องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 951 ศัตรูขบวนใหญ่มุ่งมาหนิงเซี่ย
ชายแดนใช้มาตรฐานใดในการวิเคราะห์ศัตรู ย่อมเป็นกองกำลังที่เดินทางมาอย่างไม่ได้แจ้งไว้ก่อน ไม่ได้แจ้งขุนนางชายแดนเช่นตอนนี้
หากเด็กน้อยถืออาวุธมีเรื่องในตลาด คนผ่านทางไปมาล้วนต้องหลบกันหวาดกลัว อยู่ๆ มีกองกำลังไม่รู้จากไหนกองใหญ่พอดู ขุนพลทหารกองกำลังหลังหนิงเซี่ยต่างพากันตกใจหวาดกลัวเช่นกัน
บนหอสังเกตการณ์มองจากที่ไกล ความสามารถมองไกลย่อมจำกัด ทหารมองไกลเห็นชนเผ่าบริเวณบ่อเกลือเริ่มเคลื่อนไหว
มีทหารจากที่ไกลๆ วิ่งแตกตื่นเข้ากลางกลุ่มพวกชนเผ่าก่อน จากนั้นทั้งชนเผ่าก็เหมือนจะเริ่มแตกตื่น วิ่งวุ่นวายกันทันที มีคนตะโกนดัง มีคนโดดขึ้นม้า
ผ่านการสังหารมาคืนหนึ่งกับความวุ่นวายเมื่อคืน ชนเผ่ารอบบ่อเกลือล้วนป้องกันแน่นหนา กลุ่มหนึ่งขยับ ชนเผ่าที่เหลือล้วนตั้งรับแน่นหนา เกรงว่าอีกฝ่ายจะฉวยโอกาส แต่ชนเผ่าที่ขยับก่อน ทำให้เกิดความวุ่นวายที่เหมือนจะติดต่อกัน ชายแดนหน้าด่านล้วนอลหม่านใหญ่
ทหารแผ่นดินหมิงหน้าด่านมองกันตาค้าง มีคนคิดไปถาม พวกกองกำลังหลังหนิงเซี่ยไม่กล้าออกไปพลการ กลัวว่าจะถูกลอบโจมตีกลางคืน
เวลาผ่านไปช้ามาก ชนเผ่าหน้าด่านแตกตื่นกันไปหมด ทหารที่มองมาจากที่สูงไกลๆ ก็ล้วนรู้สาเหตุแห่งการวุ่นวายนี้ ที่ขอบฟ้าพบแถบดำทะมึน ทหารที่มองจากที่สูงมากประสบการณ์ย่อมรู้ นี่เป็นกองกำลังทหารม้ากองใหญ่
แต่ชนเผ่าเหล่านั้นไยต้องหนี พวกชนเผ่านอกด่านบนทุ่งหญ้ารู้ดีว่า หากมีกลุ่มอิทธิพลใหญ่บนทุ่งหญ้าใดมาโจมตี ชนเผ่าเหล่านี้ย่อมไม่หนี แปดเก้าส่วนย่อมติดตามมาด้านหลังบุกไปด้วย แต่ยามนี้ส่วนแบ่งบ่อเกลือผู้ใดก็ไม่คิดจะจดจำแล้ว
แท้จริงแล้วเป็นเหตุใดที่ทำให้พวกเขาหวาดกลัวเพียงนี้ ทุ่งหญ้าหมื่นลี้ ไม่มีเผ่ายิ่งใหญ่เช่นอันต๋าแล้ว ผู้ใดยังมากบารมีเช่นนี้
เส้นแถบดำค่อยๆ เปลี่ยนเป็นทหารกองใหญ่ กองกำลังจากที่ไกลเดินทางมาไม่เร็วนัก ยิ่งเดินมาใกล้ ก็ยิ่งเห็นได้ว่าด้านหน้ามีทหารม้าพร้อมอาวุธ สองปีกข้างมีผู้คุ้มกันทหารม้ากลุ่มใหญ่ กลุ่มตรงกลางเหมือนไม่ใช่ทหารม้า แต่ก็ไม่ใช่ทหารราบ น่าแปลกมาก
ในที่สุดพอระยะใกล้พอ ทหารที่มองไปก็มองเห็นชัดในที่สุด เป็นขบวนรถใหญ่ รถใหญ่หลายร้อยคัน……
ขุนพลคุมด่านก็คือปัวอวิ๋นบุตรบุญธรรมตระกูลปัว แม้ขบวนรถใหญ่ส่วนใหญ่มาจากเมืองกุยฮว่าเฉิง เมืองกุยฮว่าเฉิงเป็นของแผ่นดินหมิง แต่พอได้เห็นขบวนรถใหญ่ ก็ต้องตกใจยิ่งกว่าชนเผ่าใหญ่บนทุ่งหญ้ามาโจมตีเสียอีก ในมือเขาแม้ว่ามีทหารสองพันของตระกูลปัว แต่หากจะรับมือกับทหารม้าราว 5,000 กับทหารราบราว 4,000 กองกำลังรถใหญ่หลายร้อยเช่นนี้ ไม่มีทางที่จะชนะได้เลย
ปัวอวิ๋นนับว่ามีประสบการณ์การรบมานาน เขาสามารถวิเคราะห์ได้ว่ามีโอกาสชนะไหม ยังรู้ว่าแม้ตนเองปิดประตูเมือง อีกฝ่ายคิดจะบุกก็ยังง่ายมาก
แต่ในเมื่อเป็นชาวแผ่นดินหมิงเหมือนกัน ไยต้องโจมตี ดูพวกทหารม้ากับรถใหญ่เริ่มตั้งค่าย เห็นมีคนมายังกำแพงเมืองส่งสาร
สารเขียนง่ายมาก พ่อค้าเมืองกุยฮว่าเฉิงนำสินค้ามา ขอเข้าด่าน เมืองหนิงเซี่ยเดิมก็มีร้านสาขาเมืองกุยฮว่าเฉิงขนสินค้ามาบนทุ่งหญ้าก็เป็นเรื่องปกติ เหตุผลสมควร แต่ดู ‘พ่อค้า’ ขบวนนี้แผ่รัศมีน่ากลัวแล้วก็รู้สึกเครียด ผู้ใดจะรู้ว่ามาทำอะไรกัน
แต่ถึงยามนี้แล้ว ก็รู้ว่าใครแข็งแกร่งกว่า ไม่อาจสกัดไว้นอกเมือง หากสกัดไว้จริง คนด้านนอกเกิดหาเรื่องขึ้นมา พวกเราย่อมเอาไม่อยู่ และกลุ่มพ่อค้าเมืองกุยฮว่าเฉิงยังมีเบื้องหลังอิทธิพลอำนาจระดับใด ตระกูลปัวในพื้นที่เป็นคนใหญ่คนโตก็จริง แต่เทียบกับคนผู้นั้นแล้ว จะสู้อันใดได้ กลับเป็นการหาภัยใส่ตัวเสียเปล่า
เห็นกองกำลังใหญ่เช่นนี้ ปัวอวิ๋นคิดไปคิดมาก็เข้าใจ ดีไม่ดีทุกอย่างที่ตระกูลปัววางแผนไว้ ก็จะสูญสิ้นไปหมด ยังจะทำอย่างไรได้ ปล่อยเข้ามาแล้วกัน! ปัวอวิ๋นทำได้ก็แค่แกล้งถ่วงเวลาเท่านั้น จากนั้นให้คนม้าเร็วไปรายงายยังตัวเมืองหนิงเซี่ย
“เจ้าทหารตัวเล็กราวเม็ดงา กล้าขวางทางสินค้ากงกงเราหรือ เจ้ายังอยากอยู่ในตำแหน่งอีกหรือไม่!?“
คิดถ่วงเวลา พวกขบวนการค้าไม่หลงกลเขา มีคนด่าออกมาทันที หากเป็นเมื่อก่อน ปัวอวิ๋นคงชักดาบฟันทิ้ง แต่ตอนนี้ได้แต่เสียงอ่อนก้มหัวให้
ทั้งหมดมีสองพันทหารม้ากับรถใหญ่สามร้อยเข้าสู่เมืองหนิงเซี่ย เหล่านี้ล้วนเป็นพ่อค้าแผ่นดินหมิง ที่เหลือล้วนเป็นชนเผ่าอื่นบนทุ่งหญ้ารอบเมืองกุยฮว่าเฉิง ยังมีรถใหญ่บรรทุกเกลืออีกหลายร้อยจอดอยู่นอกด่าน ปัวอวิ๋นไม่กล้าว่าอะไร แต่คนของเขาเข้าไปคุมสถานการณ์แล้ว
*************
หลังชนะที่เถียนสุ่ยจิ่ง หวังทงก็ส่งเทียบเชิญไปยังผู้บัญชาการเมืองหนิงเซี่ย ขันทีคุมเสบีบงและผู้ว่าการ สามคน ที่เมืองชายแดนอื่น สามตำแหน่งนี้เป็นดังฟ้าเบื้องบน แต่ที่นี่กลับถูกตระกูลปัวบี้แทบตาย แน่นอน สามคนนี้ต่อหน้าหวังทงต้องก้มหัวคำนัก เรียกตัวเองว่า ข้าน้อย
หวังทงรับราชโองการมาที่นี่ ราชโองการว่ากระจ่างว่า หวังทงจัดการระบบทุกคนในหนิงเซี่ย หากจำเป็นสามารถส่งกำลังจากส่านซีสามชายเมืองมาได้ทุกเมื่อ สถานะนี้แท้จริงนั้นก็คือให้หวังทงเป็นผู้บัญชาการภาคตะวันตกเฉียงเหนือ สามคนนี้แน่นอนไม่สามารถทำอะไรได้
ขุนนางทางการบุ๋นบู๊ที่ราชสำนักส่งมา ถูกพวกชนเผ่านอกด่านกดดันจนเป็นเช่นนี้ ช่างเป็นเรื่องเสื่อมเสียเกรียติ ผู้ว่าการมณฑลตั่งเซียงยังสามารถอ้างว่าตนเป็นขุนนางบุ๋น ไม่รู้เรื่องการต่อสู้ ผู้บัญชาการจางเหวยจงน่าอับอายยิ่งนัก ทหารในสังกัดถูกจัดการจนไม่เป็นท่า เสียหน้ามาถึงครึ่งปี ถึงกับต้องให้ใต้เท้าผู้แทนพระองค์เอาคืนให้
หวังทงไม่ได้ตำหนิอันใด ได้แต่รับอำนาจสั่งการทหารติดตามผู้บัญชาการทหารกับผู้ว่าการมณฑลมาสองกอง สองกองกำลังรวมกันแล้วก็เกือบสามพัน นับรวมกองพันรักษาความสงบกองนี้ก็อยู่ใต้บังคับบัญชาของผู้ว่าการมณฑล กำลังเกือบสี่พัน แม้ไม่ได้เก่งกล้าก็ตาม
รับอำนาจบัญชาการมาแล้ว คืนนั้นหัวหน้ากองกำลังพวกนี้ก็มาขอพบ หัวหน้าทหารฝ่ายหวังทงก็เริ่มรับอำนาจบัญชาการต่อ
เมืองหนิงเซี่ยไม่ใหญ่ ผู้บัญชาการ ผู้ว่าการมณฑล ขันทีคุมกำลังขุนนางระดับสูงเช่นนี้ ไม่อาจปิดบังคนอื่นได้ หวังทงไม่กะให้พวกเขาปิดบัง เพียงแต่ไม่แสดงตนเปิดเผยเท่านั้น
ข่าวในคืนนั้นแพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว ว่าเป็นติ้งเป่ยโหว ผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรหวังทงมาถึงเมืองหนิงเซี่ย หลายวันนี้ที่ชนะการต่อสู้บนท้องถนนนั้นก็คือทหารสังกัดหวังทงทั้งสิ้น
หนิงเซี่ยเป็นเมืองชายแดน ข่าวบนทุ่งหญ้าแน่นอนฉับไว พวกเขาจำเรื่องราวหวังทงได้แม่นยำมาก พอได้ยินว่าหวังทงมาที่นี่ ทุกคนก็สะดุ้งโหยง
พอหายตกใจ คนที่พอมองการเมืองออกก็รู้แล้วว่า ตระกูลปัวที่แอบคิดการไม่ซื่อเกรงว่าเผยออกไปแล้ว ทุกอย่างจบสิ้นแล้ว
กำแพงล้ม คนข้าม พอข่าวแพร่ไป เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ก็มีคนมาถึงหน้าประตูสำนักกองพันองครักษ์เสื้อแพร ว่ามีเรื่องสำคัญรายงาน ขอพบใต้เท้าหวัง มีคนมาแจ้งข่าวลับตามคาดหวังทง ทหารติดตามไม่รอช้า นำเสื้อผ้ามาให้คนผู้นี้เปลี่ยน เพื่อให้เขาไม่อาจแอบซ่อนอาวุธ
คนที่มาแจ้งข่าวมีที่มาไม่ธรรมดา ถึงกับเป็นพ่อบ้านคนหนึ่งของตระกูลปัว คนชายแดนองอาจกล้าหาญ แต่โลกแคบ ตระกูลปัวแอบเคลื่อนไหว หลายคนเข้าร่วมด้วย เดิมรู้สึกว่าอำนาจวาสนาอยู่ตรงหน้าแล้ว ก็ฮึกเหิมลำพองไปด้วย แต่พอมีเรื่องมาหลายวันนี้ ยังได้ยินข่าวแอ่งน้ำฮัวหม่า ในใจก็ไม่มั่นใจ ตระกูลปัวเป็นตระกูลใหญ่แห่งหนิงเซี่ย ข่าวในเมืองก็ฉับไว ติ้งเป่ยโหว ผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรหวังทงมา เรื่องนี้พอหวังทงปล่อยออกไป พวกเขาก็ย่อมรู้ทันที
ที่แท้ในสายตาคนหนิงเซี่ย ผู้บัญชาการและผู้ว่าการมณฑล บวกกับรองแม่ทัพตระกูลปัวก็ไม่ใช่คนใหญ่คนโตแล้ว ติ้งเป่ยโหว ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรนี่สิเรียกได้ว่าฟ้าเบื้องบน และทหารติดตามยังองอาจกล้าหาญเพียงนั้น มาที่นี่ทำไมกัน หากไม่ใช่มาจัดการตระกูลปัว
ในเมืองตอนนี้ตระกูลปัวไม่มีกำลัง ทัพใหญ่ถูกหวังทงคุมไว้ในกำมือแล้ว สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนไป ตระกูลปัวเหิมเกริมกับคนใต้บังคับที่ลำพองตัวตอนนี้พากันตื่นตระหนก พ่อบ้านผู้นี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น รีบมา ‘สร้างความชอบล้างความผิด’ ดูว่าตนเองจะรอดพ้นได้หรือไม่ ขณะเดียวกันก็ยังหาผลประโยชน์ให้ตนอีกด้วย
นี่เป็นเจตนาหวังทง ปล่อยความกดดันออกไปเพียงพอ แน่นอนย่อมมีคนทนไม่ไหว เช่นนี้ก็ย่อมได้รับข่าวมากมาย ที่ตระกูลปัวทำในตอนนี้ ยังไม่ถึงขั้นปลดตำแหน่งขุนนาง มากสุดก็แค่ลดขั้น คนตระกูลปัววางอำนาจในเมือง แม้ว่าทำให้เกิดการบาดเจ็บและเสียหาย แต่ไม่ได้ทำร้ายคนถึงชีวิต ผู้บัญชาการกับผู้ว่าการมณฑลกล่าวเกินเลยไปสักหน่อย สองฝ่ายขัดแย้งกันมานาน กล่าวเกินเลยให้โทษหนักก็ย่อมเป็นเรื่องธรรมดา แต่รายงานกับการบรรยายหลิวจี๋หลินก็มองแบบคนนอกมาก ตระกูลปัวสามารถทำได้ถึงขั้นนี้ หวังทงอย่างไรก็ไม่ยอม
“…นายท่านเรา…ไม่สิ…ปัวไป้นั่นบอกว่า เขากับปัวเฉิงเอินชีวิตนี้ไม่อยากเป็นแค่รองแม่ทัพ อย่างไรต้องได้ตำแหน่งผู้บัญชาการ แต่ทว่าเป็นผู้บัญชาการเกรงว่ายังไม่พอ ต้องให้หลิวตงหยางนั่นเป็น……”
ชาวมองโกลกับเผ่าหุยในทัพชายแดนไม่น้อย ที่กานซู่ถึงกับยังมีพวกถู่ฟานกับเผ่าหุย ขุนพลทหารก็มีไม่น้อย ได้เป็นรองแม่ทัพไม่เพียงแต่พวกตระกูลปัว แต่เหมือนธรรมเนียมยอมรับ ก็คือหากมิใช่ชาวฮั่นไม่อาจเป็นผู้บัญชาการ
ความจริงนั้นสำหรับขุนนางบู๊ ผู้บัญชาการเรียกได้ว่าสูงสุดแล้ว การได้เป็นผู้บัญชาการนับว่าเป็นเกียรติสูงสุด สูงไปกว่านี้ก็คงเป็นขุนนางบู๊มีบรรดาศักดิ์แล้ว บรรดาศักดิ์ระดับนี้ ผู้คนมักไม่คิดว่าเป็นขุนนางบู๊ และพวกเขาอยู่ในศูนย์กลางการปกครองอีก ก็ยิ่งถูกมองว่าเป็นขุนนางราชสำนัก เช่นหวังทงตำแหน่งองครักษ์ฝ่ายในและยังควบตำแหน่งผู้บัญชาการอีก ก็เรียกได้ว่าน้อยยิ่งกว่าน้อย
การได้ตำแหน่งของหวังทง ไม่ได้เป็นแค่คำถามเรื่องความกล้าหาญชาญชัย หรือว่าโชคดีอันใดเช่นว่ารู้จักกับฮ่องเต้ว่านลี่แต่เด็ก ……
แต่การที่พ่อบ้านผู้นี้มาฟ้องก็ทำให้หวังทงตกใจมาก สาเหตุก็เพราะว่าคนที่คิดการไม่ซื่อส่วนใหญ่ล้วนคิดเป็นผู้ครองแผ่นดิน ตำแหน่งผู้บัญชาการจะเท่าไรกัน
“เขาไม่คิดไปเป็นข่านที่ไหนหรือ?”
“ตระกูลปัวชาติกำเนิดต่ำต้อยบนทุ่งหญ้า ว่ากันว่าเป็นทาสเลี้ยงสัตว์ให้กับพวกเยี่ยเอ่อร์เชียง หนีออกมา นอกด่านเน้นเรื่องสายเลือดที่สุด พวกเขาไม่มีหวัง”
ชนเผ่าบนทุ่งหญ้าให้ความสำคัญกับสายเลือดมาก ข่านอันต๋าแม้ว่าเป็นขุนพลนายหมื่น แต่พอเป็นข่านก็มีคนนินทาเช่นนี้ ดังนั้นจึงได้เปลี่ยนศาสนา เพื่อให้สถานะตนเองมีที่รองรับ เรื่องนี้หวังทงเข้าใจ
“จุดมุ่งหมายตระกูลปัวน้อยไปหน่อยกระมัง!”