องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 950 ห่างกันทุกด้าน
โรงช่างสามธาราอาศัยแรงดันน้ำมาขับเคลื่อนเครื่องมือทำอาวุธและอุปกรณ์ต่างๆ อาจจะไม่อาจผลิตอาวุธขั้นเทพอันใด แต่สามารถทำอาวุธให้ทหารทั้งกองได้มาตรฐานเดียวกันในสนามรบเดียวกันได้
อาวุธไม่จำเป็นต้องพิเศษอันใด แต่คุณภาพต้องคงที่ สนามรบเป็นตาย คนนับหมื่นประหัตประหารกัน อาวุธพิเศษมีประโยชน์อันใด ขอเพียงอย่างเดียวก็คือไม่เกิดเหตุผิดพลาด ควรใช้ก็มีใช้ ก็เพียงพอแล้ว
เมื่อครู่มือธนูสองฝ่ายลงสนาม ม่อรื่อเกินชนะอีกฝ่ายด้วยเหตุนี้ นี่ไม่ใช่ปัญหาระดับบุคคลว่าเก่งหรือไม่ ปฏิกิริยาสองฝ่ายมีความต่างกัน
หวังทงมีความเห็นนี้ อีกฝ่ายไม่มี คนตระกูลปัวกลับรู้สึกอัดอั้นยิ่ง รู้สึกว่าองครักษ์เสื้อแพรชนะไม่ใส ตนเองแพ้ที่โชคชะตา จึงพากันโห่ไล่
การประลองกำลัง รอบแรกเป็นธนู จากนั้นก็ไม่มีอะไรใหม่ ระลอกสองเป็นการประลองอาวุธยาว นี่เป็นการฝึกเริ่มต้นของการฝึกกองกำลังหู่เวย สองฝ่ายคว้ากระบองยาวเท่าทวนยาวมา หัวกระบองพันนวมหนังหนาโจมตีกัน
กองกำลังหวังทงที่เก่งทวนยาวที่สุดไม่มีผู้ใดเก่งเกินหลี่หู่โถวและลี่เทา ลูกหลานทหารเน้นเรื่องการฝึกซ้อม ตอนนี้ข้างกายหวังทง มีพวกศิษย์ตระกูลถานเรียนรู้กันมาหลากหลาย มีคนหนึ่งบาดเจ็บ หวังทงไม่กะให้พวกเขาลงสนาม คนที่เหลือ ก็ย่อมเป็นหานกังกับฉีอู่ สองคนล้วนเคยอยู่เมืองจี้โจว และเคยเรียนศิลปะต่อสู้จากชีจี้กวง
หลายวันนี้ตะลุมบอนหมู่ หานกังล้วนนำหน้าก่อน ครั้งนี้เป็นตาฉีอู่บ้าง ฉีอู่ในกองกำลังหวังทง วางตัวนิ่งมาก แต่อายุไม่มาก ยามนี้จึงแสดงสีหน้าตื่นเต้น อยากจะลองเต็มที
อีกฝ่ายเป็นคนหนึ่งข้างกายปัวเฉิงเอิน ดูการแต่งกายแล้วน่าจะไม่ใช่ธรรมดา เห็นหน้าตาก็คล้ายพ่อลูกตระกูลปัวเหมือนกัน คิดว่าน่าจะเป็นลูกหลานพวกเขา เขาสะพายกระบองยาวท่อนหนึ่งลงสนาม
ศิลปะทวนยาวเป็นความสามารถพื้นฐานบนสนามรบ คนในวงการนักเลงไม่มีฝีมือทางนี้ พวกที่เรียนล้วนเป็นลูกหลานทหาร ทวนยาวกับธนูชาวบ้านยากจนเรียนไม่ไหว หากไม่ได้รับการฝึกจากกองกำลังหู่เวยเช่นนี้ การจะเป็นเรื่องพวกนี้ก็ล้วนต้องเป็นลูกหลานทหาร หรือไม่ก็ทหารกล้าในกองทัพ ฝีมือธนูและขี่ม้าเหมือนกัน ล้วนเป็นมาตรฐานในการดูความสามารถขุนพลทหาร
สองคนลงสนามมา ก็ตั้งธงของตนเอง เดิมทั่วสนามที่เอะอะอยู่ก็เงียบกริบ ฉีอู่กับอีกฝ่ายท่าทางน่าเกรงขาม เปล่งกระจายรัศมีทำให้รอบๆ เงียบลง
สองฝ่ายเดินวนรอบๆ ไปมา เพื่อหาโอกาส จากนั้นก็พุ่งเข้าใส่ดุเดือด กระบองไม้ในมือฉีอู่เหมือนว่าสั่นเล็กน้อย กระบองไม้อีกฝ่ายถูกตวัดออก กระบองไม้ในมือฉีอู่แทงลงไปเต็มแรงลงหน้าอกด้านซ้ายของคนผู้นั้นเต็มๆ แม้ว่าปลายไม้จะหุ้มหนังหนาไว้ แต่โดนเข้าเต็มแรงก็ยังคงทำให้ยากจะทนไหว หายใจไม่ออก เจ็บปวดอยู่มาก ล้มลงนั่งแปะกับพื้นทันที
“เยี่ยม!!”
เสียงตะโกนชมดังมาจากหวังทง สีหน้าอีกฝ่ายแน่นอนยิ่งย่ำแย่ แต่ทว่าคนมุงกลับไม่ตื่นเต้น ในสายตาพวกเขา การประลองสองสามทีก็มีผลแพ้ชนะน่าเบื่อมาก ไหนเลยจะเหมือนการยิงธนูเมื่อครู่ ทีละดอกๆ นั่นสิเรียกว่าสู้ได้สวย
แต่สำหรับพวกทหารแล้ว เมื่อครู่ฉีอู่ได้แสดงความสามารถในไม่กี่กระบวน คนเชี่ยวชาญย่อมมองออก นี่คือความแตกต่างจากคนนอกสายที่มาดูเอามันเท่านั้น
“รอบถัดไปพวกเราประลองดาบ!”
ทางนั้นเสนอขึ้น ซาตงหนิงแทรกตัวเบียดมาถึงหน้าหวังทง น้ำเสียงขอว่า
“นายท่าน ให้ข้าน้อยไปลองดูได้ไหม!”
ในบรรดาเด็กหนุ่ม ฝีมือดาบที่ค่อนข้างเฉพาะทางก็ย่อมเป็นซาตงหนิง หวังทงยิ้มสบตาเขา เอ่ยถามขึ้น
“เจ้าไหวไหม?”
“นายท่าน ข้าน้อยเป็นดาบพวกประเทศวัว และยังได้เรียนวิชาดาบเหมียวเตาจากครูฝึกถานมา พูดเรื่องฝีมือดาบแล้วข้าน้อยมั่นใจอยู่!”
หวังทงพยักหน้า ยกมือตบบ่าซาตงหนิง ซาตงหนิงรู้จักใช้ดาบประเทศวัว เคยผ่านประสบการณ์สังหารมา และยังได้รับการถ่ายทอดวิชาดาบเหมียวเตาจากถานเจียง เป็นวิชาดาบในสนามรบตระกูลชี ฝีมือไม่เป็นที่สงสัย แต่หากจะพูดถึงสิ่งที่ขาดก็คือกำลังไม่พอ
อาวุธไม้พร้อม สองฝ่ายลงสู่สนามเรียบร้อย ครั้งนี้ตระกูลปัวส่งคนข้างกายหลิวตงหยางมา ดูท่าแล้วเป็นระดับหัวหน้าผู้คุ้มกัน ตัวสูงใหญ่มากกว่าคนทั่วไป
คนผู้นี้ไม่แน่ว่าจะสูงกว่าซาตงหนิงเท่าไรนัก แต่ความกำยำนั้นเท่ากับซาตงหนิงสองคนกว่า สองฝ่ายประลองกำลัง ก็ย่อมเห็นว่าเสียเปรียบ คนผู้นั้นดูได้ใจหนัก มองซาตงหนิงแสยะยิ้มกล่าวว่า
“เจ้าตัวเท่ากระต่ายเช่นนี้ หากวิ่งได้เร็วก็วิ่งไป อย่าได้ถูกข้าฟันเอาได้ จะไม่มีแรงไว้รับใช้นาย!”
เสียงดังไม่น้อย คนรอบๆ พากันหัวเราะเฮดัง ซาตงหนิงโมโหจนหน้าแดงก่ำ จ้องมองคนผู้นั้นกล่าวว่า
“ข้าวันนี้ไม่ใช้ดาบจริง แต่ก็ยังจะสับเนื้อเจ้าไปเลี้ยงสุนัขได้!”
ประลองฝีปาก หม่าซานเปียวกับหานกังล้วนร้องชมว่าเยี่ยมมาก ทำเอาอีกฝ่ายฮึดฮัดกลับไป พูดไปก็ไร้ประโยชน์ ฝีมือต่างหากของจริง อีกฝ่ายเป็นโล่กับกระบองสั้น ซาตงหนิงกลับสองมือถือกระบองสั้นที่ยาวกว่าเล็กน้อย
ดาบและโล่เน้นการรุกและรับ โล่ก็สามารถใช้ทุบได้ เห็นซาตงหนิงถือดาบเช่นนี้ ทุกคนต่างรู้สึกว่าเด็กน้อยใกล้โตผู้นี้เป็นคนไม่เชี่ยวชาญดาบ อีกสักครู่คงต้องโดนจัดการแน่
เสียงชายถือโล่และกระบองสั้นตะโกนดังลั่นขึ้นบุกเข้าใส่ แม้ว่ากล่าววาจาหาเรื่อง แต่ก็ลงมือย่างรอบคอบ โล่บังร่างกาย กระบองสั้นใช้โจมตี
กระบองสั้นในมือซาตงหนิงไม่สนใจสามทิศทางคนผู้นี้ หากมุ่งเข้าใส่ช่วงขาเขาทันที เหมือนว่ากำลังโจมตีท่อนขา แต่ความจริงนั้นเป็นการเปิดช่องว่างตนเอง ชายถือกระบองสั้นกับโล่สบโอกาส ก็ยกโล่กวาดมา แต่พอขยับเช่นนี้ ท้องเขาก็เปิดออก
สองมือกำกระบองสั้น สองมือบังคับปลายกระบองสั้นให้เปลี่ยนทิศทางได้คล่องแคล่วกว่า ซาตงหนิงขยับเคลื่อนไหวรวดเร็ว หลบโล่ที่กวาดมา ซัดกระบองสั้นเข้าใส่กลางท้องอีกฝ่ายทันที ชายถือกระบองสั้นและโล่ส่งเสียงร้องดัง ยกกระบองสั้น มากันไว้ เขาคิดจะอาศัยความได้เปรียบด้านกำลังปัดกระบองสั้นอีกฝ่ายทิ้ง
แต่ซาตงหนิงก็ว่องไวพอ หลบไปอีกด้าน กระบองสั้นตวัดฟาดเข้าในแขนคนผู้นั้นอย่างแรง คนที่ตาแหลมย่อมเห็นทันทีว่าแขนขึ้นเป็นสีเขียวช้ำ ส่งเสียงร้องเจ็บปวด ไม่อาจถือกระบองสั้นต่อได้ ปล่อยร่วงลงกับพื้น ยังมีโล่ คนผู้นี้กำลังกระชากโล่กลับ
สองฝ่ายเคลื่อนไหวรวดเร็ว กระบองสั้นในมือซาตงหนิงมาถึงด้านหน้าของอีกฝ่ายแล้ว ไม่ได้ผ่อนแรงกลับ หากกระตุกถอยเล็กน้อยก่อนจะแทงเข้าไป ใช้เป็นเหมือนทวนสั้น แทงเข้าใส่กลางหน้าอกอีกฝ่าย อีกฝ่ายส่งเสียงร้องเจ็บปวด กระบองสั้นมือซาตงหนิงจึงได้ฟันฉับเข้าอีกที
ฟันไปสองที อีกฝ่ายก็ร่วงล้มลงกับพื้น เจ็บปวดจนลุกไม่ขึ้น การประลองนี้ยอดเยี่ยมมาก เจ้าออกอาวุธข้าโต้กลับ ไม่พูดถึงทหารหวังทงที่ตะโกนชมไม่หยุด คนมุงรอบๆ ก็ยิ่งเชียร์ดัง ตบมือตะโกนทั้งชมทั้งด่า ครึกครื้นยิ่ง ราวกับดูชนไก่ในตลาดสด
พอลงมือไปครานี้ การสู้กันตัวต่อตัวนี้ไม่จำเป็นต้องสู้ต่ออีกแล้ว องครักษ์เสื้อแพรได้รับชัยชนะหมด รอบแรกอาจเป็นเพราะโชค สองรอบหลังล้วนเอาชนะได้ด้วยฝีมือล้วนๆ
เห็นพ่อลูกตระกูลปัว หน้าแดงกลายเป็นดำ หลิวตงหยางก็ยิ่งสีหน้าย่ำแย่ หวังทงส่งสายตาให้หลิวจี๋หลิน หลิวจี๋หลินตะโกนดังว่า
“ตอนนี้พวกเราประลองยุทธวิธีสนามรบ!!”
เสียงตะโกนจบ หวังทงก็ยกท่อนไม้ยาวในมือขึ้น ทหารติดตามที่เตรียมตัวพร้อมก็เรียงแถวโดยเอาหวังทงเป็นศูนย์กลาง รอบด้านเงียบกริบ เมืองหนิงเซี่ยเห็นแต่ทหารม้ากระจัดกระจาย ไหนเลยจะได้เคยเห็นรูปแบบเป็นทางการที่เป็นระเบียบเช่นนี้ คนตระกูลปัวตรงหน้ายังไม่ได้เตรียมตัวแม้แต่น้อย
“ก้าวขึ้นหน้าไปสามก้าว!!”
หวังทงตะโกนดัง ทั้งขบวนก้าวไปด้านหน้าสามก้าวพร้อมท่อนไม้ แม้ในมือทุกคนเป็นแค่ท่อนไม้ แต่พวกคนตระกูลปัวตรงหน้าเหมือนว่ากำลังเจอกับกองทัพนับพัน หลายคนอดไม่ได้ถอยหลังไปหลายก้าว
พอถอยหลังก็ยิ่งไม่จำเป็นต้องสู้กันแล้ว สายตาคนตระกูลปัวมากมายอดไม่ได้ที่จะเริ่มลังเล หวังทงหันไปกล่าวว่า
“อาวุธอยู่บนรถใหญ่ข้างๆ หากอีกฝ่ายลงมือด้วยอาวุธ พวกเจ้าลงมือทันที สังหารให้หมด!”
อีกฝ่ายก็กำลังคิดเช่นกัน หลิวตงหยางจ้องมองหวังทงอย่างแค้นใจ หันไปกระซิบว่า
“เจ้าเด็กพวกนี้ก็แค่คณะแสดงละคร ดาบทวนอยู่ด้านใน หรือว่าตอนนี้ลงมือ กินรวบให้ราบ!”
“ตอนนี้พวกเจ้ากับพวกข้ารวมกันแล้วในเมืองมีไม่ถึง 500 ผู้บัญชาการกับผู้ว่าการมณฑลรวมตัวกันจะต้านไหวได้อย่างไร เจ้าคิดว่าอีกฝ่ายไม่เตรียมพร้อมหรือ เถียนสุ่ยจิ่งเคยมีรถใหญ่มาทำการค้าเมื่อไร กลับได้แล้ว ขายขี้หน้าแค่นี้ยังไม่พออีกหรือ กลับไปหารือกันใหม่!”
ปัวไป้ตำหนิเบาๆ หันหลังจากไปทันที ปัวเฉิงเอินรีบตามไปติดๆ หลิวตงหยางลังเลไปมา หันไปมองอย่างแค้นใจ ก่อนจะรีบตามไป คนตระกูลปัวล้วนแตกฮือ คนมุงก็ได้แต่ส่งเสียงชมดังไม่หยุด วันนี้เป็นการต่อสู้ที่เยี่ยมยอดมาก
ทหารติดตามหวังทงล้วนรู้สึกได้หน้าดีอกดีใจ แต่นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรหลิวจี๋หลินกลับไม่รู้เอาอย่างไรดี การต่อสู้เช่นนี้ชนะแล้ว หรือว่าตระกูลปัวจะยอมกัน สู้ทนลำบากเชิญผู้บัญชาการมาที่นี่ไม่ใช่มาประลองยุทธ หลิวจี๋หลินกำลังจะถาม ก็ได้ยินหวังทงกล่าวว่า
“ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว!”
หลิวจี๋หลินอึ้งไป ในใจคิดว่า หรือว่าไม่กี่ครั้งที่เหมือนเด็กตีกันก็จะคุมสถานการณ์ได้แล้วหรือ หวังทงเดินไปทางม้าที่มัดไว้ เดินไปกล่าวไปว่า
“คืนนี้ไปเชิญผู้บัญชาการทหารและขันทีคุมกำลังเมืองหนิงเซี่ยมา ผู้ว่าการมณฑลด้วย”
หลิวจี๋หลินด้านหลังรีบรับคำ แต่ก็ยังคงงง ยังกำลังคิดอยู่ ว่าจะหลบสายตาพวกคนตระกูลปัวอย่างไร ก็ได้ยินหวังทงสั่งว่า
“ส่งเทียบเชิญไปอย่างเปิดเผยว่าเชิญมา คืนนี้ข้าจะรออยู่ที่โถงที่ทำการ”
ได้ยินหวังทงกล่าวอย่างมั่นใจเต็มที่ หลิวจี๋หลินก็รู้สึกวางใจอย่างไม่รู้ตัว รีบคำนับรับคำสั่ง
***********
บ่อเกลือ ณ กองกำลังหลังหนิงเซี่ย คนตระกูลปัวเร่งมาถึง ไม่พูดถึงการต่อสู้ตะลุมบอนที่เมืองหนิงเซี่ย แต่คนตระกูลปัว 2,000 คน พอที่จะกวาดล้างทหารม้าทุ่งหญ้าได้ห้าเท่า สถานการณ์สงบลงทันที
แต่ก็สงบได้ไม่ถึงสองวัน กลางวันวันที่ 5 เดือนหนึ่ง ทหารบนหอสังเกตการณ์เร่งม้าวิ่งมารายงานว่า
“มีศัตรูกองใหญ่มุ่งมา……”