องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 964 ยากมีโอกาสแสร้งเลอะเลือน รีบถอนตัว
ท่าทางอ่อนกำลัง ท่าทางต่างๆ ที่จางเฉิงแสดงออกก่อนหน้า หวังทงล้วนไม่เห็น เห็นแต่ท่าทางชายชราที่ผ่อนคลายมาก
“มา มา มา น้ำชานี่เป็นชาชั้นยอดจากโรงชาอู่อี๋เชียวนะ ทุกปีเครื่องบรรณาการส่งเข้าวังมายังสู้ไม่ได้เลย”
ภายในรถม้ากว้างขวาง ตรงหน้าจางเฉิงมีเตาทองแดงใบหนึ่ง กาน้ำร้อนน้ำเดือดแล้ว จางเฉิงคว้ากาน้ำชามาเริ่มชงชา
จางเฉิงท่าทางเคลื่อนไหวนิ่งมาก เทน้ำเดือดลงในถ้วยชาได้พอดี ในรถม้าเริ่มมีกลิ่นหอมของชากรุ่นไปทั่ว หวังทงสังเกตเห็นจางเฉิงผมและคิ้วขาวไปกว่าครั้งก่อนมาก เพราะผมและคิ้วขาว ทำให้คนดูแล้วแก่ลงไปอีกสิบกว่าปีก็ว่าได้
“จางกงกง อยู่ในอำนาจก็มีข้อดีของการอยู่ในอำนาจ แต่การมีเวลาว่างก็มีข้อดีของการมีเวลาว่างอยู่เช่นกัน ท่านชราภาพแล้วไม่อยู่ในวัง ก็ไม่ต้องคิดมากไป”
หวังทงกล่าวปลอบน้ำเสียงนิ่ง จางเฉิงวางกาน้ำชาลง ผลักปล่องควันเตามาจ่อ การก่อเตาในรถม้า พื้นที่ปิดย่อมอันตราย ดังนั้นโรงช่างสามธาราจึงยังทำปล่องควันมาให้ด้วย ประณีตมาก ตอนรถวิ่งก็ยังไล่ควันออกไปปรับเปลี่ยนอากาศข้างนอกเข้ามาได้
“ข้าเองเคยไปเทียนจินมาสองครั้ง แต่ทว่าล้วนไปปฏิบัติหน้าที่ หลายปีนี้ ได้ยินได้ฟังมาล้วนยอดเยี่ยม ข้าเดิมทีไม่อยากเชื่อ แต่ได้เห็นเตากับปล่องควันของรถเจ้าแล้ว ข้าก็เชื่อแล้ว”
จางเฉิงยิ้มกล่าว ผายมือเป็นการเชื้อเชิญ ตนเองยกถ้วยชาขึ้นจิบ หวังทงเองก็ยกตาม ค่อยๆ จิบ กลิ่นหอมอบอวลในปาก ตั้งแต่เรืองอำนาจวาสนามา แม้ไม่พิถีพิถัน แต่อาหารรสเลิศของใช้ชั้นดีก็ย่อมเห็นมาไม่น้อย รู้ว่าชานี้รสเยี่ยม ชาก็เรื่องหนึ่ง แต่การชงชาก็เป็นฝีมือเช่นกัน
เห็นหวังทงมีสีหน้าชื่นชม จางเฉิงก็พึงใจกล่าวว่า
“หลังจากเข้าวังมา ทำงานรับใช้ยากลำบากมา ไฟเตานี่กำลังดี น้ำเดือดได้ระดับ ตอนชงชาต้องไม่อาจผิดพลาด จึงจะได้ชาดี”
เขาไม่ได้รับคำของหวังทง แต่ทว่าจางเฉิงเองเป็นคนฉลาดอย่างที่สุด เขารู้แล้วว่าหวังทงเหตุใดกล่าวเช่นนี้ ดื่มชาไปคำหนึ่ง ก็ถอนหายใจท่าทางพึงใจ ยกมือขึ้นลูบศีรษะยิ้มกล่าวว่า
“ฝ่าบาทอายุยังน้อย บ่าวรับใช้ไม่อาจให้อายุมากเกินไปนัก อย่างไรก็ต้องหาอะไรมาย้อมผมให้ดำไว้ เจ้าดูเหล่าหานที่อยู่สำนักเครื่องใช้ส่วนพระองค์สิ อายุจะ 80 แล้ว ยังผมดำ แต่เรื่องราวในโลกล้วนเปลี่ยนแปลงแตกต่างกัน ข้ายังจำได้ว่าสมัย ฮ่องเต้อู่จง ในวังพวกที่พอมีอายุสักหน่อยล้วนต้องย้อมผมขาว ก็ให้รู้สึกว่าอยู่ในวังปฏิบัติหน้าที่มานาน ฮ่องเต้อู่จงจะได้ทรงเห็นแก่สัมพันธ์น้ำใจยาวนานกันมา”
เรื่องการกุมอำนาจนี่เป็นเรื่องน่าสนุกจริง หวังทงอดยิ้มไม่ได้ ยกถ้วยชาขึ้นจิบไปคำหนึ่ง เป็นชาไม่เลวจริงๆ แต่ทว่ายามนี้อยู่ๆ มีท่าทีเช่นนี้ ตั้งแต่ออกจากวังมา จางเฉิงดูเหมือนชายชราจริง แต่มิได้มีท่าทีชราภาพหมดสิ้นอย่างที่แสดงก่อนหน้า
จางเฉิงยังคงมีปฏิกิริยากับความคิดฉับไว ท่าทางก็ยังคล่องแคล่ว ต่อหน้าฮ่องเต้แสดงท่าทางชราภาพหมดสิ้นนั้น ยามนี้ไม่มีให้เห็นแม้เงา จางเฉิงวางถ้วยชาลงบนโต๊ะ พิงพนักเก้าอี้ด้านหลังค่อยๆ หลับตาลง กล่าวเบาๆ ว่า
“หลายปีมานี้ วันๆ ยุ่งทั้งวัน กลางคืนยังยุ่ง ไม่เคยมีเวลาเป็นส่วนตัว หลายวันนี้ได้รับรู้แล้วว่าว่างเป็นอย่างไร นอนหลับได้หลายตื่น รู้สึกกระดูกกระเดี้ยวผ่อนคลายลงมาก สบายเสียจริง!”
หวังทงยิ้มพยักหน้า ไม่รู้จะกล่าวอันใด เขายังคงคิดถึงเรื่องที่อยู่ ๆ ก็นึกขึ้นได้เมื่อครู่
“ฝ่าบาทแต่ทรงพระเยาว์ก็เป็นข้าดูแลอภิบาลมาจนเจริญชันษา ฝ่าบาททรงเรียกคนอื่นยังเรียกชื่อ แต่กลับข้า เรียกว่า ‘ปั้นปั้น’ ฝ่าบาทตอนนี้เติบใหญ่แล้ว แน่นอนไม่ทรงอยากต้องการเกรงใจบ่าวทั้งวันแบบเดิม ข้าเองก็ห่วงพระองค์มาก เห็นอะไรก็อดไม่ได้ต้องเข้าจัดการ จะว่าไป สถานะข้านี้ ไม่รู้เป็นคนในวังเท่าไรที่จับตามองอยู่ หนามยอกในตา นานวันเข้า ก็ย่อมนำภัยมาสู่ตัว! ผู้ที่ฝ่าบาททรงเรียกว่า ‘ต้าปั้น’ มีจุดจบเช่นไร ข้าก็เห็นมากับตา”
แน่นอน ‘ต้าปั้น’ ก็คือเฝิงเป่า เขาสถานะอำนาจสูงส่ง ถึงกับข่มโอรสสวรรค์ได้ จากนั้นยังร่วมมือกับพวกในวังและนอกวัง ย่อมต้องถูกส่งไปดูแลสุสานบรรพชนที่หนานจิง
“จางกงกงรู้จักรีบถอย ช่างมีสติปัญญาเป็นเลิศ!”
หวังทงชมไปคำหนึ่ง จางเฉิงยิ้มส่ายหน้า หวังทงเงียบไปครู่หนึ่ง อดถามขึ้นไม่ได้ว่า
“จางกงกง หากข้าไม่ให้โจวกงกงไปกล่าวกับท่าน ท่านเตรียมทำเช่นไร?”
“ข้าเองก็มีขุนนางรู้จักในราชสำนักอยู่บ้าง อย่างไรก็มีวิธี”
จางเฉิงยิ้มเหมือนไม่ยิ้มตอบ หวังทงยิ้ม แต่ทว่าเป็นยิ้มส่ายหน้า จางเฉิงยกกาชาเทให้หวังทงอีกถ้วย เอ่ยขึ้นถามขึ้น
“อย่างไร?”
“เรื่องนี้ได้บทเรียนมาแล้ว ไม่อาจคิดว่าตนเองฉลาด ใต้หล้านั้นโง่เขลา”
หวังทงอยู่ ๆ ก็เอ่ยขึ้นไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย จางเฉิงหัวเราะดังออกมา วางถ้วยชาลงบนโต๊ะ คว้าผ้าขึ้นมาเช็ดมุมปาก กล่าวนิ่ง ๆ ว่า
“เจ้าเป็นเด็กจิตใจดี เจ้าเป็นคนเอ่ยเรื่องนี้ขึ้น ทำให้ข้ารู้สึกสบายใจมาก ไม่ได้ดูคนผิดจริงๆ !”
จางเฉิงเอ่ยขึ้น หวังทงปรับอารมณ์กลับมา ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ผลปรากฏเช่นนี้ย่อมดี ไม่เกิดเหตุวุ่นวายใด อย่างไรจางเฉิงก็เคยช่วยเหลือตนเองไว้มาก ตอนนี้สามารถมีชีวิตบั้นปลายที่ดี ไปจนสิ้นบั้นปลายชีวิตได้ ก็ย่อมเป็นเรื่องดียิ่งใหญ่
“จางกงกงไปเทียนจินก็เหมือนบ้านท่าน มีอันใดก็เอ่ยปากได้ ไช่หนานล้วนสามารถจัดการแทนได้ หรือว่าให้ข้าจัดการก็ได้เช่นกัน”
“ข้ามีเงินทองในมือมากมายเพียงนี้ แม้ไม่มีพวกเจ้าดูแล ก็ย่อมมีความสุขสบาย รับใช้ผู้อื่นมานานหลายปี ครั้งนี้ข้าจะให้คนอื่นมารับใช้ข้าบ้างแล้ว”
“เรื่องนี้หารือกันได้ ๆ”
หวังทงยิ้มกล่าว
….
ตลอดทางมาไม่ได้มีอันใดพูดคุยต่อ กองกำลังมาส่งถึงชายแดนเทียนจิน ขันทีคุมกำลังไช่หนานกับคนของหวังทงที่เทียนจินทั้งหมดก็มารอต้อนรับ
หวังทงประคองจางเฉิงลงจากรถม้า ไช่หนานรีบเข้าไปคุกเข่าโขกศีรษะ กล่าวว่า
“บรรพชนมาอยู่เทียนจิน ให้หลานได้รับใช้กตัญญูท่าน”
พูดไปแล้ว จางเฉิงเป็นบิดาบุญธรรมโจวอี้ โจวอี้เป็นบิดาบุญธรรมไช่หนาน ไช่หนานแม้ว่าตอนนี้สถานะไม่ต่ำต้อย แต่ต่อหน้าจางเฉิงก็ยังคงเรียกตนเองว่าหลาน รับใช้กตัญญูก็ย่อมเป็นหน้าที่เขา
แต่จางเฉิงตอนนี้อย่างไรก็เป็นขันทีชราไร้ตำแหน่ง ไช่หนานกลับเป็นถึงขุนนางฝ่ายในที่ในวังส่งมาประจำเทียนจิน สถานะและอำนาจล้วนต่างกันอย่างมาก คนแก่จากสถานะเดิม แม้ว่าปลงตก แต่ในใจก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าไม่คิดอันใด ไช่หนานทำเช่นนี้ ทำให้จางเฉิงรู้สึกดีมาก
“จางกงกง อยากอยู่ริมทะเลหรือในเมือง จวนและข้าวของเครื่องใช้ พร้อมคนรับใช้ล้วนเตรียมเรียบร้อยแล้ว”
หวังทงยิ้มกล่าว
….
อดีตหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์จางเฉิง มาอยู่เทียนจินเรืองอำนาจวาสนาราวกับอ๋อง คนที่ไปเทียนจินมาล้วนกล่าวเช่นนี้ ไม่มีคนรู้สึกว่าเรื่องนี้เกินไป ขุนนางระดับสูงในวัง หากกลับสู่บ้านเกิดก็ย่อมเรืองอำนาจวาสนาราวกับอ๋องเช่นกัน มีชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือย พวกราชบัณฑิตตำแหน่งใหญ่ในคณะเสนาบดีใหญ่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
หัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ก็มีสถานะดังมหาอำมาตย์ในคณะเสนาบดีใหญ่ อำนาจวาสนาล้นมือ ยามนี้ก็ย่อมต้องเป็นเช่นนี้ หากไม่เป็นเช่นนี้ ใช่ว่าแสดงให้เห็นถึงความแล้งน้ำใจของราชสำนักหรอกหรือ
เรื่องนี้หวังทงกลับได้รับคำสรรเสริญไม่น้อย หวังทงจากองครักษ์เสื้อแพรตัวเล็ก ๆ มาถึงสถานะเช่นตอนนี้ได้ภายในสิบปี เป็นตำนานหนึ่งแห่งแผ่นดินหมิง หวังทงบินได้ไกลเช่นนี้ จางเฉิงย่อมมีส่วนออกแรงไม่น้อย หวังทงรับจางเฉิงไปเทียนจินดูแล และยังจ่ายเงินมากมายเพียงนี้ ก็ย่อมเป็นผู้มีความกตัญญูรู้คุณคน
เดือนห้า ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 15 นายกองตรวจการซานซียื่นฎีกาว่าตอนนี้เมืองกุยฮว่าเฉิงเป็นเมืองชายแดนแล้ว ต้าถง ไท่หยวน เหยียนสุย และเมืองชายแดนอื่นไม่พบร่องรอยพวกนอกด่าน ยังมีเมืองชายแดนอื่นๆ ทัพใหญ่ใช้แรงงานทหารทำงาน กินเงินแผ่นดินเปล่าประโยชน์ ขอให้ราชสำนักจัดการโดยเร็ว
ตั้งแต่รัชสมัยฮ่องเต้อู่จงมาถึงตอนนี้ เป็นครั้งแรกที่มีคนคุยเรื่องให้จัดการเมืองชายแดน ข่าวแพร่ออกไป เสียงวิจารณ์ในเมืองหลวงราวกับนกกระจอกแตกรัง สายผู้บัญชาการเมืองชายแดนกับผู้ว่าการมณฑลแต่ละแห่งในเมืองหลวงล้วนเคลื่อนไหวกันวุ่นวาย ต้องการสืบข่าวให้ได้มากที่สุด เพื่อเข้าใจเบื้องหลังของเรื่องราวในตอนนี้
‘เรื่องใหญ่เช่นนี้กล่าวเหลวไหลได้อย่างไร!’ ในวังได้แต่แสดงท่าทีเช่นนี้ นายกองที่กล่าววาจาเหลวไหลถูกส่งไปเป็นผู้ว่าที่เมืองชิงโจวที่ซานตง เหมือนว่าค่อยๆ ก่อหวอด แต่เมืองหลวงไม่ได้เกิดแรงกระเพื่อมใหญ่นัก ทุกคนล้วนโล่งใจ คิดว่านี่อาจเป็นพวกบัณฑิตคิดหาชื่อเสียงปกติ
จากนายกองไปเป็นผู้ว่า ระดับเรียกได้ว่าเลื่อนสองขั้น แต่ในสายตาคนยุคนั้นเรียกได้ว่าเป็นการถูกลดระดับ อำนาจวาสนาวันหน้าล้วนสิ้นหวัง แต่อีกมุมหนึ่งนั้น นายกองเมืองหลวงทำงานยากลำบาก หากได้ออกไปประจำท้องที่ บางทีอาจแค่ผู้ว่า แต่วันเวลานับว่าสบายมาก ที่นั่นย่อมเป็นพื้นที่ดังแดนสวรรค์ของตน
….
เทียบกับฎีกาฉบับนี้แล้ว ฎีกาจากผู้ว่าการเขตจี้เหลียวกลับทำให้เมืองหลวงกระเพื่อมแรงกว่า ฎีกานี้เป็นฎีกาขออภัยโทษ
ขุนพลประจำเหลียวโจวฉินเต๋ออี่นำทหารไปปักหลักที่ป้อมหม่าเอ๋อร์ตุน ถูกพวกทหารเผ่าหนี่ว์เจินโจมตีพ่าย ฎีกาว่าสูญทหารไปพันกว่า ก่อนจะถอนกำลังกลับเมืองเหลียวโจว ขาและแขนฉินเต๋ออี่ถูกธนูยิง ทหารในสังกัดสู้จนตัวตายก่อนจะนำตัวเขากลับมาได้
หากเป็นเมื่อก่อน ทหารสูญเสียพันนาย ตระกูลหลี่เองย่อมปิดบัง หาเหตุผลง่ายๆ มาปิดบังให้ผ่านๆ ไป แต่ตอนนี้เมืองเหลียวโจวไม่ใช่สวรรค์ตระกูลหลี่ผู้เดียว ยังมีหม่าหลินที่เสิ่นหยาง มีซุนโส่วเหลียนที่หวงเฟิ่งเฉิง แม้ว่าตระกูลหลี่จะปิดข่าว แต่หม่าหลินก็ย่อมได้ข่าวมาจากแหล่งอื่นได้อยู่ดี จึงมีจดหมายลับไปถึงมือผู้ว่าการเขตจี้เหลียว
ผู้ว่าการเขตจี้เหลียวก็มีช่องการข่าวตนเอง เรื่องนี้ได้รับการยืนยันทันที ทหารสูญเสียพันนาย แม่ทัพบาดเจ็บ เป็นเรื่องเล็ก แต่ตระกูลหลี่ไปตั้งค่ายนอกกำแพงเมืองชายแดนเหลียวโจวมานานเกินครึ่งปี แต่ไรมาก็รายงานว่ายังไม่ได้รับชัยชนะใดเป็นเรื่องเป็นราว แต่การพ่ายแพ้ครั้งนี้กลับเป็นเรื่องจริง
คนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดล้วนกลัวว่าจะติดร่างแหไปเรื่องอื่น ทุกคนก็ล้วนรู้ว่าหวังทงไม่ถูกกับตระกูลหลี่ หากหวังทงคิดลงมือ ทุกคนอย่าได้ติดร่างแหด้วยเป็นดี ดังนั้นข่าวนี้แม้มีคนคิดปิดบัง แต่ฎีกาก็ยังมาถึงเมืองหลวง