องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 943 อธิบายสถานการณ์หนิงเซี่ยอย่างละเอียด
วิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ด้านบน ด้านล่างตีกันครื้นเครง หน้าต่างติดถนนหน้าโรงเตี๊ยมนี้ล้วนมีคนหวังทงเปิดออกชมความครึกครื้นด้านล่างหมดทุกบาน
เรื่องตีกันนี้เป็นเรื่องสนุกของผู้ชาย ทุกคนบนชั้นสองล้วนชมกันอย่างออกรส ไม่เพียงพวกหวังทง คนว่างงานในช่วงเทศกาลก็มีมากไม่น้อย มองออกไกลๆ ก็เห็นคนมาล้อมวงดู ดูการแต่งกายมาจากหลากเผ่า
“ไม่ได้เคยฝึก แต่ว่าความกล้าเรียกได้ว่ามีอยู่”
พวกหานกังอยู่อีกหน้าต่าง กองกำลังหู่เวย กองกำลังองครักษ์ ทหารในสังกัดหวังทง หมัดมวยตั้งแต่ระดับทหารธรรมดาก็ล้วนมีรูปแบบ แปดเก้าส่วนเป็นมวยที่ชีจี้กวงกับอวี๋ต้าโหยวถ่ายทอดมา การต่อสู้เช่นนี้ย่อมมองออกกัน
แต่ทว่าคนเหล่านี้ดูแล้วก็รู้ว่ามวยไร้สำนัก เหมือนอันธพาลตามท้องถนน แค่ลงมือเร็วเท่านั้น กำลังมากเท่านั้น ทุกคนรวมกำลังประสานได้ดีและไม่กลัวเจ็บ
ทหารกองพันรักษาความสงบก็เป็นเช่นนี้ เพียงแต่ประสบการณ์น้อยกว่า กำลังน้อยกว่า รวมกำลังประสานไม่ดี และเริ่มลงมือด้วยอารมณ์ ลงมือก็ระบายทันที ด้านหน้าส่งเสียงร้องดัง หลายคนล้มลง ด้านหลังก็คิดจะวิ่งเข้าไป พอขยับ คนอื่นก็ยังคิดชกต่อยกันต่อ ไม่อาจหนีไปไหนได้ ไม่อาจไม่ลงมือ
“หากจะบอกว่าไม่เคยฝึกก็ไม่ใช่ เจ้าดู แม้หมัดมวยไร้รูปแบบ แต่ต่อยล้มไปคน ก็มีเพื่อนข้างๆ เข้าไปช่วย ด้านหน้าสี่คนนั้นไม่ละห่างจากกัน บุกขึ้นหน้าตลอด คนอื่นล้วนอยู่สองปีกข้าง นี่เป็นยุทธวิธีสนามรบ”
ทุกคนวิจารณ์กันคนละคำสองคำ ไม่ต้องตนเองลงมือเอง ดูสนุกสนาน ก็เรียกได้ว่าสร้างความบันเทิงแล้ว
คนด้านล่างตีกันเสร็จ ทหารกองพันรักษาความสงบหลายคนถูกต่อยล้มคลานอยู่บนพื้น มีคนกระทืบซ้ำอีกหลายที ขดตัวราวกับกุ้งอยู่บนพื้น
คนตระกูลปัวในชุดคลุมหนังหัวเราะดังยิ้มเยาะด่าทอ มีคนหนึ่งตะโกนดังขึ้น กล่าวเป็นภาษามองโกล คนที่ล้อมวงชมก็พากันหัวเราะดังลั่น
“เจ้าแพะน้อยกินหญ้าเติบโตมามีค่าอันใด มาทำใหญ่ที่หนิงเซี่ย รู้จักความร้ายกาจแล้วก็ไสหัวกลับไปซะ ที่นี่เป็นที่ของชายบนทุ่งหญ้าอย่างพวกเราเท่านั้น”
หม่าซานเปียวเข้าใจภาษามองโกล แปลให้หวังทงว่า
ตีกันจบ ยิ้มเยาะด่ากันเสร็จ ทหารกองพันรักษาความสงบก็ประคองกันกลับไปอย่างทุลักทุเล คนตระกูลปัวไม่ได้ทำอะไรต่อ หากจากไปอย่างไม่ยี่หระ มาถึงตอนนี้ กองพันรักษาความสงบที่อุดหน้าประตูแน่นจึงได้ค่อยๆ จากไป ขุนพลทหารสีหน้าย่ำแย่วิ่งออกจากด้านในไปสองสามนาย ส่วนใหญ่เป็นนายกองร้อย ส่งเสียงด่าทอดัง
วาจาเป็นภาษาฮั่น อย่างไรก็คงต้องด่าพวกเขาหาเรื่องก่อน ตีกันยังแพ้อีก คนที่มุงดูยังไม่ไปไหน มียิ้มเยาะเสียดสี พวกขุนพลทหารได้ยิน แต่แสร้งไม่ได้ยิน
หวังทงส่ายหน้า โบกมือให้เถ้าแก่ปิดหน้าต่าง ได้ยินทหารติดตามวิพากษ์วิจารณ์ตื่นเต้น ‘หากเป็นพวกเรา ย่อมชนะแน่’ อย่างไรก็ต้องตามหัวหน้าทหารติดตามสองสามคนมากำชับว่า
“ไม่มีคำสั่งข้า ผู้ใดทำการพลการ ลงโทษทางวินัย!”
หัวหน้าทหารติดตามได้รับคำสั่งก็มีสีหน้าไม่ยินยอม หวังทงอดยิ้มเย็นไม่ได้ แต่ก็ไม่สนใจ กลับไปพักผ่อนต่อ
พอฟ้ามืด อาหารยังคงเป็นเนื้อแพะและแผ่นแป้ง มีแค่ต้นหอมดองมาเพิ่ม กับชาร้อนจากผลไม้แห้ง กินง่ายๆ เสร็จไปอีกมื้อ
คนที่ออกไปดูความสนุกด้านนอกล้วนกลับมา ในเมืองหนิงเซี่ยแน่นอนมีหอคณิกา เถ้าแก่โรงเตี๊ยมมาถามว่ามีการค้าหญิงคณิกาที่นี่ด้วย นายท่านทุกท่านคืนนี้ต้องการหรือไม่ เรื่องพวกนี้กับพวกหวังทงไร้วาสนา ได้แต่ไล่ไป
กินอาหารค่ำไปราวครึ่งชั่วยาม ด้านนอกมีคนแต่งกายแบบเถ้าแก่มาคารวะ บอกว่าเป็นคนร้านค้าเบ็ดเตล็ดของตระกูลหลี่ในเมือง ขอพบนายท่านหวังซาน
หวังซาน เป็นชื่อปลอมที่หวังทงใช้ตอนอยู่โรงเตี๊ยม ตลอดทางใช้ชื่อนี้ เชิญเถ้าแก่เข้าไปด้านใน ไปยังที่พักเดี่ยวของหวังทง
เถ้าแก่ผู้นี้พอพบหวังทง ก็หันกลับไปมอง นอกจากผู้คุ้มกันไม่มีคนนอก ก็รีบคุกเข่าโขกศีรษะ กล่าวว่า
“คำนับท่านโหว”
หวังทงไม่เคยพบเถ้าแก่ท่านนี้ เบื้องหน้าเป็นชายอายุราว 40 กว่า คนหวังทงนอกจากระดับหัวหน้าแล้ว ก็ไม่ค่อยมีคนอายุเท่านี้
“ข้าน้อยเป็นคนของใต้เท้าจางซื่อเฉียงที่รับมาตอนอยู่เมืองหลวง เมื่อก่อนอยู่เขตปัจจิมในเมืองหลวงเป็นนายกองธงเล็ก เป็นใต้เท้าจางที่เลื่อนให้ข้าน้อยเป็นนายกองร้อย ตอนนี้มาประจำที่เมืองหนิงเซี่ย”
เล่าที่มาแล้ว หวังทงพยักหน้า ส่งสัญญาณให้คนผู้นี้ลุกขึ้นยืน เขายืนขึ้นท่าทางนอบน้อม ปลดป้ายที่เอวส่งให้ดูก่อนเริ่มรายงาน
ผู้ที่แต่งกายแบบเถ้าแก่ที่มานี้ แม้ว่าเป็นนายกองร้อยองครักษ์เสื้อแพรหนิงเซี่ย แต่ปกติก็ทำงานสายลับ ก็หมายความว่า คนในเมืองไม่รู้ว่าเขาเป็นองครักษ์เสื้อแพร
“……นายกองพันหลี่เกรงว่าไม่มีคนส่งข่าว ตระกูลปัวแม้ไม่มีสายมาก แต่สายในหนิงเซี่ยก็หูตาไว พวกเขาแม้ไม่สืบ ก็มีคนไปแจ้งเอง อย่างไรก็ต้องระวัง……”
นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรหนิงเซี่ยหลิวจี๋หลินมาถึงเมืองหนิงเซี่ยก็พบว่าไม่มีโอกาสสร้างผลงานหรือแสดงความสามารถใด หากต้องระวังตัวเสมอ
นายกองร้อยหลี่เป็นลูกน้องเขา นายกองร้อยหลี่เปิดร้านค้าเบ็ดเตล็ดตรงข้ามสำนักองครักษ์เสื้อแพร ทหารหลายคนล้วนมาซื้อของ หลิวจี๋หลินหากต้องการข่าวใด ก็มาหาจากนายกองร้อยหลี่ ตอนมาซื้อของกระซิบกันเบาๆ หรือาจมีแถบกระดาษเล็กๆ ไม่มีผู้ใดเห็น
คนที่หวังทงส่งมาก็ไปยังร้านค้าที่บอกไว้ก่อนพวกนี้ แต่พวกเขาไม่รู้ว่าร้านค้านี้ความจริงนั้นเป็นร้านสายองครักษ์เสื้อแพร
“ทราบว่าท่านโหวมา นายกองพันหลิวดีใจมาก แต่ทว่าสถานการณ์ตอนนี้ซับซ้อน ไม่กล้ามาพบท่านโหว ขอให้ข้าน้อยมาแจ้งข่าวท่านโหว ท่านโหวหากมีคำสั่งก็ให้ข้าน้อยนำกลับไป”
หวังทงตรวจดูป้ายประจำตัว ถามเรียบๆ ว่า
“มีคนว่าตระกูลปัวไม่สงบ มีคนว่าตระกูลปัวคิดก่อการ สถานการณ์แท้จริงคืออะไร?”
“…….เป็นเพราะหลังเกิดเหตุสองเรื่อง……”
นายกองร้อยหลี่เริ่มเล่า เล่าได้เข้าใจ เรื่องพวกนี้คนในพื้นที่ยอมรู้ ผู้ใดล้วนสามารถสืบความเข้าใจได้ ก่อนปีรัชสมัย ว่านลี่ที่ 6 ตระกูลปัวยังกระทำการรอบคอบ แต่ทว่าปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 6 โจรลุ่มน้ำบุกโจมตีหนัก หลายกองกำลังในเมืองกานซู่กับเมืองหนิงเซี่ยล้วนวิกฤต ปัวไป้กับปัวเฉิงเอินนำทหารไปช่วย พอไปถึง โจรลุ่มน้ำก็ถอย นี่เป็นเรื่องปกติ แต่เส้นทางขามา กองพันทหารกับป้อมทหารระหว่างทางไม่เป็นมิตรนัก แต่ก็เอาแต่หดหัวอยู่ในป้อม ความจริงนั้นล้วนกลัวทหารตระกูลปัว ไม่กล้าออกมากัน
อีกเรื่อง ตลอดทางมาที่ได้เห็นเมืองกานซู่กับเมืองหนิงเซี่ย และเมืองอวี้หลิน ทหารไม่น้อย เทียบกับคนงานและทหารตระกูลปัวแล้วต่างกันมาก คบค้ากันก็เหมือนจะเกรงกลัวอยู่หลายส่วน
และทหารที่มากันนี้หลายคนยังเป็นรองแม่ทัพหรือขุนพลทหารจากเมืองชายแดนหลายเมืองทางตะวันตกเฉียงเหนือ ปัวไป้กับปัวเฉิงเอินพบกว่าทหารตนเป็นเจ้าแห่งตะวันตกเฉียงเหนือ จึงยากที่จะไม่เกิดความเหิมเกริมขึ้น
“ทหารกล้าส่านซีล้วนอยู่แถวเมืองซีอัน มีโจรลุ่มน้ำมาโจมตี จึงไม่กล้าออกไปไหน ตระกูลปัวพบเห็นน้อย มิน่าจึงได้เหมือนโลกแคบ”
หวังทงยิ้มกล่าวขึ้น แต่ทว่าความจริงเป็นอย่างไรไม่อาจกล่าวได้ ทหารเมืองหนิงเซี่ยล้วนเป็นพวกอยู่ท่ามกลางสงครามมานาน ทางส่านซีกลับฝึกซ้อมและเสริมกำลังมากกว่า สองฝ่ายเทียบกัน ผู้ใดชนะ ผู้ใดแพ้ ยังต้องคิดอีกที
“……ท่านโหวกล่าววิเคราะห์ได้ยอดเยี่ยม อีกเรื่องก็เพราะปีนี้……”
นายกองร้อยหลี่ยังคงมีนิสัยแบบคนทำงานในเมืองหลวง ยิ้มสรรเสริญหวังทงแล้วก็กล่าวต่อว่า
“ตระกูลปัวนับวันยิ่งเหิมเกริม มณฑลทหารแผ่นดินหมิง ขุนพลทหารเหิมเกริมมากมาย ขุนนางบุ๋นจัดการได้ก็จัดการ ไม่อาจจัดการได้ ก็ได้แต่ทำไม่รู้ไม่ชี้ยอมรับชะตากรรมไป มีคนผู้หนึ่งเหิมเกริมยิ่ง ผู้ว่าการมณฑลสี่คนที่ผ่านมาทนรับตระกูลปัวคุมเส้นทางการเงินใหญ่น้อยในหนิงเซี่ยไว้หมดไม่ได้ ล้วนครบกำหนดแล้วก็ไป ผู้ว่าการมณฑลตั่งเซียงก็เช่นกัน ดังนั้นสองฝ่ายจึงได้ราวกับลิ้นกับฟัน ผู้บัญชาการแน่นอนมองขัดตา ตระกูลปัวนั่งครองพื้นที่มานาน ทำเอานายที่นี่นั่งไร้ศักดิ์ศรี เดิมบุ๋นสูงกว่าบู๊ แต่ที่หนิงเซี่ย ผู้ว่าการมณฑลกับผู้บัญชาการกลับไม่ต่างกัน”
อิทธิพลอำนาจเช่นนี้ เหิมเกริมเช่นนี้ แน่นอนย่อมรู้สึกว่าตนเองไม่อาจเสียเปรียบ แต่สองปีนี้ กำไรการค้าชายแดนถูกบีบหนักมาก พวกเผ่าเล็กที่มาพึ่งพาตระกูลปัวแห่งเมืองหนิงเซี่ยก็เริ่มกระจัดกระจายไป ไม่ก็ถูกทำลายไป ถึงกับมีพวกตระกูลปัวถูกปล้นไปเป็นทาสที่เมืองกุยฮว่าเฉิง ดีที่ระหว่างทางหนีกลับมาได้
เสียเปรียบหนักเช่นนี้ ความแค้นนี้นับวันยิ่งสะสมหนัก แผ่นดินหมิงเห็นเขาเป็นขุนพลทหาร บนทุ่งหญ้ากลับมองว่าตระกูลปัวเป็นชนเผ่าอิทธิพลอำนาจใหญ่สุดในแถบนี้ ตอนนี้บนทุ่งหญ้าถูกกลุ่มพ่อค้าติดอาวุธบีบคั้นนับวันยิ่งหนัก ทุกคนล้วน ขอให้ตระกูลปัวออกหน้า หวังว่าตระกูลปัวจะสามารถคิดหาวิธีอะไรออกมาได้
ได้ประโยชน์น้อยลง แต่อิทธิพลอำนาจตระกูลปัวขยายอิทธิพลมากขึ้น ยิ่งเหิมเกริมขึ้น ยิ่งแค้นมากขึ้น ยิ่งขยายอิทธิพล ไปสู่ผลลัพธ์ใดย่อมรู้ไม่ยาก
“คิดไม่ถึงว่าเป็นเมืองกุยฮว่าเฉิงที่สร้างความยุ่งยาก ข้าไม่อาจปัดความรับผิดชอบนี้ได้!”
หวังทงยิ้มเยาะตนเอง นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรหนิงเซี่ยไม่กล้ากล่าวกระจ่าง ผู้ว่าการมณฑลกับผู้บัญชาการไหนเลยจะล่วงเกินได้ แต่ไรมาฎีกาก็กล่าวแต่ว่าตระกูลปัวอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ไม่กล้ากล่าวความจริงที่เป็นอยู่
“ท่านโหวล้อเล่นแล้ว เป็นตระกูลปัวที่เลอะเลือนเอง ตระกูลปัวใช่ไม่ได้จริงๆ เป็นนายกองพันหลิวตงหยางจากป้อมจางเลี่ยงเป่าก่อเรื่อง……”
ตระกูลปัวใกล้บ่อเกลือ อาศัยสายสัมพันธ์กับเผ่าใหญ่น้อยบนทุ่งหญ้าทำกำไรใหญ่จากชายแดน ยังอาศัยเรื่องนี้ทำให้เรืองอำนาจวาสนา แต่นี่ไม่ใช่ตระกูลเขาเริ่มต้น ตระกูลใหญ่ทางตะวันตกเฉียงเหนือล้วนเป็นเช่นนี้ แต่เพราะตอนนี้ สถานการณ์เปลี่ยนไป ล้วนพังลงหมดสิ้น
คนพวกนี้รุ่นปู่ก็ร่ำรวยจากเรื่องพวกนี้มา ล้วนเป็นทหารตะวันตกเฉียงเหนือที่กล้าหาญ พอเจอกับสถานการณ์นี้ จะให้ทนรับได้อย่างไร หลิวตงหยางแม้ว่าเป็นแค่นายกองพัน แต่เมืองหนิงเซี่ยนี้เน้นการคบหากันและการช่วยเหลือกันเรื่องเงินทอง เขาเดิมอยู่ที่ป้อมจางเลี่ยงเป่า ต่อมาเกิดเรื่องก็มาอยู่เมืองหนิงเซี่ย กลายแขกตระกูลปัว ว่ากันว่าตระกูลปัวฟังคนผู้นี้ในทุกเรื่อง
หวังทงยกมือนวดขมับเบาๆ …..