องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 962 วันเวลาช่างแล้งน้ำใจ
ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 14 ภาษีน้อยลงกว่าปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 13 สามส่วน ท้องพระคลังแผ่นดินหมิงเก็บได้น้อยลงสามส่วน หวังทงได้ยินแต่ไม่ได้สนใจอันใด
เพราะไม่มีอันใดให้ต้องสนใจจริงๆ จางจวีเจิ้งใช้เหตุปลดตำแหน่งและตัดคอมาข่มขู่ขุนนางให้ปฏิบัติหน้าที่ และยังจัดการตรวจนับที่นาทั่วหล้า ทำให้ขุนนางท้องถิ่นไม่กล้าแอบขี้เกียจปิดบัง ตระกูลใหญ่ในพื้นที่ไม่กล้าฮุบครองที่นาไว้
พอจางจวีเจิ้งจากไป หากจางซื่อเหวยดำเนินนโยบายต่อ ด้วยชื่อเสียงจางซื่อเหวยก็ย่อมทำต่อไปได้ แต่ทว่าจางซื่อเหวยเห็นได้ชัดว่าไม่คิดเหมือนจางจวีเจิ้ง หากต้องการดึงพวกขุนนางกับคหบดีเป็นพวก จึงผ่อนคลายนโยบายเดิม พอเซินสือหังขึ้นมาแทน เซินสือหังเป็นสุภาพชน ย่อมไม่อยากไปจัดการเรื่องพวกนี้
ส่วนกลางไม่ขยับ ท้องที่ก็ย่อมปล่อยให้ทุกอย่างกลับเป็นเช่นเดิม ราษฎรและคหบดีใหญ่ท้องที่ก็ย่อมฉวยโอกาส ปิดบังที่นาผืนใหญ่ไว้ แน่นอนภาษีก็ย่อมเก็บได้นับวันยิ่งน้อยลง
ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 14 เป็นปีแห่งกระแสเดิมกลับคืนครั้งสำคัญ ทุกคนในปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 12-13 ล้วนระวังตัวกันมาก พอถึงปีที่ 14 ก็เริ่มกางแขนกางขากอบโกยกันต่อ
หวังทงพอรู้อยู่ว่าปีนี้เก็บได้น้อยกว่าปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 14 อีก สถานการณ์นี้จะยังคงดำเนินต่อไป ไปถึงจนกว่าจะมีวิธีการจัดการอีกรอบ
แต่ทว่าฮ่องเต้ว่านลี่เรียกหวังทงเข้าเฝ้าวันนี้ หนึ่งก็คุยเรื่องเมืองชายแดน อีกหนึ่งก็คุยเรื่องเก็บภาษีได้น้อยลง กลัวว่าจุดประสงค์หลังจะมากกว่าอยู่สักหน่อย
“ฝ่าบาท คนตอนนี้ยึดครองที่ดิน ขุนนางโกงกิน กำลังกลับไปเป็นเหมือนช่วงก่อนใช้นโยบายเก็บภาษีที่ดินและแรงงาน ยากจะเลี่ยงได้”
ในเมื่อพูดแล้ว หวังทงก็ย่อมกล่าวตรงไปตรงมา ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงฟังแล้วก็พลิกฎีกาตรงหน้าไปหลายหน้า ก่อนจะปิดลง พิงที่ประทับถอนหายใจตรัสว่า
“มีคนเช่นจางจวีเจิ้งจับตา คนพวกนี้ได้แต่สงบเสงี่ยมกันไป แต่เราจะหาคนเช่นนี้ได้ที่ใดกัน หวังทง เจ้ามีวิธีหรือไม่?”
“ผู้มีตำแหน่งขุนนางบัณฑิตไม่ให้งดภาษีดีไหมพะยะค่ะ?”
ได้ยินหวังทงตอบตรงไปตรงมา ฮ่องเต้ว่านลี่อึ้งไป ก่อนทรงยิ้มออกมา โบกพระหัตถ์ตรัสว่า
“ธรรมเนียมบรรพชนล้วนแก้ไขได้ มีเพียงประเด็นนี้ไม่อาจแก้ไขได้ แผ่นดินหมิงเราตั้งแต่เชื้อพระวงศ์ไปจนขุนนาง บัณฑิตจวี่เหรินหรือซิ่วไฉ ล้วนอาศัยเรื่องนี้หากิน? เอาวิธีอื่น มีอีกไหม?”
หวังทงเงียบไปครู่หนึ่ง ยิ้มทูลถามขึ้น
“ฝ่าบาท กระหม่อมขอถาม ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 14 ภาษีเกลือเก็บมาได้ทั้งหมดเท่าไร?”
ภาษีเกลือแต่ไรมาเป็นภาษีก้อนโตของแผ่นดินหมิง หลักๆ มาจากสองแม่น้ำ ทุกปีเก็บได้เท่าไร ตัวเลขนี้ฮ่องเต้ย่อมจำแม่น
“น่าจะสองล้านสี่แสนตำลึง”
“ฝ่าบาท ภาษีเกลือในปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 9 มีสี่ล้านหกแสนตำลึง เหตุใดปีนี้จึงลดไปมากเพียงนี้พะยะค่ะ?”
“ทางไห่โจวบอกว่าน้ำทะเลหนุน ทำให้นาเกลือเสียหาย ปีนี้ฟางต้มเกลือก็น้อย ไม่พอใช้อีก”
ฮ่องเต้ว่านลี่แม้ว่าทรงเหนื่อยกับการแผ่นดิน แต่เรื่องละเอียดพวกนี้ก็จำได้แม่นยำ หวังทงส่ายหน้ายิ้มถวายคำนับทูลว่า
“ฝ่าบาท เรื่องพวกนี้ก็แค่วาจาอ้างเหตุ ก็แค่ทางนั้นหาเหตุกอบโกยมากกว่า ฝ่าบาทส่งผู้แทนพระองค์ไปตรวจก็ย่อมได้ ย่อมสามารถส่งมอบมาได้มากขึ้น”
“บัดซบจริง ราชสำนักให้พวกเขาได้ร่ำรวย พวกเขากลับหลอกลวงเราเช่นนี้ เจ้าหมายความว่าให้ส่งผู้ตรวจการเกลือไป?”
วาจาหวังทงมิใช่เปิดโปง เพียงแค่แนะนิดหน่อย ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ทรงเข้าพระทัยทันที วิจารณ์อย่างอดไม่ได้สองสามคำ แม้แต่วาจาด่าก็ไม่ได้หนักหนานัก ผู้ตรวจการเกลือก็เป็นผู้แทนพระองค์ สำนักตรวจสอบส่งขุนนางไปตรวจสอบเรื่องเกลือ ตามธรรมเนียมปฏิบัติแผ่นดินหมิง ส่งผู้ตรวจการเกลือไปเช่นนี้ ขุนนางท้องที่ย่อมรู้ว่าราชสำนักต้องการเงิน ทุกคนอย่างไรก็ย่อมต้องคายออกมาสักก้อน จากนั้นปีที่สองค่อยกลับไปเป็นแบบเดิม
“ฝ่าบาท กระหม่อมขอบังอาจกราบทูล ส่งผู้ตรวจการเกลือไปไม่สู้ส่งขันทีตรวจการเกลือไปจากในวัง ขุนนางบุ๋นหาเงินทอง กงกงก็ต้องหาเงินทองเช่นกัน แต่ให้กงกงได้ไป ก็ย่อมจงรักภักดีรับใช้ฝ่าบาทยิ่งมากขึ้น พวกขุนนางบุ๋นต้องแบ่งให้คนมาก รอมาถึงฝ่าบาท ก็เหลือไม่เท่าไรแล้ว”
ขันทีผู้ตรวจการเกลือ แค่เติมคำว่า ขันที ลงไป ย่อมเป็นขันทีในวังออกปฏิบัติงาน แต่ทว่าหวังทงไม่ได้กล่าวประเด็นหนึ่งให้ชัดเจน ขุนนางบุ๋นเก็บได้เข้าท้องพระคลังแผ่นดิน ขันทีเก็บมาได้ย่อมเข้าพระคลังส่วนพระองค์ กรมอากรดูแลท้องพระคลังแผ่นดิน ใต้หล้าใช้จ่ายโดยกรมอากรจัดสรร พระคลังส่วนพระองค์เป็นของฮ่องเต้และเชื้อพระวงศ์ในวังใช้ ฮ่องเต้ว่านลี่ย่อมทรงเข้าพระทัย แต่ทว่าไม่ทรงตรัสอันใด
ฮ่องเต้ว่านลี่พยักพระพักตร์ เคาะโต๊ะตรัสว่า
“วิธีนี้คงไปได้แค่ปีสองปี ยังต้องหาวิธีให้ยืนยาว หวังทง เรื่องนี้มอบให้เจ้าไปจัดการ”
หวังทงสีหน้ายิ้มเฝื่อนทูลว่า
“ฝ่าบาท หากกระหม่อมจัดการเองพวกนี้ออกไปง่ายๆ ใช่ว่าเป็นเทพเจ้าแห่งเงินทองไปแล้วหรือพะยะค่ะ จะว่าไป เรื่องพวกนี้ควรให้คณะเสนาบดีใหญ่และกรมอากรไปหารือ กระหม่อมเป็น…”
“ผู้มีความสามารถควรปฏิบัติงานให้มากหน่อย เทียนจินกับกุยฮว่าเฉิง เจ้าทำเงินให้เราไม่น้อย ไปคิด ๆ หาวิธีมา พอใช้ได้ก็พอ”
บรรยากาศเริ่มผ่อนคลาย หวังทงถวายคำนับยิ้มรับพระบัญชา เรื่องนี้ถือเป็นราชโองการ แม้ว่าไม่รีบร้อน แต่ก็ต้องกลับไปหาหนทาง พูดกันถึงขั้นนี้แล้ว ก็ไม่มีอันใดกล่าวต่อ ได้แต่ถวายบังคมทูลลา
….
“ไปเชิญโจวกงกงมาที่จวน บอกว่าข้ามีเรื่องขอพบ ต้องมาด้วยตนเอง!”
หวังทงออกจากประตูไป ก็รีบสั่งการคนติดตามมาว่าให้รีบไปจัดการที่สั่ง ไม่ว่าเรื่องเมืองชายแดนหรือภาษี เป็นแค่เรื่องแลกเปลี่ยนข่าวสารทั่วไป หากที่หวังทงเห็นนั้น กลับเป็นเรื่องอื่น และยังเป็นเรื่องสำคัญยิ่งกว่า
‘มาด้วยตนเอง’ วาจานี้นำไปบอกกล่าว โจวอี้แม้ยุ่งเพียงใดก็ต้องรีบออกจากวังมา ตอนนี้เขาเป็นหัวหน้าสำนักอาชาหลวง ทุกคืนต้องอยู่ในวัง หวังทงให้เขาไปตอนนี้ก็บ่ายแล้ว เวลากระชั้นชิดมาก
แต่ทว่าที่อยู่หวังทงมีข้อดีหนึ่ง ก็คือถนนทักษิณไม่ไกลจากวังหลวง การเดินทางไม่เสียเวลามาก โจวอี้มาถึงหอรุ่งเรือง ก็ถูกนำทางเข้าไปยังเรือนรับรองเดี่ยวทันที
“หอรุ่งเรืองบ่ายนี้ไม่ทำการค้าแล้ว พวกเจ้าไปตระเวนรอบหอรุ่งเรืองเฝ้ารักษาการไว้!”
หวังทงออกคำสั่ง ทหารติดตามรีบรับคำสั่ง วาจาก็คือหอรุ่งเรืองใหญ่โต บ่ายนี้มีแค่หวังทงกับโจวอี้สองคน ไม่รู้ว่าจะคุยอะไรกัน
ทหารติดตามระวังรอบคอบผิดปกติ เหมือนว่าออกตรวจตรายามสงคราม ทำเอาโจวอี้เองก็งงเหมือนกัน ไม่รู้จริงๆ ว่าจะคุยอะไร
“พี่โจว ไปขอให้จางกงกงทูลลาจากตำแหน่งเถอะ!”
หวังทงกล่าวอย่างไม่อ้อมค้อม จางกงกงมีมากมาย แต่บริบทนี้ก็มีแต่จางเฉิงกงกงแห่งสำนักส่วนพระองค์และสำนักบูรพาแล้ว พอได้ยิน โจวอี้ที่ยกจอกชาก็มือสั่น น้ำชากระฉอกออกมาไม่น้อย เขาเกือบจะผุดลุกขึ้น แต่ทว่าเพราะอยู่ในสถานะสูงแล้ว ย่อมสงบใจลงได้ รีบเอ่ยถามขึ้น
“น้องหวัง ไยกล่าวเช่นนี้ หากจางกงกงไม่อยู่ในสถานะนี้ พวกเราทำอะไรก็ยุ่งยากมากขึ้น เจ้าก็รู้นี่?”
จางเฉิงเป็นดังเสนาบดีฝ่ายในแผ่นดินหมิง ทั้งวันติดตามรับใช้ข้างพระวรกาย เป็นผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในแผ่นดินหมิงคนหนึ่ง เป็นกลุ่มหวังทง จางเฉิงนับเป็นที่พึ่งใหญ่ของพวกเขา หากไร้จางเฉิง ก็เท่ากับไร้การปกป้องไปไม่น้อย ผลจะเป็นเช่นไร แค่คิดก็ย่อมรู้ได้
“หากยังอยู่สถานะนี้ วันหน้าพวกเราจะยิ่งยุ่งยาก ไม่แค่พวกเรา แม้แต่จางกงกงเองก็ไม่อาจมีจุดจบที่ดีได้”
“น้องหวัง เจ้าอย่าทำให้ข้าตกใจ วันนี้ต่อหน้าพระพักตร์เกิดอะไรขึ้น ถึงกับเป็นเรื่องร้ายแรงเช่นนี้ไปได้”
โจวอี้สีหน้าแปรเปลี่ยน หวังทงส่ายหน้า กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“จางกงกงชราภาพแล้ว ฝ่าบาทเองก็ทรงเห็นว่าชราภาพแล้ว…”
จางเฉิงวันนี้ในห้องทรงอักษรแลดูชราภาพมาก ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่คิดได้ฉับไวอีกแล้ว ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ทรงรู้สึกได้ แต่ทรงเป็นฮ่องเต้ ทุกวันงานราชกินมากมายร้อยพัน ยังต้องดูแลเรื่องส่วนพระองค์ฮ่องเต้ว่านลี่อีก หากปฏิกิริยาไม่ไว จะทำได้ดังพระทัยได้อย่างไร
ฮ่องเต้ว่านลี่ตอนนี้ทรงตรัสว่าเขาชราแล้ว ก็เป็นเพราะยังทรงเห็นแก่ความสัมพันธ์เดิม หากนานวันเข้า จะกลายเป็นความรู้สึกไม่ดี ก็ย่อมยุ่งยากใหญ่แล้ว
“…ไม่สู้อาศัยที่ยังทรงมีน้ำพระทัยให้อยู่ จางกงกงทูลขอลากลับบ้านเกิด ก่อนไปยังมีหน้ามีตา พี่โจวท่านไปเป็นหัวหน้าหรือรองหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์เถอะ ไม่เช่นนั้นหากเป็นเช่นนี้ต่อไป วันหน้าพูดยาก…”
วาจาหวังทงนั้นก็พอเข้าใจ โจวอี้สีหน้าเคร่งเครียดขึ้น แต่ได้ยินวาจาท้ายของหวังทงก็ได้แต่ส่ายหน้า ได้สติลดเสียงลงกล่าวว่า
“จางกงกงไปแล้ว ตำแหน่งเดิมย่อมตกเป็นของเถียนอี้ หากข้าไปคุมแทน กำลังทหารสำนักอาชาหลวงที่เป็นดังกุมอำนาจแผ่นดินทั้งหมดนี้ทำอย่างไร”
หวังทงส่ายหน้า จ้องโจวอี้กล่าวว่า
“พี่โจว ยังจะคิดถึงอำนาจการทหารอะไรอีก ท่านดูตอนนี้กองกำลังวังหลวงห้ากองกำลัง เห็นชัดว่าทรงกุมอำนาจโดยตรงแล้ว สำหรับอำนาจเงินทอง ท่านไปอยู่สำนักส่วนพระองค์แล้วก็ใช่ว่ายังจัดการได้อยู่เหมือนเดิมไม่ใช่หรือ ในวังสำนักส่วนพระองค์เป็นดังศูนย์กลาง ต้องคุมอำนาจไว้ได้ หากจางกงกงไป ท่านไม่อาจคุมไว้ได้ หรือว่ารอให้เถียนอี้มาคุมแล้วค่อยไป ถึงตอนนั้น ใช่ว่าจะสาย…”
โจวอี้เงียบไป เงียบไปนาน ก่อนจะลุกขึ้นยืนกล่าวว่า
“ข้าจะรีบกลับเข้าวังไปพบจางกงกง บอกเรื่องพวกนี้ให้ฟัง เกรงก็แต่จางกงกงจะไม่อาจปล่อยวางได้!”
หวังทงถอนหายใจกล่าวว่า
“จางกงกงเป็นคนใจกว้าง น่าจะเข้าใจได้ พี่โจวบอกไปตรงๆ ว่าเป็นวาจาหวังทง เราสองคนหารือกัน จางกงกงคงไม่อาจไม่รับฟัง”
โจวอี้พยักหน้า ประสานมือคำนับออกไปทันที
หวังทงกลับจวน พอเข้าประตูไป ถานเอ้อร์หู่ก็รีบวิ่งมา กระซิบว่า
“ท่านโหว เมื่อครู่ทางซานตงมีข่าวมา แม่ทัพชีจากไปแล้ว ข่าวนี้น่าจะเข้าวังไปแล้ว”
หวังทงอึ้งไป ชีจี้กวงจากไปแล้ว มังกรอวี๋ พยัคฆ์ชี ตอนนี้ล้วนไม่อยู่แล้ว สองคนนี้ หวังทงล้วนเคยคบหาสมาคม ล้วนให้การสนับสนุนแลการช่วยเหลือแก่หวังทงอย่างมาก ได้ยินข่าวแล้ว หวังทงก็รู้สึกบอกไม่ถูก ปลายรัชสมัยฮ่องเต้เจียจิ้งเพราะความวุ่นวายใต้หล้าก่อเกิดวีรชน แต่ตอนนี้เริ่มทยอยชราภาพตายจากไปแล้ว
คืนนั้นในวังก็มีข่าวมาถึงหวังทง จางเฉิงเตรียมอำลาจากตำแหน่งกลับบ้านเกิด