องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 955 จัดการภาพรวม
ใช้กำลังมากเพียงนี้ไว้รับมือผู้บัญชาการกับผู้ว่าการมณฑล แม้องครักษ์เสื้อแพรมีหน้าที่สืบความลับขุนนาง แต่หวังทงกล่าวมาเมื่อครู่กลับไม่ได้หมายความเช่นนี้
หลิวจี๋หลินแน่นอนฟังเข้าใจ ดังนั้นคำตอบแรกจึงไม่ใช่ถามว่าทำอย่างไร แต่เป็นการแสดงถึงจุดยืนตน เรื่องนี้อาจผิดกฎหมาย อาจไม่ต้องตามธรรมเนียม แต่หลิวจี๋หลินรู้ว่าอำนาจวาสนาตนเองแท้จริงมาจากผู้ใด ไร้หวังทงสนับสนุนและส่งเสริม ตนเองก็ไม่เหลืออะไร หากจะมาลังเลในเรื่องนี้ เช่นนั้นคงได้แต่ไร้อนาคตแล้ว
คำตอบเขาทำให้หวังทงพอใจมาก หวังทงพยักหน้าเอ่ยขึ้น
“เจ้าเป็นคนจากกองกำลังหู่เวย ความเป็นตายเจ้าก็ผูกไว้กับข้า ข้าไม่ปิดบังเจ้า ข้าคิดจะเปลี่ยนระบบเมืองชายแดน!”
จากการที่หวังทงเป็นขุนนางบู๊สูงสุดแผ่นดินหมิง จึงมีสถานะพอจะกล่าวเช่นนี้ แต่หลิวจี๋หลินได้ฟังแล้ว ก็อดสะดุ้งไม่ได้ ไม่สนใจอันแล้ว ยามนี้ต้องระวังรอบคอบ เอ่ยเตือนว่า
“ผู้บัญชาการเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ต้องรอบคอบให้มาก!”
ชายแดนทั้งเก้ามีประชากรถึงหนึ่งในห้าของแผ่นดินหมิงก็ว่าได้ นับเป็นทหารครึ่งหนึ่งของแผ่นดินหมิงหรืออาจมากกว่านั้น ทุกปีใช้งบประมาณแผ่นดินหมิงสองในสาม กลุ่มเช่นนี้แม้ว่าไม่ใช่ภาพรวมทั้งหมด แต่จากเมืองชายแดนไปยังท้องถิ่นหรือ จากเมืองชายแดนไปยังราชสำนัก สองร้อยปีมานี้ ก็เริ่มขยายใหญ่ ผลประโยชน์ทับซ้อนมากมาย หากแตะหนึ่งย่อมกระทบทั้งหมด หวังทงคิดแตะต้องกับผลประโยชน์ร่วมกองนี้ แม้ว่าหวังทงตอนนี้มีอำนาจมาก แต่ก็ยังเสี่ยงเกินไป กล่าวให้ถูกต้องก็คือ รนหาที่ตาย
หวังทงพยักหน้ากล่าวว่า
“แน่นอนต้องรอบคอบ ข้าจะไม่เหมือนกับพวกขุนนางในราชสำนัก เรื่องยังไม่ทำ ก็ตะโกนบอกใครต่อใครไปหมด แต่การจะจัดการถอนกำลังเมืองชายแดน ดีไม่ดีผู้บัญชาการ ผู้ว่าการมณฑล หรือแม้แต่ขุนพลภาคในยามนี้ก็คงก่อเรื่อง เจ้าต้องรับมือเรื่องพวกนี้ เข้าใจไหม?”
“ข้าน้อยเข้าใจ ยอมมอบชีวิตเพื่อการนี้!”
วาจาเสียงดังกังวาน มีหลายส่วนฟังแล้วจริงใจอยู่ หลิวจี๋หลินคิดเข้าใจแล้ว หากจะเป็นเพราะปรับระบบเมืองชายแดนแล้วทำให้เกิดความวุ่นวายทางการทหาร กำลังในมือตนแค่นี้จะไปทำอะไรได้ ถึงตอนนั้นต้องลงมือ ก็คงต้องสละชีวิตนี้ไปด้วย เพื่อให้สมกับที่ผู้บัญชาการไว้วางใจ
หวังทงโบกมือกล่าวเรียบๆ ว่า
“คงไม่ถึงชีวิตหรอก รอบคอบหน่อย ละเอียดหน่อย ระวังหน่อย ก็พอแล้ว”
หลิวจี๋หลินอดยิ้มไม่ได้ ใต้เท้าตนไม่นิยมวาจาเช่นนี้ ตนเองกลับลืมเสียได้ หวังทงตบเท้าแขนเก้าอี้ กล่าวว่า
“วันที่ 18 เดือนหนึ่งข้าจะจัดงานเลี้ยงทุกฝ่ายในหนิงเซี่ย ทหารเมืองหนิงเซี่ย คหบดีใหญ่ที่นี่….ไม่ว่ามีตำแหน่งขุนนางหรือไม่ หากเป็นคนใหญ่คนโตในพื้นที่ที่กล่าววาจาแล้วมีผู้รับฟัง เจ้าส่งรายชื่อมา เชิญมาให้หมด ปล่อยข่าวไปด้วยว่า หากไม่มาก รอรับโทษได้!”
“ขอรับ ข้าน้อยขอล่วงเกิน โทษนี้เป็นเพียงวาจา แต่อย่างไรต้องเตรียมการลงโทษ!”
องครักษ์เสื้อแพรหาความผิดให้ผู้อื่นเป็นเรื่องชำนาญ ข่มให้กลัวเรื่องหนึ่ง หากต้องลงโทษจริง ก็ต้องหาหลักฐาน แน่นอน หลักฐานจริงหรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง
“เตรียมการลงโทษ สถานการณ์เช่นนี้ ไม่มาร่วมงานเลี้ยง ย่อมมีใจคิดการไม่ซื่อ!”
หวังทงตอบอย่างไม่ลังเล
***************
วันที่ 11 เดือนหนึ่งเริ่มแจกเทียบเชิญออกไป หนิงเซี่ยเป็นเมืองชายแดน มาตรฐานที่หวังทงว่ามาเชิญแขกก็ควรจะไม่น้อย แต่ความจริงนั้นกลับไม่มาก
เมืองหนิงเซี่ยกับเมืองกานซู่ตะวันตกเฉียงเหนือกับเมืองชายแดนทางตะวันออกไม่เหมือนกัน ทางนั้นเป็นมณฑลทหารชายแดน ยังมีพื้นที่ปกครองชาวบ้าน เช่นที่ต้าถง มีพื้นที่ปกครองและพื้นที่ทหารผสมกัน แต่เมืองหนิงเซี่ยทางนี้เป็นมณฑลทหารจริงๆ แต่ละที่ล้วนเป็นป้อมกับกองพันทหาร
ป้อมกับกองพันเหล่านี้มีประโยชน์ในการรวมกำลังใหญ่ก็มีราวสองสามแห่งเท่านั้น ขุนพลทหารมักเป็นตระกูลเผ่าใหญ่ในพื้นที่
สำหรับพวกที่ได้รับเทียบเชิญแล้วไม่มา เป็นสิ่งที่หวังทงกังวลมากไป ไม่ใช่ว่าได้รับเทียบแล้วไม่มา แต่พวกที่ไม่ได้รับเทียบต่างหากที่ว้าวุ่นใจ เกรงว่าตนเองจะกลายเป็นเป้าสังหารหวังทง
เรื่องอื่นไม่พูดถึง เพราะแค่ระดับตระกูลปัวทรงอิทธิพลอำนาจเช่นนั้น ไม่กี่วันก็ล้ม แอ่งน้ำฮัวหม่ามีทหารมากมายเพียงนั้น ในหนิงเซี่ยมีทหารเท่าไร หวังทงคุยเล่นไม่กี่คำก็นำทหารกองทัพใหญ่มา ผู้ใดจะกล้าก่อการ ผู้ใดจะไม่แตกตื่น ไม่ได้รับเทียบเชิญ ยังคิดว่าตนเองจะเป็นเป้าหมายจัดการต่อไป
หากเป็นเมื่อก่อน บีบหนักเข้า อย่างมากก็นำคนออกทุ่งหญ้า แต่ดูคนที่หวังทงนำมาจากเมืองกุยฮว่าเฉิง ออกไปลำบากบนทุ่งหญ้าไม่ว่า กลุ่มพ่อค้าเมืองกุยฮว่าเฉิงจะปล่อยไว้หรือ ท่ามกลางความว้าวุ่นใจ ก็ได้แต่ฝากคนนำของขวัญมายังเมืองหนิงเซี่ยเพื่อแสดงตน เชื่อมสายสัมพันธ์หาลู่ทาง
แน่นอน คนพวกนี้สุดท้ายล้วนได้รับข่าวที่ทำให้ยิ้มไม่ออก ร้องไห้ก็ไม่ได้ ไม่แจกเทียบเพราะว่าพวกเจ้าไม่ทำอะไรผิด จึงไม่มีคุณสมบัติ
พอหายตกใจ ก็รู้สึกไม่ถูกต้องนัก ในเมื่อสถานะไม่พอเข้าร่วม ก็แสดงว่างานเลี้ยงย่อมมีเรื่องสำคัญอันใด หากได้ร่วมฟังย่อมเป็นเรื่องดี เดิมของขวัญที่นำมามอบเพื่อขอร้องจึงใช้เพื่อการนี้ ขอให้ได้เข้าร่วม แย่งกันเข้าร่วมงานเลี้ยงนี้
ทางหวังทงเองก็ไม่ได้เคร่งครัด ในความจริง สามารถรู้ตัวและส่งคนรีบมาส่งมอบของขวัญได้ก็นับว่าเป็นพวกมีอิทธิพลไม่น้อยแล้ว คนเหล่านี้ว่าไปก็ตรงตามเกณฑ์ ปรากฏว่าหลิวจี๋หลินอย่างไรก็ต้องเพิ่มโต๊ะอีกหลายตัว หลายสิบที่นั่ง
สมบัติตระกูลปัวในเมืองนอกเมืองมีไม่น้อยจริงๆ ร้านค้า 20 กว่า โรงบ้านนอกเมืองก็เป็นพื้นที่ที่ดีที่สุด การลาออกจากตำแหน่งขายทอดกิจการนี้ พ่อค้าใหญ่ในเมืองนอกเมืองก็ล้วนรุมแย่งกัน ล้วนอยากได้ประโยชน์ตรงนี้กันทุกคน พวกทรงอิทธิพลเหล่านี้ หวังทงเองย่อมยอมเสียเปรียบ ให้ฉีอู่กับซาตงหนิงไปจัดการขาย
ผู้บัญชาการและผู้ว่าการมณฑลกับขันทีคุมกำลังล้วนได้แบ่งที่ดีที่สุดไปส่วนหนึ่ง คนที่เหลือล้วนได้ราคาต่ำกว่าท้องตลาดสองส่วน แต่ทุกคนก็ว่าได้กำไร
ตระกูลปัวขายกิจการครั้งนี้ไม่ได้ขาดทุนมาก เป็นเรื่องยินดีเหนือคาด เป็นขุนนางแผ่นดินหมิงมานาน ตระกูลปัวก็ย่อมรู้ว่าควรทำเช่นไร จึงส่งเงิน 15,000 ตำลึงเงินกับสัญญาที่ดินที่ดีที่สุดหลายแห่งไปให้หวังทง
ของพวกนี้หวังทงไม่เห็นในสายตา แต่ทว่าสถานการณ์ตอนนี้ ไม่รับไว้ก็ไม่ได้ ตระกูลปัวอาจจะหวาดกลัวแทน หวังทงได้แต่รับไว้
15,000 ตำลึงเงิน หวังทงมอบให้หลิวจี๋หลินไว้ 6,000 ตำลึงเงิน ไว้ใช้ในเหตุการณ์เร่งด่วนวันหน้าและเป็นรางวัลให้กับคนมีความชอบ กิจการหลายแหล่งก็ให้เป็นกิจการขององครักษ์เสื้อแพรท้องที่ มีเงินเข้ามากหน่อยอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย
ที่เหลืออีก 9,000 ตำลึงเงิน ก็ให้ขันทีคุมกำลัง ผู้ว่าการมณฑล กับผู้บัญชาการ สามคนไปแบ่งกัน นับว่าเป็นการปลอบใจ พวกเขาสามคนไม่โลภมาก เตรียมจะร่วมกับหวังทงจัดการสมบัติตระกูลปัวทั้งหมดอยู่แล้ว หวังทงเอาก้อนใหญ่ไป พวกเขาแบ่งที่เหลือ แม้เป็นเช่นนี้ ก็ได้มากกว่าที่ได้รับตอนนี้มากนัก หวังทงแน่นอนไม่คิดให้พวกเขาสมหวัง ปล่อยที่นี่วุ่นวายเพียงนี้ พวกเขากลัวหัวหด เรื่องราวแก้ไขได้ก็มาขอแบ่ง ใต้หล้าไหนเลยมีเรื่องดีเช่นนี้
แต่ทว่าในเวลาสั้นๆ นี้ยังต้องการใช้งานคนพวกนี้ ดังนั้นอย่างไรก็ต้องให้อะไรปลอบใจบ้าง
***************
ปัวอวิ๋นแห่งกองกำลังหลังหนิงเซี่ยที่บ่อเกลือได้รับข่าวแล้วก็รู้ความ รีบส่งมอบอำนาจทหาร และเตือนคนตรงนั้นให้อยู่อย่างสงบ
จากนั้นก็นำทหารสังกัดตระกูลปัวมามอบให้หัวหน้ากลุ่มพ่อค้าติดอาวุธ ตนเองม้าเร็วกลับเมืองหนิงเซี่ย ยามนี้สถานการณ์ไม่ใช่ว่ายอมหรือไม่ยอม แต่เป็นความเป็นหรือความตาย กำลังตนเองหากไม่ยอม เกรงว่าคนถูกทำลายราบคาบ จากนั้นครอบครัวในเมืองหนิงเซี่ยก็จะพลอยลำบากไปด้วย
ปัวอวิ๋นเข้าใจสถานการณ์บนทุ่งหญ้า เขารู้ว่ากลุ่มพ่อค้าเมืองกุยฮว่าเฉิงติดอาวุธเป็นกองกำลังเช่นไร นั่นเป็นระดับทหารม้าได้รับการฝึกฝน
หลังปัวอวิ๋นส่งมอบอำนาจทหารไป คนที่กังวลสถานการณ์เมืองหนิงเซี่ยที่สุดก็รู้แล้วว่าตอนนี้สถานการณ์ยุติแล้ว ตอนนี้ต้องดูว่า งานเลี้ยงติ้งเป่ยโหวจะทำอะไร
วันที่ 18 เดือนหนึ่ง หน้าประตูสำนักกองพันองครักษ์เสื้อแพรก็คึกคักเป็นพิเศษ จัดโต๊ะเลี้ยงกลางที่ทำการ ดีที่ที่กว้างพอ
คนมีหน้ามีตาทยอยกันมา คนไม่มีคุณสมบัติจะมาก็ส่งคนของตนมาจับตาดู หวังว่าสามารถได้ข่าวกลับไปทันการณ์
ผู้คุ้มร้านสามธารารักษาการณ์อยู่ด้านนอก แม้ว่าพวกเขาสิบคนมีคนหนึ่งสวมเกราะเหล็ก แต่ที่เหลือก็ล้วนเป็นเกราะหนัง ยืนประจำการอย่างเข้มงวดน่าเกรงขาม ไม่ใช่ทหารชายแดนหนิงเซี่ยจะสู้ได้ คนชั้นสูงในเมืองนอกเมืองไม่ว่าอยู่ที่ใดก็พากันมาที่นี่อย่างไม่รอช้า ต่อหน้ากองกำลังเหล่านี้ ย่อมไม่กล้าวางอำนาจ
พอเข้าไปด้านใน ก็จะเห็นทหารหวังทงเดินตระเวน ล้วนอยู่ในชุดเกราะเหล็กน่าเกรงขามยิ่ง แม้แต่ขุนพลทหารด้วยกันยังต้องระวังตัว
นี่เป็นงานเลี้ยงระดับผู้มีหน้ามีตาในเมืองหนิงเซี่ย เริ่มแรกก็เริ่มจิตใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ทุกคนล้วนทักทายกัน ปรับทุกข์ถามไถ่กัน สายสัมพันธ์ใกล้ตระกูลปัวก็เงียบหน่อย สายสัมพันธ์ห่างตระกูลปัวสายสัมพันธ์ หรือใกล้กับผู้บัญชาการหรือผู้ว่าการมณฑล ก็จะอดเสียงดังหน่อยไม่ได้
แน่นอน ทุกคนคิดจะเชื่อมสายสัมพันธ์กับองครักษ์เสื้อแพร ใต้เท้าหวังมาแล้วก็ไป แต่วันหน้าองครักษ์เสื้อแพรประจำในพื้นที่นายท่านผู้นี้ย่อมต้องดูแลให้ดีๆ
“ใต้เท้าหวังมา~~~”
บรรยากาศเริ่มครึกครื้น มีคนส่งเสียงรายงานดัง ความครึกครื้นก็เงียบลง ผู้ว่าการมณฑลกับผู้บัญชาการและขันทีคุมกำลังที่นั่งอยู่ตรงกลางก็สบตากัน พากันยืนขึ้น ต่อหวังทงผู้ทรงอิทธิพล พวกเขาไม่มีบารมีพอ ทุกคนล้วนต้องยืนนอบน้อม
หวังทงสวมชุดขุนนางเดินออกมา รับคำนับจากทุกคนแล้ว ทุกคนนั่งลง พอนั่งลงไม่นาน หวังทงก็ยกจอกสุรายืนขึ้น ทุกคนย่อมไม่กล้านั่งต่อ พากันยืนตาม
“เดิมทีต้องช้ากว่านี้ แต่เห็นทุกท่านหวาดระแวง ก็ขอพูดก่อนละกัน ครั้งนี้เชิญทุกท่านมา ก็เพื่อให้ทุกคนมีโอกาสได้ร่ำรวย!”