องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 947 ในเมืองดอกไม้บาน นอกเมืองหอม
“นายท่าน คนพวกนี้ใช้วิธีการแบบทหาร!”
ทางนั้นตีกัน คนตระกูลปัวที่ยืนดูกลับวิพากษ์วิจารณ์ขึ้น พวกเขายืนอยู่ในกลุ่มคนดู รอบนอกเป็นชายฉกรรจ์ยืนกั้นไว้ คนบนท้องถนนเห็นเช่นนี้ แม้ไม่รู้จักปัวไป้กับปัวเฉิงเอิน ก็ย่อมรู้จักถอยห่างไกลออกไป
คนวงในยืนอยู่กันสองสามคน คนหนึ่งหน้าแดงเคราขาว ดูอายุไม่น้อย คนข้างๆ เป็นชายร่างใหญ่หน้าแดง หน้าตาคล้ายกับชายชราหนวดขาว ข้างกายพวกเขามีชายวัยกลางคนท่าทางกำยำผู้หนึ่ง อายุราว 40 กว่า สีหน้าเคร่งเครียด สามคนมีจุดเหมือนกันก็คือ ท่าทางทรงอำนาจวาสนา
ชายชราหนวดขาวกับชายผู้นั้นย่อมเป็นพ่อลูกตระกูลปัว ชายวัยกลางคนนั้นกลับเป็นหลิวตงหยางที่องครักษ์เสื้อแพรเคยเอ่ยถึง เมื่อครู่คนที่พูดก็คือเขา
“ข้าได้กำชับทุกคนไว้ก่อนแล้ว แต่ทำไม่ได้ พอถูกตีกระจายก็ไม่อาจรวมตัวกันได้อีกแล้ว”
“ล้วนปล่อยปละเกินไป สามปีไม่ได้จับดาบ แต่ละคนล้วนขี้เกียจ!”
ชายชราหนวดขาวนามปัวไป้แค่นเสียงฮึ ปัวเฉิงเอินข้างๆ สีหน้าเริ่มแดง แต่ทว่าหน้าแดงดูไม่ออก ได้แต่กล่าวเบาๆ ว่า
“ขอบิดาวางใจ ลูกจะต้องควบคุมจัดการให้เข้มงวด!”
ตอนหวังทงบุกออกมา ยังเป็นการรบแบบเมื่อวาน แต่ไม่เป็นกอง สองคนรวมกันหนึ่งกอง บุกเข้าใส่ทันที คนตระกูลปัวได้ประสบการณ์จากเมื่อวาน พอเห็นองครักษ์เสื้อแพรพุ่งออกมา ก็รีบหลบทันที ทำให้อีกฝ่ายชนเข้ากับความว่างเปล่า
หลังจากขบวนแตก พวกเขาก็กระจัดกระจายทันที คิดจะรวมตัวกันใหม่ย่อมไม่ง่าย การจะรวมกองทัพและแยกตัวกองทัพให้เร็วนั้น ทำได้ย่อมต้องอาศัยการฝึกซ้อมหนัก คนตระกูลปัวเป็นชาวมองโกลเสียมาก ระเบียบใดก็ทำช้า ย่อมไม่อาจทำได้
พวกเขาทำไม่ได้ กองกำลังหู่เวยกลับทำได้ง่ายมาก ทหารหวังทงเข้าแถวฝึกซ้อมผลก็ปรากฏในยามนี้ แบ่งออกเป็นสองแถวอย่างรวดเร็ว พุ่งเข้าใส่ศัตรูที่ถูกกระแทกแตกแถว
คนตระกูลปัวกระจัดกระจาย หวังทงมีแถวพื้นฐานอยู่ สองฝ่ายแม้ว่ามีคนพอกัน แต่สองฝ่ายเผชิญหน้ากันในพื้นที่เล็กแคบ คนองครักษ์เสื้อแพรเริ่มมากกว่าคนตระกูลปัว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าคนตระกูลปัวตัวต่อตัวกับทหารหวังทงนั้นสู้ไม่ได้ พอแตะโดนก็ล้มทันที ถูกเหยียบไปต่อหน้า
มีคนถูกต่อยล้ม คนก็เริ่มน้อยลง เดิมทีสองฝ่ายคนพอกัน แต่ตอนนี้ทหารหวังทงกลับได้เปรียบเรื่องจำนวนคนแล้ว ความได้เปรียบเริ่มมากขึ้น จากนั้นก็ชนะเด็ดขาด
สีหน้าพ่อลูกตระกูลปัวล้วนย่ำแย่ยิ่ง มีชัยมาครึ่งปี มาถึงตอนนี้กลับพ่ายแพ้ให้ขายหน้าเช่นนี้ หลิวตงหยางหันไปหรี่ตามองสีหน้าพ่อลูกตระกูลปัว ได้แต่ยิ้มแหะๆ กล่าวไม่พอใจว่า
“พวกทหารอยู่ๆ มีคนเก่งมาก แต่ก็แค่ร้อยกว่าคน จะทำอะไรได้ ไม่แน่เป็นพวกอาจารย์หมัดมวยที่ไปเชิญตัวมาจากข้างนอกก็ได้ ให้มาจัดการกับคนของนายท่านและใต้เท้า ข้าน้อยพอมีวิธี”
เขาไม่ได้เอ่ยวิธีอันใด เพียงแค่ลากลูกน้องคนหนึ่งมากระซิบข้างหู ลูกน้องวิ่งไปในกลุ่มคน ตอนนี้คนบนสนามต่อสู้ไม่มากแล้ว แต่รู้ว่านายตนมาอยู่ดูด้วย ไม่กล้าชักช้า ไม่เช่นนั้นเกรงว่าคนหนีหรือแกล้งตายไปหมดแล้ว สู้ไม่ได้จริงๆ
“หมัดมวยจะไปทำอันใดได้ ของพวกนี้สามารถออกสู้สนามรบสังหารศัตรูได้หรือไง? มีความสามารถแน่จริงก็ใช้อาวุธจริงเลย ไม่ต้องกลัว พวกเราไม่รังแกพวกเจ้าหรอก ทุกคนหยิบอาวุธท่อนไม้เป็นไง ไม่กล้าล่ะก็ ก็เป็นพวกชายไร้อัณฑะมารดาเจ้าแล้ว!!”
สนามต่อสู้สภาพดูไม่ได้ วาจาก็ยิ่งไม่ไว้หน้า แต่ทว่ามองซ้ายขวาแล้ว เหมือนพูดไม่ดู หวังทงด้านหลังหานกังพึมพำเบาๆ หานกังก็ตะเบ็งเสียงขึ้นว่า
“ดูเจ้าพวกขี้ขลาดที่กองบนพื้นนี่ ก็รู้ว่าผู้ใดไร้อัณฑะ หรือว่าดูไม่ออก เอาเถอะ พรุ่งนี้ตอนเที่ยง พวกเจอกันที่เถียนสุ่ยจิ่ง”
นี่เท่ากับตกลงแล้ว หานกังกล่าวจบ คนมุงถึงกับหัวเราะดังลั่นออกมา นี่เป็นครั้งแรก แม้จะรีบหุบปาก แต่สีหน้าพ่อลูกตระกูลปัวยิ่งย่ำแย่ หันหลังจากไปทันที
พอคนตระกูลปัวที่ล้มระเนระนาดที่พื้นพากันกลับไปอย่างทุลักทุเล พวกหวังทงก็กลับเข้าที่ทำการ หวังทงสั่งขึ้นว่า
“อาหารค่ำคืนนี้ไม่เอาพวกผักแล้ว เอาเนื้อวัวและแพะกับแผ่นแป้งมา”
ทางนั้นรับคำรีบไปจัดการ แม้ว่าสองอย่างนี้กินแล้วจะไร้รสชาติ แต่เป็นอาหารหนัก สามารถเติมกำลังได้ดี ต่อยตีติดต่อกันมา อย่างไรก็เปลืองแรงไปมาก
ทหารติดตามล้วนเป็นหนุ่มวัยฉกรรจ์ ย่อมไม่รู้สึกเหนื่อย หากยังกำลังวังชาดีกันอยู่ทุกคน ทุกคนออกไป หวังทงนั่งลงกลางโถงห้อง สื่อชีเดินเข้ามากระซิบว่า
“ท่านโหว หลิวตงหยางเหมือนเป็นคนออกหัวคิด”
หวังทงพยักหน้ากล่าวว่า
“แต่ต้นจนจบ ล้วนเป็นหลิวตงหยางนั่นพูดมาก ลงมือมาก พ่อลูกตระกูลปัวกลับไม่ได้คิดทำอะไรนัก เจ้ากับหลิวจี๋หลินหารือกันไปสืบเรื่องหลิวตงหยางมา ประเด็นเรื่องนี้ดีไม่ดีก็มาจากเขาผู้นี้”
สื่อชีรีบรับคำ กำลังจะออกไป หลิวจี๋หลินก็เดินเข้ามาหารือ แน่นอนย่อมไม่ได้มาด้วยเรื่องนี้ สื่อชีทักแล้วขอตัวออกไปก่อน
“ผู้บัญชาการ เถียนสุ่ยจิ่งเป็นศูนย์กลางหนิงเซี่ย หากตระกูลปัวอยู่ ๆ คิดก่อการขึ้น เคลื่อนกำลังมาจะทำเช่นไร ความปลอดภัยผู้บัญชาการต้องมาก่อน ไม่อาจปล่อยให้ต้องเสี่ยงภัยได้เด็ดขาด”
หวังทงยกถ้วยชาขึ้นจิบ ถามขึ้นเสียงเรียบว่า
“ตระกูลปัวในเมืองนอกเมืองเคลื่อนกำลังได้เท่าไร ตัวเลขแน่นอนตรวจสอบชัดหรือยัง?”
“ทั้งหมด 1,100 คน มี 400 มาจากป้อมทางเหนือ ที่เหลือล้วนเป็นกองกำลังหลังหนิงเซี่ยแอ่งน้ำฮัวหม่า”
หลิวจี๋หลินทำงานได้ดีมาก หวังทงเงียบไปครู่หนึ่ง ยิ้มกล่าวว่า
“1,100 คน รับมือเรา 200 คน ยังคงมั่นใจอยู่เต็มร้อย……”
พูดถึงตรงนี้ หวังทงไม่อาจไม่คุยสักหน่อย นิ่งไปพักหนึ่ง ก็ยิ้มกล่าวว่า
“พรุ่งนี้ เขาน่าจะทิ้งคนไว้ในเมืองได้มากแค่นี้เท่านั้น”
************
เผ่าป๋อถ่านเป็นเผ่าที่มีคนเพียงสองพันกว่าคน หัวหน้าชนเผ่าป๋อถ่านก็เป็นคนคิดการณ์อยู่มาก ความจริงนั้นเผ่าป๋อถ่านไม่ใช่เผ่ามองโกล ว่ากันให้ดี พวกเขากับเผ่าหุยเรียกได้ว่าใกล้กันมากกว่า แต่ทุ่งหญ้าหมื่นลี้ ไปจรดเหนือสุดและตะวันตกสุด ล้วนเป็นพื้นที่ครองของข่านมองโกล เรียกตนว่ามองโกลย่อมไม่มีอะไรเสียหาย
ชนเผ่าบนทุ่งหญ้าล้วนตั้งที่พักไปตามทุ่งหญ้าและแหล่งน้ำ แต่เผ่าป๋อถ่านไร้อำนาจและกำลัง หากอยู่ที่ใดนานไป ก็มักจะถูกเผ่าใหญ่ทรงอิทธิพลกลืนเอา หัวหน้าเผ่าป๋อถ่านนำชนเผ่าทำการค้าบนทุ่งหญ้า
การเคลื่อนไหวชนเผ่าหนึ่ง บอกว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ ว่าเล็กก็ไม่เล็ก เดินทางบนทุ่งหญ้าล้วนต้องปลอดภัยไว้ก่อน อย่างไรก็เป็นพวกเลี้ยงสัตว์เร่ร่อน สินค้าขนจากแผ่นดินหมิงไปซีอวี้เปลี่ยนเป็นอาหาร ชนเผ่ายังได้ผลประโยชน์มากมาย ไยไม่ทำเล่า แต่ทว่าหลายเดือนนี้ไม่เหมือนเดิม
เดิมทีเผ่าป๋อถ่านไปอวี้หลินซื้อสินค้าเตรียมกลับ คิดไม่ถึงแอ่งน้ำฮัวหม่ากลับขายเกลือราคาถูก หัวหน้าเผ่าป๋อถ่านจึงไปซื้อเกลือที่นั่น พอถามราคาครั้งนี้ถึงกับต้องตกใจ ราคาเกลือแทบเหมือนให้เปล่า หัวหน้าเผ่าป๋อถ่านทำการค้ามาหลายปี คิดแล้วก็เข้าใจ รีบขายสินค้าทิ้งอย่างรวดเร็ว จากนั้นไปซื้อเกลือไว้หมด นำไปขายทางตะวันตก กำไรดีแน่จนน่าตกใจแน่
เขาทำไปครั้งหนึ่ง แม้ว่าเดินทางไปกลับต้องใช้เวลาสามเดือน แต่กำไรที่ได้ถึงกับเท่ากับเมื่อสองปีก่อนที่เขาเคยทำกำไรได้ ช่างน่าดึงดูดเสียจริง
ชาวฮั่นฉลองปีใหม่ ชาวมองโกลก็ฉลองปีใหม่ เผ่าป๋อถ่านเรียกตนว่าเป็นมองโกล แต่ทว่ากลับไม่มีประเพณีนี้ เดือนสิบสองมาถึง วันสิ้นปีซื้อเกลือดีบรรทุกเตรียมจากไป
แต่คนคุมบ่อเกลือกลับให้เงื่อนไขที่ใจกว้างยิ่งกับเผ่าป๋อถ่าน บอกว่านายท่านตนต้องการทำงานใหญ่ หากยอมอยู่ช่วยงาน เกลือทางนี้ก็จะให้เขาเอาฟรีเดือนหนึ่ง แอ่งน้ำฮัวหม่าก็ให้เขามาเลี้ยงสัตว์เร่ร่อนได้
ได้เกลือฟรีหนึ่งเดือน นี่เป็นเรื่องดีที่ตกจากฟ้า แอ่งน้ำฮัวหม่าเป็นพื้นที่หญ้าอุดมที่หาได้ยาก ผลประโยชน์นี้ช่างใหญ่ยิ่ง หัวหน้าเผ่าป๋อถ่านไม่โง่ แอบสืบความมาสักหน่อย รู้ว่าเผ่าใหญ่น้อยได้รับคำสัญญาไม่น้อยเช่นกัน ทำให้เขาวางใจ
แต่เงินเบื้องหน้าก็ต้องได้มาเช่นกัน หัวหน้าเผ่าป๋อถ่านยังต้องส่งเกลืองวดนี้กลับไปขาย จากนั้นค่อยเร่งเดินทางกลับมา ดูแล้วรถม้าแอ่งน้ำฮัวหม่าก็คงขายดีแล้ว การกระทำของหัวหน้าเผ่าป๋อถ่านล้วนไม่มีผู้ใดว่าอันใด
คืนวันสิ้นปี หัวหน้าเผ่าป๋อถ่านก็นำกำลังออกเดินทางกลับแล้ว แอ่งน้ำฮัวหม่ามีเกลือ เกลือสำคัญดังเส้นเลือดของชนเผ่าทุ่งหญ้า เจ้าอาจจะเดินทางบนทุ่งหญ้าเดือนหนึ่ง แล้วอาจไม่เห็นแม้แต่เงาคน แต่ที่แอ่งน้ำฮัวหม่ากลับมีเผ่าใหญ่น้อยมากมาย ยังมีขบวนการค้าหลากหลาย
เส้นทางออกจากแอ่งน้ำฮัวหม่า มักมีคนร่วมเดินทาง ไม่แปลก ขบวนการค้าที่ออกเดินทางไปพร้อมกับเผ่าป๋อถ่าน มีคนราวไม่กี่สิบคน คิดว่าน่าจะเป็นพวกติดตามขบวนการค้าใหญ่แล้วสบายใจกว่า
ตอนกลางวันออกเดินทาง ผ่านไปครึ่งวันฟ้ามืดลงก็ตั้งค่ายพัก ปักกระโจมให้ดี ก็ล้อมวงกัน เริ่มหุงหาอาหาร ปรากฏไม่ทันระวัง ทำเอามีแต่ควันไม่มีไฟ ขบวนการค้าเล็กที่ตามมาด้วยดันอยู่ต้นลม ควันพัดไปทางกระโจมเผ่าป๋อถ่าน คนกับสัตว์เลี้ยงล้วนถูกรมควันไปหมด
คนทางนี้เข้าไปต่อว่า ปรากฏพบว่าขบวนการค้าเล็กนั่นไม่เพียงแต่จุดกองไฟ ยังมีหลายกองทำให้เกิดควันพัดไปทางพวกเขาอีกด้วย คิดจะดับก็ยุ่งยากมาก หากเป็นบนทุ่งหญ้าย่อมยุ่งยากแล้ว
แต่ทว่าเหนือความคาดหมายก็คือ กองไฟแม้ว่าไม่มีคนดูแล แต่หญ้ารอบๆ กลับเก็บกวาดเรียบร้อย ไม่ติดไฟลามไป จากนั้นคนเผ่าป๋อถ่านพบว่าท่ามกลางหมอกควัน มีเสียงฝีเท้าม้าดังมาจากที่ไกลๆ
ฟ้ายังไม่ทันมืด กระโจมผูกเสร็จแล้ว อูฐและวัวปลดออกจากรถสินค้าแล้ว คิดจะหนีเกรงว่าคงไม่ทันแล้ว
คนสองพัน ที่สามารถขึ้นม้าต่อสู้ได้ก็มีราวพันกว่า ศัตรูที่ปรากฏตัวหลังหมอกควันจางลงก็ราว 700 กว่า น้อยกว่าคนเผ่าป๋อถ่าน
แต่พอการต่อสู้เริ่มต้น เผ่าป๋อถ่านถูกธนูยิงล้มไปไม่น้อย จากนั้นก็ถูกชนกระจาย พวกที่มาไม่ใช่ชาวเลี้ยงสัตว์ เกรงว่าเป็นผู้กล้าการรบบนทุ่งหญ้า คนเผ่าป๋อถ่านถูกธนูยิงล้มกับพื้นไปได้สองสามคน ก็เริ่มเข้าใจ
“คนที่หนีไปส่งข่าวปล่อยไปแล้วยัง ดี คนที่เหลือสังหารให้หมด สังหารให้เรียบ!!”
พวกที่บุกโจมตีคลุมหน้าสั่งการเสียงดัง