องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 946 รวมกลุ่มก่อวิวาทหมู่
การทะเลาะวิวาทกันตามท้องถนน พอถูกต่อยตีล้มลุกคลุกคลานกับพื้นไปหมดหรืออาจไม่ต้องถึงขั้นนั้น แต่หลังจากเสียเปรียบก็ย่อมแยกย้าย
คนตระกูลปัวแน่นอนย่อมแตกต่าง ล้วนเป็นพวกเห็นความเป็นความตายมาก่อน การวิวาทตามท้องถนนมักสู้ไม่ถอย ไม่มีคนหนี ปัญหาคือจำนวนคนสู้ไม่ได้ สู้เดี่ยวก็ไม่ไหว
ไม่พูดถึงฉีอู่ หานกัง ซุนเผิงจวี่และอีกหลายคนที่ตัวสูงใหญ่รับมือได้มากกว่าหนึ่ง แม้แต่หลีเสี่ยวเปียวตัวผอมแห้งก็สู้ตัวต่อตัวไม่เสียเปรียบ ถึงกับยังได้เปรียบอีก
คนตระกูลปัวอีก 30 ที่ยืนอยู่ดูออกไม่กล้าเข้าร่วม แต่แม้พวกเขาเข้าร่วม จำนวนคนก็ยังน้อยกว่าพวกองครักษ์เสื้อแพร
ต่อยล้มไปหนึ่ง องครักษ์เสื้อแพรก็ว่างมารุมอีกคน หากตีกันเช่นนี้ต่อไป ความได้เปรียบเรื่องจำนวนคนก็เห็นได้ชัดขึ้น ค่อยๆ กลายเป็นรุมตีอย่างไม่ต้องกังวลอะไรไป ตรงหน้ามักเป็นสี่ห้าคนรุมหนึ่งคน ทุกคนยังต่อยตีกันพอประมาณ หากแต่ไรมาไม่เคยเจอการต่อสู้แบบนี้ และทุกหมัดอัดตรงเข้าเนื้อเต็มๆ ต่อยกันอย่างไม่ถึงชีวิตจึงต่อยกันสะใจไม่ต้องสนใจอันใด ยิ่งได้ระบายอารมณ์ พวกองครักษ์เสื้อแพรล้วนต่อยกันอย่างเมามัน
ไม่นาน คนตระกูลปัวก็ไม่มีผู้ใดยืนอยู่สักคน หม่าซานเปียวยืนดูอยู่ด้านหลัง ต่อมารู้สึกคันมือ ก็พุ่งเข้าไปร่วมด้วย ต่อยล้มไปหนึ่ง พอเงยหน้าจะหาอีกหนึ่ง ก็พบว่าไม่เหลือแล้ว สื่อชีตะโกนดังว่า
“พี่น้อง ลงมือพอควร ต่อยตายไปจะยุ่งยาก!”
หม่าซานเปียวได้แต่หาสักคนมาเตะระบายอารมณ์ค้าง ถ่มน้ำลายลงพื้น ด่าไม่พอใจว่า
“ดูพวกเจ้าเหิมเกริมในเมือง ยังคิดว่าเป็นพวกสามเศียรหกกรที่ไหน แค่นี้เองหรือ?”
คนที่ยืนอึ้งอยู่ไกลออกไปได้สติก็หันหลังวิ่งหนีทันที คนตระกูลปัวถูกต่อยที่นี่ ย่อมมีคนกลับไปรายงาน คนเช่นนี้ องครักษ์เสื้อแพรขี้เกียจจะสนใจ
ตามหลักปีใหม่และยังเป็นใจกลางเมือง ยังมีคนมากมายอยู่ เหตุใดก็ไม่ควรเงียบเชียบเพียงนี้ แต่ความจริงตอนนี้ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะนอกจากคนพวกนั้นที่นอนกองร้องโอดโอยอยู่ที่พื้นแล้ว คนรอบๆ ที่มามุงดูล้วนเงียบเป็นเป่าสาก สีหน้าตกใจไม่อยากจะเชื่อ
พื้นที่ตะวันตกเฉียงเหนือโดยเฉพาะเมืองหนิงเซี่ย ชนเผ่าหลากหลาย ชาวฮั่นอยู่มานานก็ล้วนเป็นผู้กล้า เผ่ามองโกลก็ผู้กล้า เผ่าที่เหลือก็ล้วนทำมาหากินกันไป แต่พอมีตระกูลปัวมา คนงานและทหารติดตามตระกูลปัวที่ออกรบมานานปี ยังมีสถานะคนทางการ ย่อมต้องได้ชื่อว่าเหี้ยมหาญพอตัว
ก่อนหน้าคนพวกนี้ไม่ต้องพูดถึง ตั้งแต่ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 14 เดือนหกมา คนตระกูลปัวก็เกือบจะถล่มกลุ่มอิทธิพลอำนาจขุนนางในเมืองไปจนหมด ได้รับชัยยิ่งใหญ่
คนที่ชมชอบเรื่องสนุกในเมืองหนิงเซี่ยเริ่มแรกไม่รู้สึกอะไร ต่อมากลับรู้สึกสะใจ ตระกูลปัวนับว่าเป็นคนกันเองในเมืองหนิงเซี่ย คนกันเองนำคนต่อยตีกับขุนนางที่ส่งมาจากนอกเมือง ดูแล้วก็รู้สึกภาคภูมิ
ปกติทหารในสังกัดผู้บัญชาการกับผู้ว่าการมณฑลอยู่เมืองหนิงเซี่ยก็วางอำนาจอยู่ พอถูกจัดการไปก็ล้วนสงบเสงี่ยมขึ้น ได้ระบายแค้นแล้ว
นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรประจำหนิงเซี่ยเก็บตัวได้เงียบมาก แต่เมื่อก่อนก็เป็นพวกบัดซบมาก่อน เดือนหนึ่งปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 15 มาสั่งสอนสักหน่อย พอดีได้ดูเรื่องสนุกฉลองปีใหม่ หลายคนล้วนเตรียมดูความทุลักทุเลน่าอนาถขององครักษ์เสื้อแพร ผู้ใดจะคิดว่าผลจะเป็นเช่นนี้ ได้แต่มองตาค้างกันไปทุกคน
“ดูอะไร มารวมตัวกันบนท้องถนน พวกเจ้าไม่กลัวกฎหมายหรือ?”
เฉินต้าเหอรับคำสั่หวังทงออกไปตะโกนดัง หลังจบการวิวาทเมื่อครู่ องครักษ์เสื้อแพรในสายตาคนเหล่านี้ก็เปลี่ยนไป พอตะโกนดังไป หลายคนก็สะดุ้ง รีบแยกย้ายกันทันที
“ทหารผู้บัญชาการล้วนเก่งกล้าสามารถราวพยัคฆ์!”
‘พยัคฆ์’ คำนี้ใช้ตรงนี้ย่อมเป็นคำชมเชยตามหลักการทั่วไป แต่ทว่าหลิวจี๋หลินติดตามหวังทงมานานย่อมรู้สึกเช่นนี้จริง หวังทงยิ้มพยักหน้ากล่าวว่า
“องครักษ์เสื้อแพรเราเป็นขุนนางบู๊ เจ้ามาปฏิบัติงานนอกเมืองไม่อาจปล่อยปละตนเอง รอมาอีกรอบ เจ้าลงมือให้ข้าดูหน่อย”
“ข้าน้อยรับคำสั่ง!”
ผู้บัญชาการท่านนี้ทำงานตรงไปตรงมา หลิวจี๋หลินพอรู้อยู่ นับว่าเป็นการทดสอบ ดูว่าตนเองมีความสามารถต่อสู้หรือไม่ เขาเงียบไปครู่หนึ่ง เดินตามหวังทงที่เดินเข้าด้านใน กระซิบว่า
“ผู้บัญชาการ มาลองคิดดู คนของเราที่นี่ 200 กว่า คนตระกูลปัวในเมืองนอกเมืองอย่างน้อยก็พันสี่ร้อยกว่า หากมีเรื่องกันจริง ผู้บัญชาการมีค่าดังทองคำ?”
“ไม่ต้องเป็นห่วง ในเมื่อข้าอยู่ในเมือง เรื่องพวกนี้คิดรอบคอบแล้ว!”
วาจาหวังทงมั่นใจ ตอนเช้าพวกที่เสียเปรียบไป ทำให้หน้าประตูสำนักกองพันองครักษ์เสื้อแพรเงียบไปมาก แต่ตอนเช้าคนพวกนั้นจากไปได้ราวครึ่งชั่วยาม ก็มีคนผ่านทางมา ท่าทางลับๆ ล่อๆ ชะโงกหน้าดูไปทั่ว เริ่มมากขึ้น พวกม่อรื่อเกินก็คว้าสุราร้อนและเนื้อแห้งไปนั่งตรงมุมกำแพง ธนูอยู่ข้างกาย พวกเขาไม่ขยับ เพียงแค่มองคนพวกนี้ลอยไปลอยมา
ซาตงหนิงกับอีกสองสามคนนั่งอยู่หน้าประตู เห็นหน้าประตูเป็นเช่นนี้ก็อดไม่ได้ยิ้มเยาะ กล่าวว่า
“ท่าทางแบบนี้แม้แค่คนเลี้ยงม้าชราในจวนเราก็ย่อมมองออก จะมาเป็นสายสืบอะไรกัน?”
เสียงดังมาก คนใกล้ๆ คนหนึ่งได้ยินเข้าก็รีบเดินหลบไปทันที เหมือนว่าตนเองถูกพบเห็นเข้าแล้ว การเคลื่อนไหวนี้ทำเอาพวกซาตงหนิงขำดัง
ชายหนุ่มอายุน้อยเช่นนี้ย่อมชอบการต่อสู้ที่สุด ตอนเช้าได้ชกต่อยทำให้พวกเขาฮึกเหิมมาก ยามนี้กำลังคุยกันสะใจ มีคนหนึ่งอายุน้อยกล่าวว่า
“พี่ซา ไหนว่าจะได้ต่อยกันอีก? ทำไมไม่เห็นมีคน?”
“เจ้าร้อนใจไปไย พวกนั่นเสียเปรียบไป ย่อมเจ็บหนัก ไหนเลยจะมาได้เร็วเช่นนี้ ได้ยินว่านายกองพันหลิวเชิญพ่อครัวมาจากในเมือง พี่น้องเราจะได้กินดีอันสักมื้อแล้ว ตลอดทางมานี้วันๆ กินแต่เนื้อแพะและแผ่นแป้ง กินจนเอียนจะแย่แล้ว”
ความสนใจของทุกคนเปลี่ยนมายังอาหารมื้ออร่อยปีใหม่ทันที เริ่มวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างได้ใจ…..วันนี้ก็จบไปเงียบๆ เช่นนี้
พอตกค่ำ สายของหลิวจี๋หลินที่ส่งไปจับตาดูตระกูลปัวก็กลับมารายงานว่าตระกูลปัวกำลังให้รางวัลคนงาน ในเมืองนอกเมืองล้วนอาหารเนื้อสัตว์มากมาย ดูท่าแล้วคงไม่มาหาเรื่องอีก พอดีให้กองพันองครักษ์เสื้อแพรที่นี่ได้ฉลองปีใหม่กันให้หนำใจ ทุกคนล้วนครื้นเครง
แม้บอกว่าไม่มีน่ามีเรื่อง แต่ไม่กล้าวางใจ หวังทงยังคงสั่งให้ลูกน้องห้ามดื่มสุรา แต่อาหารยังคงดีกว่าอาหารหยาบๆ ระหว่างทางที่มามากนัก ทุกคนล้วนรู้สึกไม่เลว ตกดึกยังจุดประทัด เป็นที่ครื้นเครงเฮฮา
ร้านค้าใหญ่หลายร้านที่ไปเจรจาไว้ก่อนก็มาติดต่อไม่หยุด มีคนอาศัยมอบของขวัญองครักษ์เสื้อแพรมาถามไถ่ถึงที่ ข่าวต่อๆ กันไป ในสายตาคนนอก ล้วนเป็นเพราะกองพันองครักษ์เสื้อแพรต่อยชนะคนตระกูลปัว พ่อค้าที่รู้งานก็ย่อมมาคารวะปักธูปบูชาองค์เทพเสียหน่อย นับว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด
ทหารติดตามหวังทงล้วนไม่เกรงกลัวสิ่งใด กลับเป็นนายกองพันองครักษ์เสื้อแพรหลิวจี๋หลินที่ออกมาปฏิบัติงานนอกพื้นที่นานไป ระวังตัวมาก ตามความเห็นเขา ไม่ว่าอย่างไร สถานะผู้บัญชาการสูงส่งเช่นนี้มาอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัย ตนเองมีภาระหนักมาก ไม่อาจปล่อยปละได้แม้เพียงวินาที
กลางคืนพักผ่อน หลิวจี๋หลินกับทหารตนก็ผลัดกันเข้าเวร ป้องกันระมัดระวังมาก แต่ทั้งคืนก็เงียบกริบ เมืองหนิงเซี่ยยังคงมีบรรยากาศเฉลิมฉลอง
**************
เช้าวันทีรุ่งขึ้น กินอิ่มแล้ว นอนอิ่มแล้ว หวังทงและทุกคนจิตใจปลอดโปร่งล้างหน้าบ้วนปากเสร็จ นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรหลิวจี๋หลินก็มาพร้อมนัยน์ตาเส้นเลือดแดงก่ำรายงานว่า
“ผู้บัญชาการ ข้างนอกมีคนตระกูลปัวมาอีกแล้ว ครั้งนี้คนที่มามากพอๆ กับเรา คนมุงดูก็เหมือนมากกว่าเมื่อวานไม่น้อย”
หวังทงยิ้มกล่าวว่า
“คนตระกูลปัวต้องการอวดบารมีตระกูลตน แน่นอนต้องนำคนมาพอๆ กับเรา ตอนนี้คนมากเสียด้วย มีอาวุธไหม?”
“ไม่มีขอรับ ข้าน้อยให้คนปลอมตัวไปอยู่ในกลุ่มคนมุงดูมาแล้ว!”
หวังทงพยักหน้า วันนี้เขาสวมชุดองครักษ์เสื้อแพร เตรียมออกไปยืดเส้นยืดสายด้วย กำลังหักข้อมือรอ ส่งเสียงดังว่า
“วันนี้ก็สง่าผ่าเผยเหมือนเคย ตอนหลังดูให้ดี หากอีกฝ่ายใช้อาวุธให้รีบโต้ทันที ที่เหลือทุกคน ต่อยให้สะใจไปเลย!!”
ทุกคนรับคำพร้อม สีหน้าทุกคนคันไม้คันมือ นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรหลิวจี๋หลินสวมชุดทหารธรรมดา ได้ยินแล้วก็อดไม่ได้ยิ้มเฝื่อนๆ ส่ายหน้า
ด้านนอกตะโกนหาเรื่องวาจาหยาบคายไม่หยุด วิธีการตระกูลปัวความจริงนั้นก็รอบคอบมาก เขาสามารถคุมกำลังคนพวกนี้ให้อยู่ในขอบเขต ไม่ทำเกินเลยไป ก็จะสามารถค่อยๆ ส่งผลต่อจิตใจและการวิเคราะห์ของคนในพื้นที่ได้ วิธีการเช่นนี้ ไม่เลว แต่ทว่าสำหรับพวกหวังทงแล้ว ก็ย่อมตรงตามความต้องการพอดี
หวังทงได้ยินเสียงด่าด้านนอกก็ยิ้มกล่าวว่า
“พวกเจ้าที่ด่าเป็น ด่ากลับไป ยั่วให้พวกมันโมโหสักหน่อย!”
ทุกคนแม้เป็นลูกหลานคหบดีและขุนพลใหญ่ แต่ก็อยู่กองทัพร่วมกับพวกระดับแรงงานมานาน ไหนเลยจะเรียบร้อย วินัยทหารบังคับพวกเขาให้ไม่กล้าทำผิด หวังทงกล่าวเช่นนี้ ย่อมทำให้พวกเขา ‘แสดงความสามารถตนเต็มที่’
ชาวบ้านตะวันตกเฉียงเหนือยังซื่ออยู่มาก ปากไหนเลยจะสู้ทหารติดตามหวังทงที่เห็นโลกมามาก เปิดประตูใหญ่ออก ก็ด่าทอไม่หยุด คนตระกูลปัวไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ได้ แต่ละคนโมโหเดือดดาลจนหน้าแดงลามไปถึงคอแดงไปหมด ตะโกนคำรามจะเข้าปะทะ
หวังทงเงยหน้าหรี่ตาไปทางม่อรื่อเกินและปาถูที่มุมกำแพง สองคนล้วนส่ายหน้า ดูท่าคนมามุงดูไม่มีอาวุธ
ต่อยส่วนต่อย แต่ความปลอดภัยย่อมไม่อาจละเลย หวังทงกำลังจะสั่งการ เฉินต้าเหอก็วิ่งมาใกล้กระซิบว่า
“ท่านโหว หัวถนนตะวันตกมีคนกลุ่มหนึ่งดูไม่เหมือนพวกมามุงดู”
หลิวจี๋หลินรีบส่งคนไปดู กลับมาตอบอย่างเร็วว่า
“ผู้บัญชาการ ปัวเฉิงเอินปลอมตัวมาดู”
หวังทงส่ายหน้ายิ้ม
“อ่อนจริง พวกนี้แพ้ไปครั้งเดียว ถึงกับทนไม่ไหวแล้ว”
วิจารณ์เสร็จ หวังทงยกแขนขึ้นกล่าวว่า
“ต่อยให้สะใจ!!”
ทุกคนส่งเสียงดังรับคำ แย่งกันเดินออกไป ก่อนจะค่อยๆ หยุด ต่างจากเมื่อวาน คนยิ่งมากตั้งแถวอยู่ด้านหน้า คำรามวิ่งเข้าใส่!