องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 942 ชมบนโรงเตี๊ยม
ในเมืองหนิงเซี่ยมีโรงเตี๊ยมใหญ่ พวกหวังทงก็เหมือนกับทุกครั้ง เหมาไว้ทั้งโรงเตี๊ยม จากประตูเมืองมาถึงโรงเตี๊ยมใช้เวลาไม่นาน แต่พวกหวังทงต้องหลีกทางให้สามครั้ง
เหมือนกับหน้าประตูเมืองล้วนเป็นทหารติดตามตระกูลปัวผ่านทางมาอย่างเหิมเกริม พ่อค้าล้วนต้องหลีกทาง ไม่เช่นนี้ก็จะนำภัยมาสู่ตัว
ใกล้ปีใหม่ นอกจากพ่อค้าใหญ่ซีอวี้ ยังมีพ่อในเมือง ไม่มีพ่อค้าจากที่อื่น พวกหวังทงจะหาโรงเตี๊ยมขนาดเพียงพอได้ไม่ยาก ให้เงินไปเพียงพอ เถ้าแก้ก็รีบส่งคนให้ไปตามคนงานที่กำลังจะกลับบ้านไปฉลองปีใหม่กลับมา
พอต้อนรับเข้าพักแล้ว สายตาเถ้าแก่โรงเตี๊ยมก็แหลมพอจะดูออกว่า พวกหวังทงมาทำการค้านั้นเกรงว่าเป็นเรื่องเท็จ ออกมาเที่ยวเล่นน่าเป็นเรื่องจริงกว่า
“นายท่าน เห็นท่านก็รู้ว่ามาตะวันตกเฉียงเหนือครั้งแรก เมืองหนิงเซี่ยเป็นหัวเมืองชายแดน ที่รุ่งเรืองที่สุดไม่ใช่ที่นี่ หากต้องไปทางด่านกำแพงเมืองกองกำลังหลังหนิงเซี่ยและป้อมกาวผิงเป่า ที่นั่นใกล้แอ่งน้ำฮัวหม่า พ่อค้าเกลือส่านซีกับพวกนอกด่านอยู่กันมาก กินดื่มสนุกสนานมีครบ ดีกว่าที่นี่มาก”
จากสุยอันมา ผ่านผาชิงถง ชายนำทางเคยกล่าววาจาเช่นเดียวกัน
สำหรับพ่อค้าในด่านนั้น สินค้าส่งมาที่นี่กับส่งไปทุ่งหญ้าไม่ต่างกัน กำไรสินค้าชายแดนไม่สู้ชายแดนตะวันออก กำไรเมืองหนิงเซี่ยสูงสุดก็คือบ่อเกลือ เมืองหนิงเซี่ยติดทะเลสาบเกลือหลายแห่ง เกลือในทะเลสาบบางสมัยคุณภาพสูงมาก ที่เรียกกันว่า เกลือป่นหิมะ
เกลือเหล่านี้ไม่ว่าขายยังทุ่งหญ้า หรือขายไปทางส่านซี ล้วนได้กำไรค่อนข้างสูงมาก คนไร้เกลือไม่อาจมีชีวิต หากเป็นเจ้าของบ่อเกลือได้ หลายเผ่าบนทุ่งหญ้าย่อมสวามิภักดิ์
ด่านกำแพงเมืองกับป้อมกาวผิงเป่าล้วนเป็นเขตพื้นที่สำคัญชายแดน บ่อเกลือก็อยู่ละแวกนี้ ขอเพียงเมืองหนิงเซี่ยมีกำลังเพียงพอ ก็จะสามารถคุมบ่อเกลือไว้ได้ ตระกูลปัวมีคนผู้หนึ่งเป็นบุตรบุญธรรมปัวไป้นามว่าปัวอวิ๋นเป็นทหารป้องกันพื้นที่ อยู่ที่นั่น กำลังตระกูลปัวบวกกับกำลังทหารเมืองหนิงเซี่ย ล้วนเป็นกำลังยิ่งใหญ่ในเขตลุ่มน้ำนี้อย่างเห็นได้ชัด บ่อเกลือแน่นอนอยู่ในกำมือพวกเขา
ตามรายงานตรวจสอบขององครักษ์เสื้อแพร ตระกูลปัวคุมบ่อเกลือได้ กำลังก็เริ่มทับอิทธิพลผู้ว่าการมณฑล แน่นอนย่อมต้องคิดกำเริบเสิบสานตามมา
กองกำลังหลังหนิงเซี่ยแม้ว่าร่ำรวย เป็นเส้นเลือดการค้าหลักของหนิงเซี่ย แต่ทว่าที่มาไม่ใช่มาที่นี่ หวังทงตอนนี้ไม่อาจสนใจจะไป ได้แต่กล่าวกับเถ้าแก่ว่า
“เตรียมไว้ว่าอีกเดือนหนึ่งจะไปดูทางทางตะวันตก บ่อเกลือพวกนั้นไม่ได้มีอะไรน่าสนใจ”
“นายท่านจะไปดูที่กองกำลังฮามี่เว่ยกับอี้ลี่ปาหลี่ ก็ไม่เลว สองปีนี้พ่อค้าแผ่นดินหมิงเราไม่น้อยก็ไปทำการค้ากัน!”
คนทำกิจการโรงเตี๊ยมล้วนประสบการณ์มาก นับประสาอันใดกับเมืองทางตะวันตกเฉียงเหนือเช่นหนิงเซี่ยนี้ ความจริงนั้นจากหนิงเซี่ยข้ามไป เส้นทางก็มีแต่ทะเลทรายกับแนวเขาขวางกั้น ต้องอ้อมไป แต่ทว่าก็แค่คุยกันทั่วไป ผู้ใดจะคิดเป็นเรื่องจริงจังกัน
จัดการที่นี่เรียบร้อย ทหารติดตามก็เปลี่ยนเสื้อผ้าออกไปเดินข้างนอก ใกล้ปีใหม่ เถ้าแก่และคนงานโรงเตี๊ยมคนไม่พอ ร้อยกว่าคนมายังมีม้ามากเพียงนี้ จึงไม่มีใครมาสนใจว่าคนอื่นจะไปที่ไหน หากแต่งตัวเป็นทหารออกไป ย่อมทำให้คนอื่นตกใจ
สวมชุดหนังแกะออกไป สวมหมวกไปด้วย ล้วนเป็นการแต่งกายแบบคนในพื้นที่ เดินไปตามท้องถนนย่อมมองไม่ออกว่าไม่เหมือนคนอื่นที่นี่
หากตระกูลปัวคิดทำอะไร สำนักกองพันองครักษ์เสื้อแพรที่นี่ย่อมจับตาแน่นหนา ต้องติดต่อกันให้เรียบร้อย ไม่เช่นนี้เกรงว่าจะยุ่งยาก
ออกไปไม่เพียงแต่ทหารผู้นี้ ยังมีอีกหลายคนคิดไปเดินเล่นนอกโรงเตี๊ยม คนนอกพื้นที่มาก็มักจะออกไปเดินดูรอบๆ เป็นเรื่องปกติ
ในเมืองหนิงเซี่ยมีร้านค้าใหญ่หลายร้าน แม้ว่าไม่มีร้านค้าในเครือสามธารา แต่ก็มีสัมพันธ์กับกลุ่มพ่อค้าเมืองกุยฮว่าเฉิง ไปที่พวกนี้ใช่ว่าต้องแจ้งสถานะตน ขอเพียงแค่บอกว่าเป็นพ่อค้าจากเมืองกุยฮว่าเฉิง ให้พวกเขาไปติดต่อทางโรงเตี๊ยมกันสักหน่อย
การค้าแต่ละร้านกับกลุ่มพ่อค้าเมืองกุยฮว่าเฉิงติดต่อกันเช่นนี้เป็นปกติ ร้านค้าสาขาในพื้นที่ย่อมให้ความช่วยเหลือ
จัดการเรื่องพวกนี้เสร็จ หวังทงเองก็นำคนสนิทสองสามคนออกไปเดินรอบๆ โรงเตี๊ยม ไม่ต่างอันใดกับยามอยู่สนามรบ คนแปลกถิ่น อย่างไรก็ต้องเตรียมการให้รอบคอบ ไว้รับมือสถานการณ์กะทันหัน จะทำให้ชินพื้นที่อย่างไรก็ต้องเดินรอบๆ ไม่อาจทำงานในขณะที่สองตามองอันใดไม่เห็น
อาหารการกินตลอดทางจากนี้ต้องจัดการเตรียมจากที่นี่ให้เรียบร้อย กลับถึงโรงเตี๊ยมก็รู้สึกเหนื่อยล้า พ่อครัวโรงเตี๊ยม ล้วนกลับบ้านไปฉลองปีใหม่ แต่ทว่าอาหารก็ง่ายมาก แพะจัดการชำแหละแล้วก็ลงหม้อต้ม ตัดแบ่งเป็นชิ้นใหญ่ๆ แบ่งกัน ทีเหลือก็มีแค่ผักดองกับแผ่นแป้งเท่านั้น
คนที่ร้านเห็นพวกหวังทงกินกันเอร็ดอร่อย ก็แปลกใจ แม้ว่ารอนแรมมาไกล แต่พวกหวังทงแต่งกายเช่นนี้ ม้าและสัมภาระล้วนแสดงให้เห็นว่าเป็นพ่อค้าใหญ่ระดับต้นๆ ฟังจากสำเนียง เห็นชัดว่าเป็นคนมาจากทางตะวันออก ตามหลักแล้วอาหารการกินหยาบๆ ที่หนิงเซี่ยน่าจะไม่ชิน แต่ปรากฏว่าทุกคนไม่สนใจ เขาคิดไม่ถึงว่าตั้งแต่ต้าถงไปยังเมืองกุยฮว่าเฉิงอาหารการกินเหมือนกัน
พอกินเสร็จ ก็ล้างหน้าบ้วนปากง่ายๆ หวังทงคิดจะเข้านอน มาวันแรก ทำอะไรได้ ตอนกินข้าวดื่มไปแก้วหนึ่ง ทำให้ร่างกายรู้สึกเริ่มล้า หัวถึงหมอนก็คิดจะหลับทันที
หลับตาลงไม่นาน ก็ได้ยินเสียงเอะอะจากด้านนอก ทำหวังทงตื่นจากฝัน มือรีบคว้าดาบ
ตื่นมาฟังดูให้ดี เสียงเอะอะมาจากนอกโรงเตี๊ยม และในความเอะอะมีเสียงตะโกนดังเป็นสำเนียงชาวหนิงเซี่ย ซึ่งต่างจากสำเนียงกลางไม่มากนัก ยังพอฟังออกว่ามาเอะอะไรกัน เป็นวาจาลบหลู่ก่อนลงมือวิวาทกัน
“นายท่าน คนนอกโรงเตี๊ยมสองกลุ่มนตีกัน!”
ด้านนอกมีผู้คุ้มกันรายงานเบาๆ หวังทงจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ก่อนจะยัดปืนสั้นใส่เสื้อ แขวนดาบก้าวออกไป พอออกไปก็ถามขึ้น
“ที่นี่ตรงข้ามเป็นกองพันรักษาความสงบ หน้าที่ทำการทางการมีคนกล้าก่อเรื่องหรือ?”
เมืองหนิงเซี่ยไม่ใหญ่ โรงเตี๊ยมระดับนี้ล้วนอยู่ใจกลางเมือง ใจกลางเมืองล้วนเป็นที่พักของพวกมีอำนาจวาสนาและที่ทำการทางการ จวนผู้บัญชาการ จวนผู้ว่าการมณฑลล้วนอยู่ที่นี่ กองพันรักษาความสงบมีหน้าที่ดูแลตรวจตราเมืองหนิงเซี่ย
เมืองชายแดนไม่มีขุนนางบุ๋นดูแลราษฎร ล้วนเป็นขุนพลทหารจัดการดูแล กองพันรักษาความสงบความจริงนั้นเป็นขุนนางท้องถิ่นของเมืองหนิงเซี่ยเอง นอกจากป้องกันแล้ว ยังมีหน้าที่รักษาความสงบจากพวกโจรขโมยอีกด้วย ถึงกับมีคนกล้าลงมือหาเรื่องเช่นนี้ แม้เป็นมือปราบศาลทั่วไปก็ไม่เคยปล่อยปละ นับประสาอันใดกับเขตพื้นที่ทหารเช่นนี้ ใช่ว่ารนหาที่ตายหรือ?
หวังทงถามขึ้น ทหารติดตามด้านนอกแน่นอนรู้ว่าหมายถึงอะไร สีหน้าทหารติดตามแปลกๆ ตอบว่า
“นายท่าน เป็นทหารกองพันรักษาความสงบตีกับคนตระกูลปัว!”
หวังทงอึ้งไป ตามด้วยส่ายหน้ายิ้ม กล่าวว่า
“ขึ้นไปดูกัน!”
โรงเตี๊ยมใหญ่ไม่ว่าใช้หรือไม่ ก็จะสร้างแบบสองชั้น ติดหน้าถนนไว้ คนเดินผ่านไปด้านหน้าก็เห็นเถ้าแก่ตะโกนดังให้ยกไม้ปิดประตู บ่นไม่หยุดว่า
“ใกล้ปีใหม่ก็ไม่ได้หยุดได้หย่อน เดือนสิบสองตีกัน ดูท่าแล้ว เดือนหนึ่งก็คงตีกันอีก กินอิ่มกลับไปนอนกับภรรยาดีกว่า มาลำบากที่นี่ทำไม่กัน!”
ด่าทอไม่หยุด หากก็เห็นเป็นเรื่องปกติ ทางหวังทงเข้าไปเรียก เถ้าแก่รีบยิ้มนำหวังทงขึ้นไป เดินไปกล่าวไปว่า
“นายท่านไม่รู้ เมืองหนิงเซี่ยเดิมก็สงบสุขดี ผู้ใดจะคิดว่าพอเดือนเจ็ดมา ในเมืองไม่รู้ผีเข้าหรือไร สามวันสองวันก็ตีกัน คนตระกูลปัวกับคนผู้บัญชาการตีกันเรื่อย กับคนผู้ว่าการมณฑลก็ด้วย กับคนกองพันรักษาความสงบก็เอาด้วย พอตีกันก็ทำเอาไม่มงคลกันไปทั้งเมือง กาค้าล้วนไม่ต้องทำกันแล้ว เดือนสิบยังบุกเข้ามาทำลายข้าวของ ตอนนี้เห็นพวกเขาจะตีกัน คงต้องปิดประตูการค้ากันก่อน”
ได้ยินเขาเล่าเช่นนี้ หวังทงก็เข้าใจทันที มิน่าตอนเข้าเมืองมาเห็นทหารใบหน้าบาดเจ็บ ย่อมมาจากสาเหตุนี้เป็นแน่
ขึ้นชั้นบนไปยืนดูจากห้องที่ใกล้ถนน หนิงเซี่ยในเวลานี้ หน้าต่างล้วนมีม่านหนา เลิกม่านยุ่งยาก กำลังสาละวนอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงด่าทอด้านนอกรุนแรงขึ้น พอปลดม่านลง เปิดหน้าต่าง ด้านนอกก็ลงมือตีกันแล้ว
ดีที่เป็นหน้าหนาว พื้นดินยังไม่มีมีฝุ่นมาก ด้านบนมองลงไปเห็นชัด สองกลุ่มหน้าโรงเตี๊ยมกำลังตีกันชุลมุน
กองพันรักษาความสงบเป็นหน่วยกองพันทางการแน่นอนย่อมสวมชุดทางการ คนตระกูลปัวล้วนเป็นชุดหนังคลุม คนปกติให้บ่าวต่างกายเช่นนี้ที่ไหนกัน สองฝ่ายไม่ได้ใช้อาวุธ อย่างมากก็แค่ท่อนไม้กับแส้หนัง มากสุดก็เป็นหมัดและเท้า
มองจากด้านบน สองกลุ่มแยกง่ายมาก หม่าซานเปียวดูสักพัก ก็พึมพำว่า
“กองพันรักษาความสงบคนมากกว่า!”
คนที่ยื่นหน้าออกไปดูล้วนมองออก คนตระกูลปัวน้อย คนกองพันรักษาความสงบมากกว่า แต่คนตระกูลปัวกลับได้เปรียบ ไม่ว่าตัวต่อตัวหรือเป็นกลุ่ม คนกองพันรักษาความสงบล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ หมัดสองหมัดก็ถูกซัดหมอบกับพื้นแล้ว
เถ้าแก้ด้านหลังขี้เกียจจะดูต่อ อธิบายด้านหลังว่า
“คนตระกูลปัวพวกนี้หาเรื่องไปทั่ว ยังล้วนเป็นคนน้อยตีกับคนมาก ไม่เสียเปรียบเสียด้วย ในเมืองล้วนวางอำนาจบาตรใหญ่ มีเวลาว่างก็จะไปล่าแพะมาแลกเงินดีกว่าไหม มาหาเรื่องทะเลาะแถวนี้ได้ทั้งวัน เสียแรงเปล่าไหมเนี่ย?”
“คนงานในบ้านตีกับทหาร ตีกันได้ผลเช่นนี้ไม่แปลก”
หวังทงบ่นเบาๆ หันไปถามขึ้น
“กองพันรักษาความสงบนับว่าเป็นคนทางการ เถ้าแก่ ตีกับทางผู้บัญชาการก็เป็นเช่นนี้หรือ?”
“ผู้บัญชาการใช้ไม่ได้หรอก โดนจัดการไปจนไม่กล้าออกจากจวนผู้บัญชาการเลย ตอนนี้มาเดินถนนยังไม่กล้าแต่งุดขุนนางมาเลย ไก่อ่อนยิ่ง”
เถ้าแก่กล่าวไม่พอใจมาก หวังทงยิ้มพยักหน้า หลายคนตรงหน้าต่างสบตากัน เฉินต้าเหอกล่าวเบาๆ ว่า
“ตระกูลปัวกำลังแสดงบารมี…….”
“และแสดงได้ไม่เลวเสียด้วย”