องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 949 ละครต่อยตีในเดือนหนึ่ง
แผ่นดินหมิงยุคนี้ บ่อน้ำเป็นแหล่งน้ำสำคัญของหมู่บ้าน บ่อน้ำเถียนสุ่ยจิ่งเหมาะกับการใช้งานทำนา ยิ่งมีค่าดังของมีค่า ดังนั้นหลายแห่งจึงใช้ชื่อเถียนสุ่ยจิ่งเป็นชื่อสถานที่ เมืองหลวงก็มีชื่อนี้ เมืองหนิงเซี่ยก็มีชื่อนี้
พื้นที่ตะวันตกเฉียงเหนือแห้งแล้ง บ่อน้ำจึงถูกมองว่าเป็นพื้นที่สำคัญอย่างมาก เถียนสุ่ยจิ่งแน่นอนเป็นศูนย์กลางของเมือง ความจริงนั้นปากบ่อนี้แห้งไปแล้ว แต่ก็ยังเป็นพื้นที่ว่างผืนใหญ่ของเมืองหนิงเซี่ย ร้านค้าสุราอาหารต่างก็มาตั้งกันที่นี่ มีร้านค้าแผงลอย เป็นที่ครึกครื้นมาก
ตามธรรมเนียมสมัยก่อน เดือนหนึ่งที่เถียนสุ่ยจิ่งจะเป็นดังตลาดนัดที่คึกคักที่สุดของทั้งเมืองหนิงเซี่ย พอถึงเทศกาลบัวลอย ยังมีแสดงโคมไฟ ทั้งเมืองทุกผู้ทุกวัยก็ย่อมอยากมาเดินเล่น
แต่ทว่าปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 15 กลับไม่เหมือนเดิม แม้ว่าเดือนหนึ่งจะคึกคักกว่าที่เคย แต่ไม่มีสตรีและเด็กมาที่นี่กัน ล้วนเป็นผู้ใหญ่ชายฉกรรจ์เสียมากกว่า
เมืองหนิงเซี่ยอย่างไรก็เป็นเมืองชายแดน ชาวบ้านในเมืองไม่มากก็น้อยล้วนมีสายสัมพันธ์กับทหาร ผู้ชายชื่นชอบเรื่องการชกต่อยมาก
ความจริงนั้นตั้งแต่เดือนหกมา คนตระกูลปัวในเมืองหาเรื่องไปทั่ว ต่อสู้กับกลุ่มอิทธิพลอำนาจแต่ละกลุ่มได้รับชัยชนะมาหมด มีผลต่อจิตใจชาวเมืองมาก คนตระกูลปัวทำไปล้วนเรียกว่าเป็นเรื่องเล่าดังตำนานแล้ว ยังมีคนช่างวิจารณ์ตั้งชื่อต่างๆ นานาให้ความยอดเยี่ยมเหล่านี้ เช่นว่า อินทรีผงาดฟ้า เป็นต้น
ตระกูลปัวเข้มแข็งเพียงนี้ ทหารในเมืองนอกเมืองล้วนภาคภูมิใจในทหารสังกัดตระกูลปัว และทำให้ทุกคนต่างรับรู้กันว่า ตระกูลปัวแข็งแกร่งเช่นนี้ มีความสามารถเช่นนี้ ติดตามตระกูลปัวย่อมมีอำนาจวาสนาแน่นอน
ไม่พูดถึงแต่ละเผ่าที่ไม่ได้เคารพราชสำนักแผ่นดินหมิงนัก เดิมบารมีไม่มาก แล้วยังมาแพ้แล้วแพ้อีก ก็ยิ่งตอกย้ำ
พอเข้าเดือนสิบสอง สถานการณ์ในเมืองก็เริ่มวุ่นวาย มีพวกมากอำนาจวาสนาพากันไปเมืองซีอาน แต่ละป้อมที่กระจายตัวในพื้นที่รอบเมืองหนิงเซี่ยล้วนราวกับเผชิญศัตรูใหญ่ มีคนเตรียมไปติดสอยห้อยตามตระกูลปัว มีคนเตรียมรับมือทหารก่อการ
แต่ทว่าทุกเรื่องมาถึงหลายวันนี้ก็เริ่มเปลี่ยนไป องครักษ์เสื้อแพรในเมืองที่เคยสงบเสงี่ยม อยู่ๆ ปะทุขึ้นมา สู้กับตระกูลปัวอย่างไร้เหตุผลมาหลายครั้ง
ครั้งแรกคนมาสู้คนน้อย ถึงกับพ่ายแพ้ได้ ครั้งสองคนสองฝ่ายพอกัน ยังแพ้อีก อีกฝ่ายยังได้เปรียบมากกว่า ชนะราวกับปอกกล้วยเข้าปาก
ทุกคนล้วนเป็นงง หรือว่าคนตระกูลปัวเป็นแค่เสือกระดาษ ชาวบ้านทางตะวันตกเฉียงเหนือนิสัยไม่เกรงกลัว ดูแคลนทหารชายแดน คนตระกูลปัวไม่เลว แต่ความจริงที่ทำให้ทุกคนรู้สึกเช่นนี้ก็ครึ่งปีมานี้ สองครั้งที่แพ้ ทำให้ภาพลักษณ์เริ่มสั่นคลอน
หวังทงรู้ผลเช่นนี้ ตระกูลปัวกับหลิวตงหยางแน่นอนย่อมรู้เช่นกัน กองกำลังหลังหนิงเซี่ยกลับเกิดเรื่องเช่นนั้นอีก ข่าวปิดไม่ได้แล้ว การนัดตีกันบนท้องถนนอย่างไรก็ไม่อาจไม่ตี ทางนั้นเกิดเรื่อง ทางนี้หากแสดงความอ่อนแออีก สถานการณ์ที่กว่าจะสร้างขึ้นมาได้ย่อมพังทลายสิ้น
แม้มีกองทหารใหญ่ส่งไปกองกำลังหลังหนิงเซี่ย แต่ตระกูลปัวก็ยังเก็บพวกที่เก่งกล้าที่สุดเอาไว้ เพื่อให้ทุกอย่างสมบูรณ์พร้อม ยังขอเลื่อนเวลาออกไปเป็นพิเศษ กำหนดเป็นวันที่ 5 เดือนหนึ่ง
การเลื่อนนี้ ยิ่งทำให้ชาวเมืองตั้งใจไปกันมากยิ่งขึ้น วันที่ 5 เดือนหนึ่งฟ้ายังไม่ทันสว่าง คนตระกูลใหญ่ในเมืองก็ส่งคนงานไปจับจองที่นั่ง คนกองพันรักษาความสงบก็ไปดูแลบริเวณโดยรอบ เพื่อป้องกันสถานการณ์
จากรายงานของหลิวจี๋หลินตอนเช้า ในเมืองหากเป็นพวกระดับชั้นนำ ก็จะส่งคนมาดู คนที่มาดูความสนุกเองได้ก็มาเอง ไม่ชอบเรื่องพวกนี้ก็ส่งคนไปดูผลเท่านั้น ในใจทุกคนล้วนพอประเมินได้
************
“นี่ไม่ใช่อินทรีผงาดฟ้าหรือ?”
“ผุยๆ ดูคนตัวสูงใหญ่ควบม้าตัวใหญ่สิ สิบต่อหนึ่งจริงๆ เป็นชายชาตรีที่หิ้วหัวกลับมาได้สิบหัวจริงๆ”
“ใช่เลย ใช่เลย หัวพวกนั้น ผู้บัญชาการตรวจแล้ว ล้วนเป็นหัวจริง!”
“เจ้าดูทางนั้น เสือดาวหัวลาย!”
“เบาหน่อยสิ เจ้าเรียกเสือดาวก็พอ ยังจะเดิมหัวลายทำไม เจ้าไม่รู้หรือว่าเขาไม่ชอบที่สุด ถูกคนพูดถึงชันนะตุ”
“คนนี้ดาบเร็วนะ ว่ากันว่าโยนแตงโมเข้าไป ไม่ทันถึงพื้น เขาก็หั่นเป็นสี่ส่วน…..”
หวังทงแต่งกายเป็นชาวบ้านนั่งอยู่ท่ามกลางฝูงชน ได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ เรื่องพวกนี้น่าสนใจ เหมือนว่าเป็นชายชาตรีวีรบุรุษในนิทานเรื่องเล่าของนักเล่านิทานพวกนั้น มองคนข้างๆ พากันวิเคราะห์น้ำลายกระเซ็น เห็นได้ชัดว่าพวกเขาล้วนมีชื่อ
ฟังไปครู่หนึ่ง หวังทงก็เดินอ้อมไปถอดเสื้อคลุมตัวนอกออก เดินไปกลางกลุ่มองครักษ์เสื้อแพร คนมามุงดูรู้ว่าเป็นองครักษ์เสื้อแพร ไม่เคยเห็นก็ตกใจ บางคนวิพากษ์วิจารณ์ไปเข้าหูทหาร
“……นอกจากพวกตัวใหญ่สองสามคน ที่เหลือล้วนเป็นเด็กยังไม่โตกว่าครึ่ง คนพวกนี้จะไปสู้คนตระกูลปัวได้อย่างไร…..”
“เจ้าไม่เคยเห็น ไม่ใช่สู้ไม่ได้ แต่สู้ได้ดีเลย บอกเจ้าไว้ก่อน วันนี้ข้าพนันไปหนึ่งตำลึงเงิน รอชนะจะซื้อเหล้าและอาหารกลับบ้านสักหน่อย……”
สองฝ่ายเชียร์คนละทีม พวกทหารย่อมประเมินไปพร้อมกับการแอบวิพากษ์วิจารณ์ ที่แท้สถานการณ์นี้ไม่ได้มีกลิ่นอายสังหารอันใด ถึงกับแม้แต่เป็นศัตรูกันก็ไม่มี
ทุกคนล้วนเป็นชายชาตรีมุ่งทำงาน มาที่นี่ดูการต่อสู้ที่ไม่เลือดตกยางออก ไม่ถึงแก่ชีวิต ยังมีอะไรไม่พอใจกัน นี่เป็นกิจกรรมออกกำลังกายฉลองปีใหม่ แน่นอนไม่อาจแพ้ หน้าตาเป็นเรื่องใหญ่
นับเวลาดูก็ใกล้เที่ยงแล้ว ทุกคนล้วนกินข้าวกันมาล่วงหน้า หวังทงเตรียมลงสนาม ก็เห็นทางนั้นมีคนหนึ่งเดินมา คนผู้นี้หลายวันก่อนหลิวจี๋หลินชี้ให้หวังทงดู เป็นหลิวตงหยาง
“ทุกท่าน วันนี้เราต่อยกันไม่เสียมิตร แต่มีบางเรื่องต้องบอกไว้ก่อน ไม่รู้พี่น้ององครักษ์เสื้อแพรอยากจะฟังหรือไม่?”
หลิวตงหยางเสียงดังอยู่มาก หลิวจี๋หลินได้รับความเห็นชอบจากหวังทงก็รับคำเสียงดัง
“ปีใหม่นี้ พี่น้องในเมืองมาชมพวกเรา อย่างไรก็ไม่อาจไม่ตีกันให้ดังสนั่นสักครา ไม่เช่นนั้นจะทำให้ทุกคนต้องผิดหวัง ข้ามีข้อเสนอ ไม่สู้เราสองฝ่ายเลือกคนมาตัวต่อตัวกันก่อนสักสองสามคน จากนั้นค่อยตะลุมบอนกัน พวกท่านว่าดีไหม!?”
วาจาเสียงดังไม่น้อย หวังทงไม่ตอบ คนมุงรอบๆ ไม่รู้ผู้ใดนำก่อน ปรบมือเชียร์ว่าดีๆ พริบตาก็เสียงเชียร์ดังไม่หยุด
เดิมทีต่อยหมู่ก็น่าสนใจแล้ว หากยังมีต่อยเดี่ยวอีก ใช่ว่ายิ่งสนุกหรือ ทุกคนล้วนเข้าใจเรื่องพวกนี้ดี ทุกคนต่างส่งเสียงเชียร์ดังว่าดีๆ คนรอบกายหวังทงหลายคนล้วนพากันขมวดคิ้ว พวกเขาไม่ชินกับเรื่องเช่นนี้ ทำเหมือนเด็กเล่น หวังทงยิ้มกล่าวว่า
“วันนี้ต่อยชนะ สถานการณ์ก็เอาอยู่เจ็ดส่วนแล้ว เป็นเพื่อนเล่นพวกนั้นก็แล้วกัน!!”
หวังทงมั่นใจมากพอ หลิวจี๋หลินพอรู้ก็มั่นใจเต็มที่เช่นกัน พยักหน้าหงึกๆ ให้คนตอบกลับไปทันที
หลิวตงหยางคิดไม่ถึงองครักษ์เสื้อแพรตอบเร็วเพียงนี้ ขมวดคิ้ว ในเมื่อเป็นเขาเสนอ ไม่ได้มีเหตุผลที่ต้องค้าน จึงรับคำเช่นกัน
หวังทงมองไปรอบๆ เห็นพ่อลูกตระกูลปัวในทันที พ่อลูกตระกูลปัวครั้งนี้ไม่ได้อยู่ท่ามกลางคนมุง แต่อยู่ด้านหลังคนของตนเอง สีหน้าเอาจริงเอาจังมาก
“ทางนั้นเห็นพวกเราอายุน้อย เห็นพวกเรารุกถอยมีระบบ คิดว่าเป็นเพราะเราฝึกมาได้ผล แต่การรวมหมู่สู้ไม่เหมือนกับการสู้เดี่ยว สู้เดี่ยวใช่ว่าจะได้เปรียบ จึงได้ให้สู้เดี่ยวเปิดฉากก่อน เพื่อทำลายขวัญเรา”
หวังทงยิ้มคาดเดา ความจริงกับที่เขาเดานั้นไม่ได้ต่างกัน หลิวตงหยางกับพ่อลูกตระกูลปัวหารือกันสีหน้าก็เคร่งเครียด เห็นชัดว่าการรับคำง่ายๆ ทำให้ทางรู้สึกว่าการสู้ตัวต่อตัวไม่ค่อยมั่นใจนักแล้ว ดังนั้นจึงมีสีหน้าเคร่งเครียด
ไม่นาน ทางนั้นก็ส่งคนออกมา หลิวตงหยางออกมาตะโกนดัง
“รอบแรกประลองยิงธนู!”
**************
ประลองธนูแน่นอนไม่ใช่ยิงกันเอง แต่การจะขี่ม้ายิงธนูในเมืองก็ไม่ได้ จึงได้หาเป้ามายิงแทน ให้คนเปิดพื้นที่ว่าง สองคนลงไปยิง
กลางเป้าธนูทาสีขาว ขนาดเท่ากับสองฝ่ามือ ยิงโดนก็เรียกว่าแม่น ในเวลาหนึ่งก้านธูป ยิงได้มากที่สุดชนะ
แม้ว่าเป็นมือธนูเก่งกล้า แต่ใช้ธนูทหารแผ่นดินหมิงพอยิงได้ 11 ดอกก็ต้องพัก ใช้ธนูมองโกลก็ได้แค่ 7 ดอก แต่เวลาหนึ่งก้านธูป พลธนูชำนาญการสามารถยิงได้ 40 กว่า เพราะรักษาจังหวะ มีเวลาพักผ่อน แรงกลับมาเร็ว วันรุ่งขึ้นอาจยกแขนไม่ขึ้นก็อีกเรื่องหนึ่ง
ม่อรื่อเกิน ปาถู เฉินต้าเหอ เป้าเอ้อร์เสี่ยว สี่คนเทียบกันแล้ว ม่อรื่อเกินลงสนาม เพราะการประลองแบบนี้ เน้นเรื่องการยิงเร็ว ม่อรื่อเกินมีความสามารถเรื่องนี้
คนอีกฝั่งที่ลงสนามมาแน่นอนเป็นชาวมองโกล ล้วนกล่าวว่าชาวมองโกลชำนาญขี่ม้ายิงธนู แม้ว่าไม่แน่ว่าจริง แต่การยิงธนูนั้นเรียกได้ว่ายอดเยี่ยมไม่เลว
สองฝ่ายมาถึง เสียงตะโกนดังขึ้น สองคนก็รีบเริ่มยิงธนู เริ่มยิงไปดอกแรกก็ได้ยินเสียงเชียร์ดังว่าเยี่ยมทั่วสนาม จากนั้นทุกคนล้วนตะโกนเหนื่อยแล้ว เพราะระยะ 50 ก้าว สองคนยิงกันง่ายมาก เล็งแม่นแน่นอน บนสนามรบจำเป็นต้องรักษาความแม่นยำไว้ให้ดีไปพร้อมกันยิงให้มากยิ่งขึ้น ประลองครั้งนี้ความจริงนั้นแอบมีลูกเล่นเหมือนกัน เป้าหญ้าเล็กๆ จะบรรจุลูกธนู 40 กว่าได้อย่างไร ยิงไปดอกก็หยุด จากนั้นก็หยิบเป้ามาตั้งยิงต่อ
เสียงดังเฟี้ยวเสียดหูไป ดอกแล้วดอกเล่าปักบนเป้าหญ้า ม่อรื่อเกินกับมือธนูอีกฝ่ายความจริงนั้นฝีมือพอกัน หนึ่งก้านธูปยาวนานเช่นนี้ สุดท้ายสองคนก็ย่อมต้องอาศัยสมาธิและความมั่นคงของจิตใจ
แต่ม่อรื่อเกินชนะ เพราะอีกฝ่ายตอนยิงระลอกสอง ธนูสายขาด ได้แต่เปลี่ยนธนู เห็นชัดว่าเขาไม่คุ้นกันธนูใหม่ ความแม่นลดลง และยังเสียเวลา จึงได้แพ้ไปเช่นนี้
“พวกเจ้ารู้สึกว่าไม่ได้สู้ได้ชัยมาใช่หรือไม่?”
หวังทงยิ้มถามขึ้น ทุกคนแม้ไม่พูด แต่สีหน้าก็ล้วนเห็นตามนั้น หวังทงส่ายหน้ายิ้ม กล่าวว่า
“มือธนูต้องใช้ธนูดี ธนูม่อรื่อเกินใช้สินค้าโรงช่างสามธารา รักษาบำรุงตามกำหนด คุณภาพแน่นอนรับประกันได้ แต่อีกฝ่ายธนูดีไม่ดียังเป็นธนูทำเอง จะเทียบได้อย่างไร ทหารสองกองปะทะกัน หรือว่าเพียงแค่อาศัยทหารกล้าเท่านั้นหรือ?”
หวังทงพูดถึงการต่อสู้ครั้งนี้ แต่ความหมายไม่ใช่แค่นี้ ทุกคนล้วนเงียบ หวังทงพยักหน้ากล่าวว่า
“สนามนี้ม่อรื่อเกินชนะแล้ว โรงช่างสามธาราโรงช่างชนะแล้ว พวกเราชนะแล้ว!!”