องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 953 พระเดชและพระคุณ
หลิวตงหยางถูกเชือกรัดคอดิ้นรนไม่นาน เขาแม้ว่าเป็นขุนพลทหาร แต่ถูกคนกดไว้เช่นนี้ และยังเป็นทหารสองนายของหวังทงกดไว้ ก็ย่อมไม่อาจขัดขืน
ไม่นาน หลิวตงหยางก็ตัวอ่อน กลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่ว คนถูกรัดตายปลดปล่อยออกมา ศพถูกลากลงจากกำแพงเมืองทันที
พ่อลูกตระกูลปัวสบตากัน สายตาล้วนแสดงความหวาดกลัวออกมา ติ้งเป่ยโหวไม่ลงมือ แต่พอลงมือก็สังหารทิ้งทันที ชะตาตนจากนี้จะเป็นเช่นไร ไม่อาจคาดไปในทางดีได้เลย
“ปัวเฉิงเอิน ทหารเจ้าในเมืองหนิงเซี่ยก่อเรื่องมานานเพียงนี้ ถึงกับไม่เคยสังหารสักชีวิต เจ้าคิดอะไรกัน?”
ปัวเฉิงเอินไม่รู้ว่าหวังทงถามขึ้นด้วยเหตุใด คิดจะมองไปทางบิดาขอความเห็น แต่ปัวไป้ตอนนี้จะเอ่ยอันใดได้ ลังเลครู่หนึ่ง กล่าวว่า
“เรียนท่านโหว ข้า……ข้าน้อย……ข้าน้อยคิดว่าคนบ้านเดียวกัน อย่างไรก็ไม่อาจทำร้ายกันให้เกินเลยไปนัก วันหน้ายังต้องคบหากันอีก”
หวังทงยิ้มส่ายหน้า ถามปัวไป้ขึ้นว่า
“เจ้าต้องการแค่เป็นผู้บัญชาการ?”
ปัวไป้อึ้งไป เรื่องมาถึงขั้นนี้ ไม่อาจสนใจอันใดได้อีก ถอนหายใจเงยหน้ากล่าวว่า
“ท่านโหว ข้าน้อยอยู่เมืองหนิงเซี่ยมา 30 ปี มีความชอบมากมาย จนเกษียณก็ได้แค่รองแม่ทัพ บุตรชายข้าน้อยก็มีความดีความชอบ แต่ชั่วชีวิตนี้คงได้เป็นแค่รองแม่ทัพนี่แล้ว ผู้บัญชาการอ่อนแอไร้สามารถพวกนั้น ข้าน้อยไม่อาจรับได้!”
“เรื่องมาถึงขั้นนี้ เจ้ายังคิดเป็นผู้บัญชาการอีกหรือ?”
“ท่านโหวอย่าได้หัวเราะเยาะ เมื่อก่อนข้านั่นกล้าหาญการศึก ยังมีกองกำลังที่ใช้การได้ดี อย่างไรก็รู้สึกว่าตระกูลข้านั่นก็เป็นหนึ่ง ได้ยินความดีความชอบท่านโหวก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องไม่จริง หลายวันนี้ได้เห็นด้วยตา จึงได้รู้ว่าที่แท้เป็นดังกบกะลา ที่คิดว่าตนเองกล้าหาญการศึกนั้น ก็เหมือนกับเด็กเล่นไปเลยทีเดียว”
ปัวไป้เหมือนว่าอายุมากแล้ว หลายเรื่องล้วนคิดได้แล้ว พูดถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจยาว โขกศีรษะหลายทีกล่าวว่า
“ข้าน้อยกระทำการเหิมเกริม รู้ผิดแล้ว เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นข้าน้อยทำคนเดียว หลิวตงหยางกระพือไฟ ปัวเฉิงเอิน กับปัวอวิ๋นล้วนไม่รู้ ขอท่านโหวเห็นแก่ความชอบข้าน้อยหลายปีนี้ ปล่อยครอบครัวข้าน้อย ข้าน้อยยอมรับผิด!”
“ท่านพ่อ……”
ปัวเฉิงเอินข้างๆ ร้อนใจ เพิ่งส่งเสียงขึ้น ก็ถูกปัวไป้จ้องกลับ หวังทงโบกมือ มีทหารติดตามยกเก้าอี้มา หวังทงนั่งกางขาท่าทางองอาจต่อหน้าพวกเขา ทำให้รู้สึกเหมือนอยู่สูงกว่า เรื่องมาถึงขั้นนี้ แก้ไขได้ไปกว่าครึ่งแล้ว หวังทงเอ่ยขึ้นว่า
“ปัวไป้ เจ้ากระทำการเหิมเกริม? ปัวเฉิงเอิน ในเมื่อเป็นราชสำนักแต่งตั้งเป็นรองแม่ทัพ เหตุใดจึงพลอยกระทำการเหิมเกริมไปด้วย ปัวไป้เจ้าเองรับผิดไว้หมด พวกเขาย่อมปลอดภัย เป็นขุนนางต่อไปได้?”
ปัวไป้โขกศีรษะตึงๆ หลายที ตอนเงยหน้าขึ้นหน้าผากก็ม่วงช้ำ ปัวเฉิงเอินกำลังจะกล่าว ก็ถูกปัวไป้โมโหด่าดัง
“เดรัจฉาน ยังไม่ขอชีวิตอีก หรือว่าอยากให้ทั้งตระกูลต้องพลอยลำบากไปกับเจ้าด้วย?”
“ท่านโหว ข้าน้อยไม่ขอเป็นขุนนางต่อ ขอเพียงใต้ไว้ชีวิตบิดาข้าน้อย”
ปัวไป้เริ่มคิดว่าจะรับความผิดไว้ผู้เดียว ได้ยินหวังทงถามกลับเช่นนี้ ก็คิดถึงว่าจะต้องใช้ชีวิตปัวเฉิงเอินไปอีกชีวิตด้วย เพื่อแลกกับทั้งครอบครัว หวังทงสีหน้ายังคงยิ้ม แต่รอยยิ้มนิ่งเรียบเช่นนี้ ทำให้พ่อลูกตระกูลปัวไม่แน่ใจ ลมบนกำแพงพัดแรง ตอนหลิวตงหยางตายส่งกลิ่นเหม็นยังคงคละคลุ้ง แต่สภาพก่อนตายที่สิ้นหวังและเคียดแค้นนั้น เหมือนว่ายังคงติดตาพ่อลูกตระกูลปัว ทำให้พวกเขาหวาดกลัวทวีคูณ
เงียบไปครู่หนึ่ง เหมือนนานมากสำหรับพ่อลูกตระกูลปัว อากาศหนาว แต่ตัวกลับเหงื่อท่วมไปหมด หวังทงค่อยๆ กล่าวว่า
“พวกเจ้าคิดอะไรข้าไม่สนใจ พวกเจ้าก่อเรื่องในเมืองมานานเพียงนี้ กลับไม่ทำให้เป็นเรื่องใหญ่ถึงขั้นมีผู้ใดตาย นี่คือสิ่งที่พวกเจ้าทำ! ตอนนี้คนในและนอกล้วนบอกว่าพวกเจ้าเพียงแค่ต้องการเป็นผู้บัญชาการ นี่นับเป็นความปรารถนา ไม่ใช่ความผิด”
ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ ปัวไป้ก็เบิกตากว้าง หากกล่าวเช่นนี้ความผิดเขาก็ลดลงไปมาก หรือว่าใต้เท้าหวังไม่คิดเอาเรื่อง แต่ยามนี้ ไม่อาจดีใจได้ กำลังจะกล่าวก็ได้ยินหวังทงเอ่ยถามขึ้น
“ปัวเฉิงเอิน เจ้าพูดภาษามองโกลเป็นไหม?”
คำถามนี้เหมือนไม่เข้ากับการสอบสวนในยามนี้ แต่สถานการณ์ตอนนี้ พ่อลูกตระกูลปัวได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ ปัวเฉิงเอินกล่าวว่า
“ข้าน้อยก็พอรู้บ้างไม่กี่คำ อื่นๆ ไม่รู้”
ปัวเฉิงเอินกล่าวด้วยสีหน้าไม่แน่ใจ หวังทงหันไปทางปัวไป้ถามขึ้น
“ยังไง เจ้าเกิดบนทุ่งหญ้า กลับไม่สอนภาษาบ้านเกิดให้ชนรุ่นหลังหรือ?”
ถามขึ้นอย่างไม่คิดอะไร ปัวไป้ที่นอบน้อมมาตลอดก็เริ่มหน้าแดง งึมงำกล่าวว่า
“ท่านโหว ข้าน้อยเป็นชาวฮั่น แต่ตอนเด็กถูกจับไปเป็นเชลยบนทุ่งหญ้า จะสอนลูกหลานให้รู้ภาษาป่าเถื่อนทำไมกัน แม้ลูกเนรคุณไปเรียนมาก็ล้วนเป็นเพราะไม่รู้ดีชั่วไปเรียนกับคนรับใช้ ตอนนั้นก็ถูกข้าน้อยลงแส้โบยไปแล้ว”
ในยุคนี้ ชาวฮั่นกับบนทุ่งหญ้าหน้าต่างแตกต่างกันมาก หวังทงที่เห็นโลกมามาก ก็ย่อมมองออกว่าปัวไป้กับปัวเฉิงเอินเป็นแบบมาตรฐานชาวมองโกล แต่ปัวไป้กล่าวเมื่อครู่ก็น่าสนใจมาก ตรงกับข่าวที่หวังทงได้ยินมา
หวังทงพยักหน้ากล่าวอีกว่า
“เป็นชาวฮั่นดี? หรือเป็นชาวมองโกลดี?”
ถามคำถามเหล่านี้ขึ้นตอนสอบสวน เหมือนไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์วุ่นวายในหนิงเซี่ยครึ่งปีมานี้ พ่อลูกตระกูลปัวอึ้งไปหากก็ต้องตอบ ปัวเฉิงเอินกล่าวเบาๆ ว่า
“พวกนอกด่านพวกนั้นมีดีอะไร แม้เป็นชนชั้นสูงชนเผ่า สุราดียังไม่มีดื่ม สตรีก็เหม็นสาบ หน้าร้อนก็ร่อนเร่ไปทั่ว หน้าหนาวก็ต้องหลบแต่ในกระโจม วันเวลาเช่นนี้ หากเป็นส่านซี หรือแม้แต่เป็นหนิงเซี่ยก็ดีกว่าพวกเขามาก”
ปัวไป้ถอนหายใจอีก หวังทงถามมาทำให้เขารำลึกถึงความหลัง น้ำเสียงก็ค่อยๆ จมสู่ห้วงลึกในความทรงจำที่เคยลืมเลือนไป
“ท่านโหวไม่รู้ วันเวลาบนทุ่งหญ้าลำบากมาก แม้แต่ขี้ม้าก็ไม่อาจทิ้ง ยังต้องเก็บเอามาเผาเป็นฟืน ชนชั้นสูงกินเนื้อ คนชั้นล่างกินผักที่เก็บได้กับนมม้าเป็นอาหารเท่านั้น ไม่อาจมีกินอิ่มท้อง ข้าน้อยตอนอยู่บนทุ่งหญ้า เคยทำงานเลี้ยงม้าเลี้ยงวัวให้หัวหน้าเผ่า ลำบากมาก บางทีหนาว หิมะตกหนัก วันรุ่งขึ้นในกระโจมก็อาจมีคนตายได้ คนตายยังใช้เนื้อไปเลี้ยงสุนัขชนชั้นสูง กระดูกยังเอามาเลี่ยมเงินทำเป็นชามสุรา นี่เป็นเผ่าใหญ่ หากเป็นพวกเผ่าเล็ก มักต้องสู้กับหิมะหนัก ถึงกับล้มป่วยเป็นโรคติดต่อ ทั้งเผ่าก็ต้องพังพินาศไปหมด……”
หวังทงโบกมือ ปัวไป้ก็รู้ตัวไม่กล่าวต่อ ปัวไป้เป็นชาวมองโกล แต่ปัวเฉิงเอินเกรงว่าคงได้รับความเป็นฮั่นมากสักหน่อย เห็นชัดว่าเขาเห็นสถานะชาวมองโกลเป็นดังมลทิน คนเช่นนี้ ทำงานย่อมรู้หนักเบา และยังเป็นคนมีความชอบทางการทหาร หวังทงเงียบไปก่อนจะกล่าวว่า
“ปัวไป้ ปัวเฉิงเอิน ยังมีปัวอวิ๋นและคนอื่นๆ พวกเจ้าสองรุ่นตระกูลปัวนี้ไม่อาจเป็นขุนนางต่อได้แล้ว!”
ปัวไป้พ่อลูก รวมปัวอวิ๋น บุตรบุญธรรมปัวไป้ ยังมีลูกหลานตระกูลปัวอีกสองสามคนที่เป็นขุนพลทหาร หวังทงกล่าวเช่นนี้ พวกเขาไม่อาจเป็นขุนนางแล้ว ตำแหน่งขุนนางพ่อลูกตระกูลปัวบนแผ่นดินหมิงที่ตรากตรำสร้างมาจบสิ้น แต่ก็ย่อมเข้าใจ หวังทงกล่าวเช่นนี้ ตระกูลปัวก็ย่อมเป็นราษฎรธรรมดาแล้ว
ขุนนางกับราษฎรต่างกันมาก รองแม่ทัพอย่างปัวไป้ที่ก้าวมาจากทาสย่อมเข้าใจ แต่สถานะเช่นหวังทงกล่าวกับเขาเช่นนี้ ปัวไป้รู้ว่าเป็นความเมตตามากแล้ว
สีหน้าพ่อลูกตระกูลปัวล้วนเศร้าสลด ขณะเดียวกันก็ยังโขกศีรษะขอบคุณ
“ขอบคุณท่านโหวที่เมตตา ข้าน้อยขอโขกศีรษะให้ท่าน!!”
โขกศีรษะดังตึงๆ หวังทงกลับเงียบไป นิ่งไปพักหนึ่ง ก็กล่าวว่า
“ตระกูลปัววันหน้าไม่ต้องอยู่หนิงเซี่ยแล้ว ลูกหลานตระกูลปัว รวมทั้งพวกที่แต่งเข้าตระกูลเจ้าทั้งหลาย ก็ให้ย้ายไปที่อื่น พวกเจ้าต้องหลบคำนินทา!”
“ขอรับ!”
คนเบื้องหน้าโขกศีรษะรับคำแต่ทว่าสีหน้าก็ย่ำแย่ยิ่ง ตระกูลปัวเป็นใหญ่ในพื้นที่ ลูกหลานตระกูลปัวคนใดอยู่ต่อที่นี่ ก็ย่อมรวมกำลังได้ ทำให้ทางการยุ่งยาก ในเมื่อหวังทงตัดสินใจปล่อยด้วยความใจกว้าง แน่นอนย่อมต้องไม่เหลือภัยไว้ภายหลัง แม้ว่าหวังทงไม่พูดวาจายกโทษให้อะไรออกมาก็ตาม
“ปัวไป้ รุ่นหลานเจ้ามีชายกี่คน?”
ถามขึ้นเช่นนี้ พ่อลูกตระกูลปัวก็อึ้งไป ปัวไป้คิดปิดบัง แต่คิดแล้วก็กล่าวว่า
“ข้าน้อยหากจำไม่ผิด ทั้งหมด 16 หญิง 6 ชาย 10”
ตัวเลขนี้เริ่มแรกหวังทงคิดว่ามาก แต่ก็คิดได้ทันที ตระกูลสถานะเช่นนี้บนแผ่นดินหมิง ความจริงนั้นนับว่าน้อยแล้ว
“นอกจากพวกที่ไม่อาจจากพ่อแม่ ก็ให้ส่งไปเป็นทหารที่เทียนจินละกัน!”
หวังทงกล่าวเช่นนี้ก็ทำให้พ่อลูกตระกูลปัวที่รออยู่ล้วนอึ้งไป ปัวเฉิงเอินรีบคิดคลานเข่าเข้ามา แต่แค่ขยับก็ได้ยินเสียงชักดาบด้านหลัง รีบหยุด ร่ำไห้กล่าวว่า
“ท่านโหว ลูกหลานข้าน้อยล้วนยังเล็ก ขอท่านโหว……”
“พวกเจ้าไม่เป็นขุนนาง ไม่อยากให้ลูกหลานได้เป็นหรือ?”
หวังทงยิ้มถามกลับ พ่อลูกตระกูลปัวอึ้งไปทันที ยามสนทนาทำให้สองพ่อลูกอึ้งไปหลายคราแล้ว หวังทงกล่าวว่า
“พวกเจ้าทั้งครอบครัวย้ายไปเมืองกุยฮว่าเฉิง ทหารรวมคนงานพวกเจ้าก็ให้พวกเจ้าเอาไปได้ครึ่งพัน พวกเจ้านำสมบัติที่หนิงเซี่ยขายให้หมด เงินทอง สัตว์เลี้ยงอะไร พวกเจ้านำไปใช้เมืองกุยฮว่าเฉิงได้ ตระกูลปัวต้องเปิดร้านค้า ต้องมีร้านสาขาในเทียนจิน ปัวเฉิงเอินหรือปัวอวิ๋นไปจัดการ!”
เมืองกุยฮว่าเฉิงแม้ว่าอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองหนิงเซี่ย แต่ก็เป็นลุ่มน้ำที่อุดม ยังเป็นเมืองใหญ่บนทุ่งหญ้า เทียบกับหนิงเซี่ยแล้วดีกว่ามาก ให้ตระกูลปัวไปทำการค้าที่เมืองกุยฮว่าเฉิง ไม่ได้เป็นขุนนาง แต่อำนาจวาสนาไม่ลดลง กลับดีขึ้น สำหรับตระกูลปัวรุ่นหลานได้เป็นทหารที่เทียนจิน ตระกูลปัวได้เปิดร้านที่เทียนจิน นี่เป็นความเมตตาใหญ่ เดิมคิดว่ามีความผิดประหารชีวิต คิดไม่ถึงว่าจะจัดการเช่นนี้
ปัวไป้กับปัวเฉิงเอินอึ้งไปไปนานสักพัก ล้วนโขกศีรษะร่ำไห้ น้ำตาไหลนองกล่าวว่า
“ขอบคุณท่านโหวที่เมตตา……”