องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 961 กราบทูลหน้าพระพักตร์
ตั้งแต่หวังลี่จากไป หวังทงก็ไม่ค่อยมีภาพครอบครัวในความคิด จวนเขาแต่ไรมาก็ดูแลแบบที่ทำการทางการ ห้องนอน และที่อื่นๆ ก็ล้วนเป็นที่คุยงาน
แม้ว่ามีหานเสียกับภรรยารวมสามคน ภายหลังรับหลูรั่วเหมยและไจ๋ซิ่วเอ๋อร์มา แต่ก็ยังเหมือนเดิม ทุกวันยุ่งแต่กับงาน แม้ยามอยู่ในห้องกับภรรยา เรื่องที่สนทนาก็ยังคงมีเรื่องครอบครัวสายสัมพันธ์ไม่มาก
แต่ทว่าครั้งนี้กลับมากลับไม่เหมือนเดิม หวังทงมักคิดถึงบุตรชายหวังเซี่ยตลอดทาง พอกลับถึงบ้านก็อดใจไม่ได้ต้องรีบไปดู
อย่างไรก็ใกล้จะสี่เดือนแล้ว เห็นทารกที่เดิมเนื้อหนังย่นๆ ตอนนี้กลับอ้วนท้วนน่ารักมาก หวังทงรีบเข้าไปจะอุ้ม แต่หวังทงอยู่แต่นอกบ้าน เด็กน้อยไม่มีความทรงจำภาพเขาแม้แต่น้อย พอเห็นหวังทงตรงมาอุ้มก็ตกใจหดตัวเข้าสู้อ้อมอกหานเสีย ส่งเสียงแผดร้องไห้จ้า
สถานการณ์ดูเก้กัง แต่หวังทงยังคงมีท่าทางดีใจ ทั้งครอบครัวมีบรรยากาศแห่งความสุข การได้เป็นพ่อแม่คนนั้นเป็นช่วงหนึ่งของชีวิต รู้สึกทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด
เดิมหานเสียที่เอาแต่บ่นตัดพ้อกับหวังทง ตอนนี้ก็ยังคงพร่ำบ่นแต่น้ำเสียงนิ่งสงบลงมาก
“ลูกเซี่ยยังเล็ก ท่านพี่ไปเสี่ยงภัยนอกเมืองมา น้องอยู่บ้านก็เป็นห่วงมาก กลัวว่านายท่านอยู่ข้างนอกจะ…ลูกเซี่ยกับน้องจะ…”
พูดไป ๆ ก็เหมือนมีก้อนจุกที่ลำคอ ปาดน้ำตากล่าวอันใดไม่ออก หญิงรอบๆ ก็ล้วนตาแดงก่ำ หวังทงมองไปรอบๆ ในใจบอกไม่ถูก ได้แต่ยิ้มปลอบใจว่า
“สามีเจ้ามีดวงอำนาจวาสนา จะเกิดเหตุอันใดข้างนอกได้เล่า วางใจเถอะ ๆ เจ้าดูสิ ลูกร้องใหญ่แล้ว รีบส่งมาให้ข้าอุ้มเร็ว”
หวังเซี่ยถูกส่งให้หวังทงอุ้ม แต่ตอนนี้ต่างกับเมื่อครู่ หากดิ้นรนพักหนึ่ง ก็ส่งเสียงแผดร้องอีก หวังทงตัดใจไม่ลง แต่ก็ไม่รู้จะทำเช่นไร ท่าทางเก้กัง ทำเอาบรรดาภรรยาต่างอมยิ้ม จางหงอิงข้างๆ กล่าวว่า
“เด็กคนนี้แรงดีมาก เด็กคนอื่นร้องสักพักก็จะหลับ แต่เขาร้องเสียงดังก้อง ไม่เหนื่อย แม้ไม่ร้องก็เอาแต่เคลื่อนไหวไปมาไม่หยุด วันหน้าต้องเหมือนนายท่านแน่ ๆ มีดวงชะตาเป็นขุนพลใหญ่!”
บิดาและบุตรชายต่ออำนาจวาสนา วาจานี้เป็นมงคล บรรยากาศในห้องเริ่มดีขึ้นอีกครั้ง หวังทงส่งลูกให้หานเสีย ยิ้ม กล่าวว่า
“วันหน้าคงไม่ต้องออกไปไหนไกลๆ อีกแล้ว ราชสำนักขุนนางมากมาย อย่างไรก็คงไม่ต้องให้ข้ายุ่งอยู่ผู้เดียว”
….
หวังทงพักผ่อนอยู่บ้านได้ห้าวัน วงการขุนนางเมืองหลวงล้วนทอดถอนใจ หากเป็นคนอื่นจากเมืองหลวงไปนานเพียงนี้ กลับมาจะกล้าพักได้อย่างไร อย่างไรก็ต้องรีบไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ให้ทรงเห็นหน้า จากไปนานเกินไป ความเหินห่างนับเป็นอันตรายยิ่ง หากติ้งเป่ยโหวท่านนี้กลับกล้าพักอยู่บ้านสาตั้งห้าวัน
คนนอกไม่กล้าสงสัยว่าเกิดเหตุใด แต่เป็นเพราะใต้เท้าหวังต้องการพักผ่อน ก็แค่นี้เท่านั้น ความจริงนั้นวันที่สาม หยางซือเฉินก็มาขอพบ
หวังทงเล่าเรื่องที่ได้ยินได้เห็นมาตลอดทางให้ฟัง กอปรกับการวิเคราะห์ของตน ให้หยางซือเฉินจัดระเบียบ เป็นฎีกาตั้งหนา วันที่ห้าก็ส่งเข้าวัง
แต่ทว่าฎีกานี้ไม่ได้ไปตามขั้นตอนกรมฎีกา หากเป็นฎีกาลับส่งถึงมือจางเฉิง ให้เขานำเข้ากราบทูลฮ่องเต้ว่านลี่
วันที่ 11 เดือนสามหลังประชุมขุนนาง หวังทงถูกรั้งตัวไว้เข้าเฝ้า ขุนนางคณะเสนาบดีใหญ่และหกกรมกองได้แต่สบตากันส่ายหน้า สถานการณ์ตอนนี้ หวังทงครองอำนาจคนเดียวแล้ว!
“ฝ่าบาท กระหม่อมจากต้าถงไปทางตะวันตก ตลอดทางเห็นทหารชายแดน ไม่เป็นพวกราวกับขอทาน ก็เหมือนโจร กองกำลังที่พอดูได้ก็มีแค่ทหารในสังกัดส่วนตัวขุนพลทหารเท่านั้น แต่ทหารเหล่านี้แท้จริงเป็นทหารพวกเขาหรือเป็นทหารราชสำนัก เกรงว่าคงกล่าวได้ยาก”
ก็ใช่ว่ากล่าวได้ยาก เพราะทหารส่วนตัวนั้นย่อมฟังนายตน ไม่ฟังราชสำนัก นี่เป็นการรับรู้ของคนส่วนใหญ่ไปเสียแล้ว ฮ่องเต้ว่านลี่พลิกอ่านฎีกาหวังทง ฎีกาหวังทงมีลักษณะเด่น วิพากษ์วิจารณ์กับเรื่องจริงล้วนครบ และยังมีบรรยายถึงสภาพชีวิตความเป็นอยู่ชาวบ้านอีกด้วย
หยางซือเฉินจัดระเบียบแล้วมักจะตกหล่นข้อมูลพวกนี้ แต่หวังทงก็แก้ไขกลับคืนมาหลายครั้ง หยางซือเฉินยังคงไม่เข้าใจว่าเหตุใด รูปแบบฎีกามองอย่างไรก็เหมือนบันทึกท่องเที่ยว แต่ฎีกาเช่นนี้กลับเป็นที่พอพระทัยของฮ่องเต้ว่านลี่มาก อย่างไรก็ทรงอยู่แต่ในวัง การอ่านฎีกาจะทำให้ทรงเห็นและเข้าใจสภาพความเป็นอยู่นอกวัง
“จางปั้นปั้น ป้ายประจำตัวตรวจสอบแล้วหรือยัง?”
ฮ่องเต้ว่านลี่เงยพระพักตร์ตรัสถามขึ้น จางเฉิงอึ้งไปก่อนได้สติ รีบทูลตอบว่า
“ฝ่าบาท สำนักบูรพาล้วนดูแล้ว เหมือนกับหวังทงรายงานพะยะค่ะ”
“ตายไปหลายร้อยคน เมืองชายแดนย่อมต้องรายงาน กรมทหารมีข่าวมาบ้างไหม?”
ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสถามขึ้นอีกครั้ง จางเฉิงอึ้งไป รีบทูลว่า
“ฝ่าบาท ขอทรงอภัย เป็นกระหม่อมไม่รอบคอบ กระหม่อมจะส่งคนไปตรวจสอบ”
หวังทงยืนก้มหน้านิ่ง รอจางเฉิงออกไป เจ้าจินเลี่ยงปิดประตูห้องทรงอักษร ฮ่องเต้ว่านลี่จึงทรงส่ายหน้าถอนพระปัสสาสะ ตรัสว่า
“จางปั้นปั้นแก่แล้ว กำลังวังชาเหมือนจะถดถอย ตามไม่ทันแล้ว ช่าง…”
ฮ่องเต้ว่านลี่ทอดถอนพระทัย กลับไม่ตรัสต่อ ได้แต่แต่ตรัสเรื่องอื่นไปว่า
“เจ้าทำงานเราวางใจ เจ้าว่าเรื่องพวกนี้ฟังแล้วเหลวไหล แต่คิดแล้วไม่เท็จ เมืองชายแดนหากเป็นเช่นนี้จริง ราชสำนักไยต้องส่งเงินหลายหมื่นตำลึงเลี้ยงดูพวกเขาทุกปีด้วยกัน”
“ฝ่าบาททรงพระปรีชา ตอนนี้เมืองทางตะวันตกเฉียงเหนือแต่ละเมืองไม่มีการต่อสู้ใดแล้ว หากยังปล่อยปละต่อไป ผู้รับเคราะห์ก็คือเหล่าราษฎร ไม่เพียงแค่ต้องรับผิดชอบเสบียงพวกเขา ยังต้องถูกทหารรังแก หากยังปล่อยต่อไป ช้าเร็วย่อมเป็นภัย”
ฮ่องเต้ว่านลี่พยักพระพักตร์ วาจานี้กล่าวแล้วย่อมไม่ทำให้รู้สึกดี ฮ่องเต้ว่านลี่ปิดฎีกาลง พิงที่ประทับถอนพระปัสสาสะยาว ตรัสจริงจังว่า
“วันๆ ไม่ได้พักได้ผ่อน เสร็จทางนี้ ก็มีเรื่องทางนั้น ไม่ได้สงบสักที หากวุ่นวายเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เราเริ่มคิดถึงเสด็จปู่แล้ หาที่พักผ่อนสักหน่อย ให้คนที่เราไว้ใจเช่นพวกเจ้าทำงานกันไปเอง ก็จะได้พักผ่อนสบายใจ…”
ตรัสถึงตรงนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ไม่ตรัสต่อ หากโบกพระหัตถ์ตรัสว่า
“เมืองชายแดนหลายปีมานี้ ธรรมเนียมชั่วร้าย นอกจากขุนพลและทหารชายแดน ไม่รู้ชาวประชาใต้หล้าเท่าไรที่ต้องเดือดร้อนไปด้วย หากแตะต้องเข้า ดีไม่ดีอาจเกิดเรื่องวุ่นวายครั้งใหญ่ เจ้าว่าอย่างไร?”
หวังทงเตรียมคำตอบไว้ก่อนแล้ว แต่สิ่งที่ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสเมื่อครู่ทำเอาหวังทงลังเล ฮ่องเต้ว่านลี่รู้สึกทรงเหนื่อยล้ากับการบริหารแผ่นดินแล้ว ฮ่องเต้ว่านลี่เดิมก็ไม่ได้ทรงมีความรับผิดชอบมากสักเท่าไร แต่ก็ทรงอดทนกับความวุ่นวายซับซ้อนทางการเมืองได้อยู่ ทรงใส่ใจเรื่องการบริหารแผ่นดิน ทรงชอบที่จะจัดการ
แต่ตอนนี้กลับไม่เหมือนเดิม เมื่อก่อนฮ่องเต้คิดใช้เงินมักต้องส่งขันทีในวังออกนอกวังไปขูดรีดมา ไปเก็บภาษีมาเพิ่ม ทำเอาประชาเดือด จากนั้นก็ทำเอาขุนนางราชสำนักวุ่นวายไม่เลิก แต่ตอนนี้พอมีเงินก้อนจินฮวาจากเทียนจินให้ใช้ มีรายได้ก้อนโตจากโรงบ้านเมืองกุยฮว่าเฉิง ในวังใช้จ่ายกันสบาย ของเล่นใหม่ๆ ก็มาก เทียนจินตอนนี้นับเป็นเมืองท่าทางการใหญ่อันดับหนึ่งของแผ่นดินหมิง หลายประเทศล้วนแล่นเรือมาที่นี่ สินค้าจากทะเลตะวันออกเฉียงใต้แปลกใหม่ก็ล้วนมีมาก สามารถฟุ่มเฟือยไร้ขีดจำกัด เสวยสุขสุดขีด หากทำให้คนกลับเบื่อกับงานบริหาร ก็ไม่อาจตำหนิที่จะทรงเบื่อหน่าย
เรื่องแผ่นดินหมิงมีมากมายไม่หยุด เช่นชัยชนะใหญ่เมืองกุยฮว่าเฉิง ชัยชนะใหญ่กู่เป่ยโข่ว ทุกเรื่องล้วนต้องส่งคนไปจัดการหลังชัยชนะ การจัดการการปกครอง เป็นเรื่องซับซ้อนวุ่นวาย และยังมีเรื่องไม่ได้หยุดไม่ได้หย่อน อิทธิพลอำนาจก็ต้องสมดุลจนปวดหัวไปหมด
“ฝ่าบาท เมืองชายแดนแต่ละแห่ง ขุนพลทหารล้วนหักเบี้ยหวัดทหาร จากนั้นให้ทหารไปทำไร่ทำนาให้ตนเอง แสวงหากำไรให้ตนเอง แต่ละคนล้วนเป็นเจ้าของที่ผืนใหญ่ หากเกิดเหตุเบื้องหน้า พวกเขาก็สามารถใช้ทหารในสังกัดตนไปจัดการได้ ฝ่าบาท เช่นนี้ต่างอันใดกับเจ้าของที่ในแผ่นดิน เจ้าของที่ให้คนงานตนไปใช้แรงงาน หากเกิดเหตุ พวกเขาก็ใช้คนงานตนไปจัดการได้ เจ้าของที่พวกนี้เคยร้องขอเสบียงเบี้ยหวัดจากราชสำนักหรือไม่ เมืองชายแดนทหารมากมาย เกรงว่ามีชีวิตไม่สู้คนงานในแผ่นดินส่วนในเรา….”
วาจาหวังทงลดเลี้ยวไปมา ฮ่องเต้ว่านลี่วางพระหัตถ์อยู่บนโต๊ะ โน้มพระวรกายไปด้านหน้า เผยสีพระพักตร์เบื่อหน่าย หวังทงกล่าวต่อว่า
“หากจะลดกำลัง ขุนพลทหารไร้อำนาจ ย่อมเกิดจลาจลใหญ่ แต่หากไม่ลดกำลัง ยอมให้ทหารพวกเขาเป็นทหารส่วนตัวกันไป ยอมให้พื้นที่โรงบ้านเมืองชายแดนเป็นกิจการส่วนตัวพวกเขาไป ราชสำนักไม่ให้เบี้ยหวัดทหารเมืองชายแดนอีก ให้เมืองชายแดนเปลี่ยนเป็นเขตปริมณฑล ปกครองแบบมณฑลทหาร ให้เปลี่ยนเป็นแบบปกติ เช่นนี้เป็นอย่างไรพะยะค่ะ?”
ฮ่องเต้ว่านลี่เงียบไปครู่หนึ่ง ให้บรรดาขุนพลชายแดนมีที่ทางทำกินผืนใหญ่ ขุนพลชายแดนอาจจะไม่โกรธแค้นมาก ชายแดนอย่างไรก็ลำบาก หากไม่ต้องออกไปรบ ได้เพาะปลูกสบายๆ พวกเขาน่าจะยินดี
“แต่ชายแดนหมื่นลี้ผู้ใดจะมาปกป้อง อย่างไรก็ไม่อาจไม่ดูแลกระมัง!?“
”ฝ่าบาท เมืองกุยฮว่าเฉิงตีมาได้ ต้าถง ไท่หยวน เหยียนสุย เซวียนฝู่ สี่เมืองชายแดนล้วนไร้กังวล เพราะเหตุใด?เพราะเมืองกุยฮว่าเฉิงเป็นพื้นที่สำคัญ ไม่ผ่านที่นี่ ทัพใหญ่พวกนอกด่านไม่อาจเข้าสู่แผ่นดินหมิง ป้องกันที่นี่ไว้ สี่ทิศโจมตี บนทุ่งหญ้าถึงกับไร้ทหารกองกำลังใหญ่ แต่หากที่นี่ยังไม่พอ ในพื้นที่สำคัญมีทหารรักษาการณ์อยู่ ใช้ปืนและรถใหญ่เป็นหลัก ใช้กำลังชนเผ่ารอบนอกเมือง ทหารม้ากับกลุ่มพ่อค้าติดอาวุธประสานกำลังกัน สามารถป้องกันชายแดนไร้กังวลพะยะค่ะ”
ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงประทับยืนขึ้น เดินไปยังหน้าแผนที่ที่แขวนอยู่ตรงกำแพง ทอดพระเนตรไปก็ตรัสถามขึ้น
“ตามที่ได้เรียนรู้มาจากลานฝึก ที่เรียกว่าพื้นที่สำคัญล้วนอยู่นอกกำแพงเมือง ก็ที่พวกนี่ไม่กี่แห่ง แต่ชายแดนหมื่นลี้ แค่สามถึงห้าแห่งนี่ จะป้องกันได้อย่างไร”
“ฝ่าบาท วันๆ หลบแต่หลังกำแพง จะไปป้องกันรักษาได้อย่างไรพะยะค่ะ ได้แต่รอพวกนอกด่านมาตีเอา นอกกำแพงเมือง ย่อมเป็นพวกเราไปตีพวกเขา ให้พวกนอกด่านวันๆ คิดแต่จะหลบอย่างไร จะป้องกันอย่างไร ไหนเลยจะมีพวกใจกล้าคิดมาโจมตีเรา แน่นอนเราจะค่อยๆ สังหารทิ้ง แน่นอนย่อมสงบสุขยาวนานพะยะค่ะ”
ฮ่องเต้ว่านลี่ค่อยๆ พยักพระพักตร์ ใช้จ่ายเบี้ยหวัดและเสบียงเพื่อการทหาร และยังสามารถได้ผลลัพธ์ที่ดีเช่นนี้ แน่นอนเป็นการจัดการที่ดี แต่ทว่าที่หวังทงว่ามาก็แค่แผนการ รายละเอียดกับการลงมือทำยังต้องหารือกันต่อไป นี่เป็นแค่เริ่มต้น แต่วันนี้แค่นี้ก่อน รายละเอียดยังต้องไว้รอหารือกันต่อไป
หารือกันถึงตรงนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่เคาะโต๊ะตรัสว่า
“หวังทง เจ้าไม่อยู่เมืองหลวงนาน รู้ไหมว่าปีก่อนภาษีเก็บได้น้อยกว่าปีก่อนหน้าสามเท่า?”