร้านค้าที่นี่ ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ขุนพลทหารเป็นหลัก สำหรับขุนนางแล้วเรียกได้ว่าเป็นพื้นที่ที่ทำให้รู้สึกไม่ดี งานองครักษ์เสื้อแพรที่นี่ก็ปฏิบัติได้ไม่ราบรื่น คิดจะได้ข่าวก็ไม่ง่าย
ทุกเรื่องเอาไว้ถึงเมืองหนิงเซี่ยค่อยว่ากัน เทียบกับความเคร่งเครียดที่นี่ เมืองหนิงเซี่ยเป็นเมืองที่มีบรรยากาศปีใหม่ไม่น้อย ตอนพวกหวังทงเข้าเมืองไป ก็ได้ยินเสียงประทัดและกลอง มีคนดูท่าทางมีอำนาจวาสนาเข้าออกไม่น้อย ล้วนสวมชุดใหม่
ต่างจากแผ่นดินหมิงที่หวังทงเคยไป ที่นี่ล้วนเป็นชาวฮั่นในชุดยาวผ้าต่วนดูมากอำนาจวาสนา ปกติมีผ้าขาวรัดผม หรือไม่ก็เป็นพ่อค้าใหญ่ซีอวี้สวมหมวกขนสัตว์ทรงแหลม สำหรับคนจน แต่ละเผ่าก็แต่งตัวเหมือนกันหมด ไม่ได้มีอะไรแตกต่าง
ต่างกับการระวังตัวแจของพื้นที่ที่ผ่านมา หน้าประตูเมืองหนิงเซี่ยผ่อนปรนกว่ามาก ทหารหน้าประตูรับเงินแล้วก็ปล่อยคนเข้าไป
หากจะบอกว่าเป็นเงินสินบนก็ไม่เหมือน กลับเหมือนว่ารับไปไม่สนใจอันใดมากกว่า พวกหวังทงสังเกตเห็นว่าทหารเฝ้าประตูเหล่นี้ใบหน้าและมือล้วนมีรอยแผลเป็น
ค่ายทหารโขกศีรษะกับพื้นเป็นเรื่องปกติ มีแผลก็ไม่ได้แปลกอะไร แต่ทหารเหล่านี้รอยแผลเหมือนว่ามีเรื่องชกต่อยกันมากกว่า นี่เป็นเรื่องแปลก หวังทงจับจ้องรอยแผลนานสักหน่อย ทหารที่ถูกจ้องก็เริ่มไม่พอใจ แต่ไม่อยากหาเรื่องให้ยุ่งยาก
ตอนเหนือของส่านซีออกจากเมืองเป่าติ้ง หวังทงนำขบวนการค้ามีม้าหลายร้อยย่อมเป็นที่จับตา เพราะรู้สึกได้ว่าเป็นขบวนการค้าใหญ่ แต่พอถึงเมืองหนิงเซี่ย กลับไม่ใช่เรื่อแปลก
จากซีอวี้ จากส่านซี จากทุ่งหญ้า ขบวนการค้าแต่ละแห่งล้วนไม่น้อย แต่ทว่าหวังทงสังเกตเห็นว่า รถใหญ่หู่เวยที่มีสี่ล้อเช่นนี้มีสัดส่วนไม่น้อย
เมืองหนิงเซี่ยมีความคล้ายกับเมืองกุยฮว่าเฉิง เมืองต้าถง เมืองเซวียนฝู่ แม้ว่าเป็นเมืองชายแดน แต่ล้วนเป็นพื้นที่คมนาคมศูนย์กลาง พ่อค้าหลายทางมารวมตัวกัน ย่อมรุ่งเรืองกว่าที่อื่น
ชายนำทางพอถึงเมืองหนิงเซี่ยก็ขอแยกตัวจากพวกหวังทง นอกจากให้ม้าไปแล้ว ตลอดทางเขานำทางได้ดี หวังทงอย่างไรก็ต้องมอบให้สักห้าตำลึงเงิน ชายนำทางขอบคุณยกใหญ่ ดีใจรีบไปหาความสุขต่อ
ขบวนม้าเข้าเมืองเดินไปตามท้องถนน ก็เหมือนกับเมืองอื่นๆ แม้แต่เส้นทางตรงประตูเมืองก็เป็นเส้นทางที่กว้างที่สุดและรุ่งเรืองของเมือง เรียกว่าเป็นทางหลักก็ว่าได้
ขบวนทัพม้าเข้าเมืองได้ไม่นาน ก็พบเหตุวุ่นวายข้างหน้า พวกหวังทงยังไม่รู้ว่าอะไร ชายคนหนึ่งข้างทางก็รีบวิ่งออกมาตะโกนว่า
“นายท่านท่านนี้ นำขบวนม้าท่านหลีกทางก่อน นายท่านปัวนำกองกำลังผ่านมา ชนขบวนเขาไม่ได้!”
หวังทงสบตากับคนข้างๆ หวังทงโบกมือ คนด้านหลังก็นำม้าหลบเข้าข้างทาง หวังทงหันไปพยักหน้ายิ้มให้ชายผู้นั้น ประสานมือขอบคุณ ชายผู้นั้นยิ้มตอบ กลับเข้าบ้านไป
วันที่ 28 เดือนสิบสองมาถึงเมืองหนิงเซี่ย พ่อค้าไม่มาก คนบนถนนล้วนระวังตัวดี หลีกกันสองข้างทาง
ไม่นาน ม้าหลายสิบตัวก็ปรากฏบนท้องถนน ล้วนเป็นทหารท่าทางกล้าหาญขี่ม้ามา เห็นแล้วมีทั้งชาวฮั่นและมองโกล ยิ้มแย้มคุยกัน เดินเยื้องย่างผ่านหน้าทุกคนไป ดูทิศทางแล้วน่าจะออกจากเมือง
พวกพวังทงกำลังจะเร่งเดินทาง ก็ได้ยินเสียงคนข้างทางวิพากษ์วิจารณ์กล่าวว่า
“ดีว่ามีคนเตือน เดือนสิบสองออกจากเมือง โดนคนพวกนี้ขี่ม้าชนเข้า เหยียบขาหักแน่…”