องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 963 จางเฉิงทูลลาจากตำแหน่ง
ชีจี้กวงไปเป็นผู้บัญชาการที่กวางตุ้งได้ปีครึ่ง ก็ถูกขุนนางบุ๋นยื่นฎีกา ว่าเขาหักเบี้ยหวัดทหาร ความผิดนี้จะว่าใหญ่ก็ใหญ่ จะว่าเล็กก็เล็ก ถึงขั้นประหารก็เป็นได้ ตำหนิสักหน่อยก็ได้
แต่ทว่าทุกคนล้วนเข้าใจ ว่าต้องการให้ชีจี้กวงปลดระวางตนเอง ตามรายงานองครักษ์เสื้อแพรกับข่าวในพื้นที่กวางตุ้ง ชีจี้กวงเดิมทีกำลังฝึกทหารเรืออยู่ แต่หลังฎีกาครั้งนี้ ทำให้เขาหมดกำลังใจ ยื่นฎีกาขอรับผิดด้วยการลาออก
แม้ไม่มีความดีก็ควรมีความชอบ ราชสำนักจะลงโทษได้อย่างไร ได้แต่อนุมัติฎีกาลาออกกลับบ้านเกิดไปอย่างเดียว สำหรับความผิดก็ไม่เอ่ยถึงอีก อนุมัติแล้ว ราชสำนักก็สรรเสริญความดีความชอบชีจี้กวงทันที สร้างจวนให้ชีจี้กวงที่เติงโจว มีพระราชทานรางวัลความดีความชอบไปมากมาย และควรรู้ว่า ผู้เขียนฎีกาฟ้องชีจี้กวงกับคนที่ยื่นขอความชอบให้นั้นเป็นขุนนางคนเดียวกัน
ขุนพลใหญ่คุมอำนาจทหาร อำนาจการสังหารอยู่ในมือ ราวกับมีกลิ่นอายเทพคู่กาย ร้อยโรคไม่ย่ำกราย แต่ทันทีที่อำลาตำแหน่งกลับบ้านเกิดเพื่อใช้ชีวิตวัยชรา แม้ว่าได้พัก ได้มีชีวิตที่ดีขึ้น ร่างกายได้รับการดูแลที่ดีขึ้น แต่กลับตรงกันข้าม เช่นชีจี้กวงที่เป็นขุนพลมีใจภักดีแผ่นดินหมิงด้วยใจ กลับบ้านไปใช้ชีวิตวัยชราได้ไม่นาน ก็รู้สึกหงอยเหงา สุขภาพกายและใจก็เริ่มตกลง
แม้เป็นแม่ทัพคนดังแห่งยุค แต่เพราะตัวเขามีภาพซ้อนของจางจวีเจิ้งติดมามากไป ดังนั้นฮ่องเต้ว่านลี่จึงไม่ทรงยอมให้กุมอำนาจทหาร ขุนนางทุกคนแน่นอนเข้าใจเหตุผลนี้
ข่าวชีจี้กวงจากไปไปถึงในวัง ฮ่องเต้ว่านลี่เองก็ยังหลั่งน้ำตา อย่างไรก็ต้องพระราชทานบำเหน็จอย่างมากไปยังครอบครัวแม่ทัพชีที่เมืองเติงโจว บุตรลับจากภรรยาน้อยชีจี้กวงสองคนได้รับอำนาจวาสนา
ชีจี้กวงไปแล้ว ขุนพลมีชื่อจากไปอีกหนึ่งแล้ว เมืองหลวงมีคนทอดถอนใจ แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังจับตาดูเรื่องเรื่องมากกว่า นั่นก็คือหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์จางเฉิงทูลลาจากตำแหน่ง เรื่องนี้นับเป็นเรื่องใหญ่ของทุกคน สถานะเช่นมหาอำมาตย์นี้ การเปลี่ยนแปลงย่อมส่งผลต่อใต้หล้า
ไม่มีสาเหตุ เหตุใดจางเฉิงทูลลาจากตำแหน่ง หรือว่าทำผิดอันใด หรือในวังมีการแก่งแย่งใดที่ทุกคนไม่รู้?
แต่ละคนล้วนพากันคาดเดา แต่ไม่กี่วัน ทุกคนล้วนได้รู้ว่าจางเฉิงทูลลาเพราะชราภาพจริง ๆ เพราะไม่ว่าข่าวจากทางใด ไม่อาจไม่มีผู้ใดในเมืองหลวงไม่รู้
ขันทีเป็นบ่าวรับใช้ฮ่องเต้ ไม่มีอิสระของตนเอง พวกเขาทำงานรับใช้ด้านใด ก็จะรับใช้ไปจนชั่วชีวิตหรือแก่ตายไป แต่ทว่าระดับจางเฉิงเช่นนี้สามารถขอลาจากตำแหน่งได้ แน่นอนการเข้าไปขอทูลลาจริงก็ย่อมเพราะชราภาพ ใช้เหตุผลอื่นย่อมไม่เหมาะ
ข่าวจางเฉิงชราภาพเป็นจริง ชาวเมืองหลวงที่พอมีสถานะรับรู้ก็พากันแพร่ข่าวไป ยามนี้ในวังมีข่าวแพร่ออกมาว่า จางเฉิงทูลเองว่ากำลังกายและความคิดตอนนี้อ่อนกำลังลงไปมาก ทำงานในส่วนกลางเช่นนี้ หากเกิดเหตุผิดพลาด ก็ย่อมทำให้แผ่นดินเสียหาย อย่างไรก็ไม่สู้ขอปล่อยตำแหน่งให้ผู้มีความสามารถอื่นดีกว่า
ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ได้ทรงรั้งจางเฉิงไว้ คนที่จะมาแทนในตำแหน่งหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ได้ก็คงเป็นเถียนอี้ คนนี้ทุกคนเดาไว้ แต่ก็เหนือการคาดเดาเช่นกัน
เถียนอี้ไม่ใช่สายจางเฉิง ทุกคนล้วนรู้ ทุกคนเดิมคิดว่าจางเฉิงกุมสำนักส่วนพระองค์ไว้ หากเหตุเตะเถียนอี้ออกไปจากสำนักส่วนพระองค์ก่อน เถียนอี้ปกติทำงานรอบคอบระมัดระวัง ส่วนในยิ้มแย้มเรียกขานเป็นขันทีในห้องงานประจำสำนักส่วนพระองค์ ว่ากันว่าเขาไม่มีความคิดใดเป็นของตนเอง เพียงแต่รับคำสั่งทำงานเอกสารไปเท่านั้น
คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้เขาจะโชคดีเช่นนี้ อยู่ๆ ก็ได้เป็นหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ เพราะเถียนอี้กับจางเฉิงไม่ใช่สายเดียวกัน ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ทรงรั้งไว้และยังยอมให้เถียนอี้ขึ้นตำแหน่ง ทำให้คนนอกวังพากันคาดเดา แต่ทว่าตำแหน่งถัดมาก็ทำเอาทำคนเลิกคาดเดา
หัวหน้าสำนักอาชาหลวงโจวอี้เป็นผู้ช่วยหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ควบผู้ช่วยหัวหน้าสำนักบูรพา ขันทีในห้องงานส่วนพระองค์หวังอันได้ไปประจำ หวังอันทำงานระวังรอบคอบ เป็นคนซื่อสัตย์ภักดี เป็นจางเฉิงกับเถียนอี้ร่วมกันเสนอ
โจวอี้เป็นบุตรบุญธรรมจางเฉิง เขาเข้าสู่สำนักส่วนพระองค์ ก็ย่อมไม่ต้องสงสัยว่าเป็นความต้องการของฮ่องเต้ว่านลี่ และก็ทำให้คนนอกวังไม่ต้องคิดวางแผนอันใด
….
“เป็นอย่างที่น้องหวังว่าไว้จริง ตำแหน่งหัวหน้าสำนักอาชาหลวงว่าง ขันทีหลายคนเริ่มเคลื่อนไหว แต่ทว่าล้วนถูกตำหนิไป ตามข่าวที่มา ตอนนี้รองหัวหน้าและผู้ช่วยสำนักสำนักอาชาหลวงล้วนต้องรายงานตรงต่อเจ้ากงกง?”
หลี่ว์วั่นไฉอยู่ในห้องหนังสือหวังทง ยิ้มวิพากษ์วิจารณ์ขึ้น เขามาเยี่ยมเยือนหวังทง ภรรยาหลี่ว์วั่นไฉก็ไปคุยกับพวกหานเสีย การคบหากันเช่นนี้เป็นการสร้างสายสัมพันธ์ให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น
‘เจ้ากงกง’ แน่นอนก็คือเจ้าจินเลี่ยง เจ้าจินเลี่ยงปีนี้อายุ 16 ทำงานหัวหน้ากองงานในหกหน่วยงานสำนักส่วนพระองค์ แต่ตอนนี้รองหัวหน้าและผู้ช่วยสำนักสองตำแหน่งขันทีใหญ่แห่งสำนักอาชาหลวงต้องรายงานเขาคนเดียว ก็นับว่าเป็นเรื่องไม่ธรรมดา
“แม้ว่าเสี่ยวเลี่ยงจะฉลาด แต่อายุก็ยังน้อย ทำอะไรได้ อย่างไรก็คงเป็นฝ่าบาททรงกุมอำนาจทหารไว้เอง”
เขาอยู่กันสองคน หวังทงกล่าวอันใดก็ไม่ต้องระวังตัว พัดจีบในมือหลี่ว์วั่นไฉโบกไปมา ยิ้มพยักหน้ากล่าวว่า
“ฝ่าบาทไม่ทรงวางพระทัยขุนนางบุ๋น และยังทรงระแวงพวกในวัง น้องหวังยังยกสถานะขึ้นได้อีก นี่เป็นเรื่องดี ยังนำพาวาสนามาสู่พี่น้องอย่างเรา ๆ อีกด้วย!”
“จะสูงไปไหนได้อีก สูงไปกว่านี้เรียกว่าภัย ไม่ใช่วาสนาแล้ว!”
หวังทงรู้หลี่ว์วั่นไฉแซวเล่น เขายิ้มแย้มตอบ หลี่ว์วั่นไฉหัวเราะขำ ก่อนจะต่อว่า
“ตำแหน่งก็เรื่องหนึ่ง แต่ทว่าพระเมตตาหนักเบาก็อีกเรื่องหนึ่ง ตอนนี้…”
“โจวกงกงมา”
ทหารติดตามด้านนอกรายงานดัง ตอนนี้โจวอี้สถานะไม่เหมือนเดิม แต่ทว่าในจวนหวังทง ทุกคนล้วนคุ้นเคยกัน ไม่มีธรรมเนียมมาพิธีอันใด
ขณะที่คุยกันกันนั้น โจวอี้ก็เดินเข้ามาแล้ว พอเข้ามาก็พบว่ามีขันทีน้อยติดตามมาด้วยสองคน โจวอี้กล่าวเป็นการเป็นงานว่า
“ฝ่าบาทมีรับสั่ง หวังทงรับราชโองการ”
ราชโองการจะว่าใหญ่ก็ได้เล็กก็ได้ เป็นเรื่องให้หวังทงพาจางเฉิงไปเทียนจิน พอถ่ายทอดรบ ขันทีน้อยสองคนก็ถูกไล่ออกไปก่อน สามคนนั่งลง เทน้ำชาใหม่อีกรอบ
ตอนนั้นหวงหยางที่มาสอนที่ลานฝึกหู่เวย อายุก็มากแล้ว ในวังมีพระเมตตาให้เขาได้ออกจากวังไปอยู่กับลูกหลานได้ ในวัยชรา จางเฉิงก็มีหน้ามีตาพอ และยังไม่ได้ทำผิดจนต้องทูลลาตำแหน่ง ฮ่องเต้ว่านลี่อย่างไรก็ต้องมีพระเมตตาให้อย่างมาก
“บิดาบุญธรรมอยู่ในวังมานาน แก่แล้วก็คิดไปอยู่เทียนจินสักปีสองปี ไปดูอะไรใหม่ๆ ที่นั่น เดิมข้าก็คิดจะเขียนจดหมายมา แต่มาคิดๆ ดู คิดว่าให้น้องหวังไปบอกกับไช่หนานดีกว่า บิดาบุญธรรมไปที่นั่น ดูแลปรนนิบัติก็ขอให้เขาช่วยดูแลแทนด้วย”
หวังทงสังเกตเห็นว่า โจวอี้เรียกขานจางเฉิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อก่อนจะเรียกด้วยคำว่า ‘ใต้เท้าบิดาบุญธรรม’ หรือไม่ก็ ‘จางกงกง’ แต่ตอนนี้กลับเหลือแค่ ‘บิดาบุญธรรม’ สถานะเปลี่ยนไป ในใจก็เปลี่ยนแปลงเช่นกัน
คุยกันไปนานก็เปลี่ยนไปเรื่องอื่นๆ เล่าถึงเรื่องที่ได้เห็นมาในวังในวันนี้ โจวอี้เองก็ท่าทางบอกไม่ถูก จางเฉิงไปเข้าเฝ้าทูลลาจากตำแหน่งกับฮ่องเต้ว่านลี่ ไม่กล่าวเรื่องอะไรเกี่ยวกับงานแผ่นดิน ไม่กล่าวเรื่องอะไรเกี่ยวกับคนในวัง หากเพียงแต่พร่ำบ่นให้ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงระวังนู่นนี่นั่นหลายเรื่อง
เช่นว่ากำชับฮ่องเต้ว่านลี่ว่าต้องสวมฉลองพระองค์หนาในวันอากาศหนาว อย่าได้ปล่อยให้เป็นหวัดไป อากาศร้อน ก็อย่าเอาแต่ดื่มน้ำผลไม้เย็น ทำลายกระเพาะอาหาร พูดจนฮ่องเต้ว่านลี่เริ่มรำคาญพระทัย ต่อมาฟังจนเริ่มขอบพระเนตรรื้น
จางเฉิงรับใช้ฮ่องเต้ว่านลี่มาแต่พระเยาว์ ร่วมกับเฝิงเป่าดูแลมา ต่อมาเป็นขันทีรับใช้ข้างพระวรกายฮ่องเต้ว่านลี่มาถึงตอนนี้ ผ่านเรื่องราวมามากมาย บอกว่าเป็นผู้ใหญ่กับเด็กน้อยก็ไม่เกินไป สองฝ่ายยังมีความรู้สึกผูกพันกันจริง ยามต้องจากกัน ก็ย่อมเผยความรู้สึกผูกพันแท้จริง
ทุกคนทอดถอนใจ คุยกันต่อถึงสถานการณ์จากนี้ โจวอี้มีเรื่องเป็นห่วงหนึ่งว่า
“เถียนอี้เดิมเป็นคนเฝิงเป่า ลูกศิษย์เฝิงเป่าตอนนี้ประจำหน่วยงานต่างๆ ฝ่ายใน พอได้ขึ้นไปเช่นนี้ หากสมคบคิดกันขึ้นมา เราจะทำการลำบาก”
หวังทงไม่กล่าวอันใด หลี่ว์วั่นไฉกลับยิ้มเอ่ยขึ้น
“โจวกงกงไม่ต้องเป็นห่วง หากเถียนอี้กล้าสมคบคิด สถานะนั่นย่อมอยู่ไม่นาน ฝ่าบาทให้กงกงไปควบสำนักบูรพา ไม่ใช่ว่าไปจับตาดูเขาหรอกหรือ?”
โจวอี้อึ้งไป สามคนสบตากัน พากันหัวเราะดังออกมาพร้อมกัน หวังทงยังดี โจวอี้กับหลี่ว์วั่นไฉกลับมีท่าทีได้ใจอย่างยิ่ง หวังทงกุมองครักษ์เสื้อแพร โจวอี้อยู่สำนักบูรพา หลี่ว์วั่นไฉกุมศาลซุ่นเทียน สถานการณ์เช่นนี้ช่างเป็นประโยชน์อย่างมาก
….
คุ้มครองจางเฉิงไปเทียนจิน งานนี้แม้ว่าฮ่องเต้ว่านลี่ไม่รับสั่ง หวังทงก็ย่อมไปส่งด้วยตนเอง อย่างไรเทียนจินก็เป็นพื้นที่ที่เขาก่อร่างสร้างขึ้น ไปจัดการสักหน่อยก็เป็นเรื่องสมควร
ตอนจางเฉิงออกจากวังหลวง โจวอี้ เจ้าจินเลี่ยงและคนสนิทอื่นๆ ในหน่วยงานต่างๆ ในวังก็ออกมาส่ง หลังกล่าววาจาอำลากันแล้ว จางเฉิงให้พวกเขากลับไป คุกเข่าลงตรงหน้าประตูวังหลวง หันไปทางตำหนักเฉียนชิงกงที่ประทับฮ่องเต้โขกศีรษะหลายที ก่อนจะลุกขึ้น น้ำตานองหน้า
หวังทงรู้สึกบอกไม่ถูก เข้าไปปลอบใจ แต่จางเฉิงที่แต่ไรมาวางตัวได้นิ่งกลับระงับไม่อยู่ น้ำตาไหลอาบแก้มไม่หยุด
จางเฉิงไม่ได้เอาอะไรออกจากวัง มีเพียงห่อผ้าและเสื้อผ้าไม่กี่ตัว ท่าทางไร้สมบัติอย่างยิ่ง หลังออกจากวัง หวังทงเตรียมการไว้พร้อมแล้ว เช้ามาก็เตรียมรถม้าลากสี่ตัวมาพร้อม เชิญจางเฉิงขึ้นรถม้า หวังทงนำทหารติดตามขี่ม้าตาม
ออกจากเมืองหลวง หม่าซานเปียวรู้สึกได้บางอย่าง เขาติดตามหวังทงมานาน กับขันทีในวังก็สัมผัสมามาก รู้มากกว่าคนอื่น ดังนั้นจึงรู้สึกได้มากกว่าคนอื่น
“ท่านโหว ตอนนั้นจางกงกงยิ่งใหญ่ขนาดนั้น แต่ดูตอนนี้ มีแต่เสื้อผ้าไม่กี่ตัวกับห่อผ้าห่อเดียว ก็ช่าง…!”
หวังทงส่ายหน้า ไม่ตอบอันใด แต่ทว่าหม่าซานเปียวมีเรื่องหนึ่งไม่รู้ ห่อผ้าจางเฉิงย่อมอัดแน่นไปด้วยตั๋วเงินร้านเงินสามธารา อย่างน้อยก็ล้านห้าแสนตำลึง เงินไม่น้อยล้วนผ่านจากมือหวังทงไป เขาย่อมรู้
แน่นอน เทียบกับตำแหน่งอำนาจในวังกับใต้หล้าแล้ว เงินมากกว่าเท่าไรกัน ในใจจางเฉิงเศร้าก็ยากจะเลี่ยงได้
“ในรถกว้างขวาง หวังทงเข้ามาด้านในเถอะ มาคุยเป็นเพื่อนข้า”
พอผ่านจากทงโจว จางเฉิงก็เรียกหวังทงเข้าไปในรถม้า พอเข้าไป หวังทงก็พบว่า เวลาไม่ถึงครึ่งเดือน จางเฉิงแก่ลงไปมาก แต่ก็ดูผ่อนคลายกว่าเมื่อก่อนมาก