องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 965 วางเฉยไม่จัดการ
ป้อมหม่าเอ๋อร์ตุน ที่นี่ไม่ใช่ที่ของเผ่าหนี่ว์เจินหรือเผ่ามองโกล ตอนสมัยฮ่องเต้หมิงไท่จู่ ก็เป็นพื้นที่ชาวฮั่น นอกกำแพงเมืองเหลียวโจวอยู่ในความปกครองของทหารแผ่นดินหมิง
ที่นี่พื้นที่ไม่ซับซ้อน ไม่มีที่อันตรายเป็นด่านปราการใด ขบวนทัพม้าไปมาได้สะดวก ทหารราบเดินเท้าก็ง่ายมาก ที่นี่เรียกได้ว่าเป็นพื้นที่นอกกำแพงเมือง แต่กลับไม่ใช่พื้นที่รกร้างเช่นนอกกำแพงเมืองทางตะวันตกของเมืองจี้โจว แต่เป็นหมู่บ้านหนาแน่น ทุกที่ล้วนเป็นที่นา เพียงแต่ไม่ใช่พื้นที่แผ่นดินหมิงเท่านั้น
ขุนพลทหารเมืองเหลียวโจวหลี่ผิงหูกับฉินเต๋ออี่นำกำลังออกไป เทียบกับบนทุ่งหญ้าแล้วก็ต่างกันอยู่บ้าง แต่เพราะที่นี่ล้วนเป็นหมู่บ้าน แตกต่างจากแผ่นดินหมิงไม่มาก หากจะกล่าวถึงความต่าง ก็คงเป็นของป่าตามภูเขาและสัตว์เลี้ยงมากอยู่สักหน่อย แย่งชิงได้มาก็มีเนื้อมีน้ำมากหน่อย
แต่ทว่าทหารเมืองเหลียวโจวกับพวกเผ่านอกกำแพงเมืองมีความสัมพันธ์กันมานาน สังหารปล้นชิงคงไม่ทำ มีแค่หาก ล้ำแดนมา ชาวบ้านก็แค่ส่งมอบของให้ไปมากหน่อย ถูกบีบเอาไปรุนแรงสักหน่อยก็เท่านั้น
ออกไปรอบหนึ่ง ขุนพลทหารรวย พลทหารมีความสุข เผ่าหนี่ว์เจินเจี้ยนโจวหลบ ๆ ซ่อนๆ สู้กันก็ย่อมไม่เลือดตกยางออกสักเท่าไร ไยไม่ลงมือนำทหารออกมากันเล่า หลี่ผิงหูออกมาสู้ได้พักหนึ่ง ก็เปลี่ยนเป็นฉินเต๋ออี่มาแทน
หลี่เฉิงเหลียงนำกำลังทหารเมืองเหลียวโจวจนสร้างชื่อเสียงเกรียงไกร นอกจากนำทหารได้เก่งกล้าแล้ว ยังเก่งการสมดุลอำนาจและดึงเป็นพวก ในเมื่อหลี่ผิงหูทำกำไรได้จากการปราบศัตรูมาก เช่นนี้คนอื่นย่อมไม่อาจยอมให้เขาได้คนเดียว ทุกคนก็ย่อมอยากไปร่ำรวยกันบ้าง เช่นนี้เห็นได้ชัดว่าเมืองเหลียวโจวให้ความสำคัญกับการปราบเผ่าหนี่ว์เจิน ล้วนทุ่มเทแรงใจ
ทหารห้าพันกว่าของฉินเต๋ออี่ตั้งค่ายพักที่ป้อมหม่าเอ๋อร์ตุน ที่นี่ตระกูลใหญ่มีทั้งชาวฮั่นและชาวเผ่าหนี่ว์เจิน ไม่รู้ว่าสาวใช้หรือคุณหนูถูกส่งไปปรนนิบัติฉินเต๋ออี่ในห้องนอน เสบียงอาหารและทุกอย่างล้วนพร้อมสรรพ กองทหารฉินเต๋ออี่สุขสบายราวกับสวรรค์
พวกเขายังแปลกใจ ตอนรับส่งมอบงานจากหลี่ผิงหู ป้อมหม่าเอ๋อร์ตุนและป้อมต่างๆ ทางแถบแม่น้ำซูจื่อเหอล้วนถูกขูดรีดจนหมดแล้ว ตอนนี้ก็เหลือแค่เจี้ยนโจวแล้ว พื้นที่เฮ่อถูอาลาที่คนนอกกำแพงเมืองเรียกขานกันยังพอมีให้ขูดรีด แต่มองดูสภาพการณ์กลับไม่ใช่
ออกจากด่านฝู่ซุ่นกวน ไปตามแม่น้ำหุนเหอ ผ่านไปทางซ่าเอ๋อร์หู่ อ้อมไปทางแม่น้ำซูจื่อเหอ เดินผ่านป้อมเจี้ยฝานไจ้และกู่เล่อไจ้ ก็จะถึงป้อมหม่าเอ๋อร์ตุน เผ่าหนี่ว์เจินตลอดทางพวกนี้ยอมสวามิภักดิ์ดี มีเครื่องบรรณาการให้เพียงพอ
หลี่ผิงหูตอนออกจากด่านมา เริ่มแรกก็สู้กันสองสามครั้ง มีบาดเจ็บกันอยู่บ้าง ทัพฉินเต๋ออี่ออกมา เริ่มแรกระวังตัวมาก แต่เดินทางมาเรื่อยๆ ก็เริ่มสบายมาก เริ่มผ่อนการป้องกันระวังลง
ตลอดทางไม่เห็นศัตรูแม้แต่คนเดียว ล้วนเป็นพื้นที่กว้างไกล ยิ่งทำให้ทหารเมืองเหลียวโจวออกเดินทางครั้งนี้ราวกับมาท่องเที่ยวป่าเขา
พอถึงป้อมหม่าเอ๋อร์ตุน ก็ฆ่าหมูฆ่าแพะ ยังมีอาหารสุราพร้อมสรรพมาต้อนรับ ทุกคนล้วนกินกันอย่างอิ่มหมี ขุนพลทหารระดับนายพันขึ้นไปยังมีหญิงมาปรนนิบัติ สบายอย่างที่สุด
จากนั้นเรื่องที่เกิดไม่ต่างอันใดกับที่กล่าวไว้ในตำราพิชัยสงคราม กลางดึกถูกโจมตี ไม่รู้ทหารเผ่าหนี่ว์เจินมาจากไหน เข้ามาสังหารทิ้งครั้งใหญ่
ดีที่ทหารเมืองเหลียวโจวไม่ใช่พวกทหารหัวหดแบบในด่าน ทหารฉินเต๋ออี่ปกป้องแม่ทัพตน ทำให้สถานการณ์สงบลงได้ ควบคุมทหารที่แตกตื่นได้ก่อนจะค่อยๆ ตีวงล้อมออกไปสังหารโต้
เริ่มแรกไม่ทันระวังตัว บาดเจ็บล้มตายมาก ยังมีส่วนหนึ่งติดอยู่ด้านในออกมาไม่ได้ ดีที่ฉินเต๋ออี่นำกำลังฝ่าวงล้อมออกมาได้ ตลอดทางหนีหัวซุกหัวซุนกลับมายังเมืองเหลียวโจวมาได้
การต่อสู้เช่นนี้ สูญทหารไปแค่พันกว่านาย ระดับหวังทงแน่นอนย่อมไม่เชื่อ
เรื่องเป็นไปตามความคาดหมายของเขา ข่าวจากร้านสามธารามาถึงตอนค่ำ ฉินเต๋ออี่นำทหารห้าพันกว่าออกมา สูญเสียไปครึ่งหนึ่ง อาวุธเสบียงสูญสิ้นไปหมด
“หลี่เฉิงเหลียงเองก็รู้ว่าปิดไม่มิด เดาว่ากำลังหาทางรับมืออยู่!”
หยางซือเฉินวิเคราะห์เช่นนี้ เหมือนกับที่เขาวิเคราะห์ ปลายเดือนห้า ผู้บัญชาการทหารเมืองเหลียวโจวหลี่เฉิงเหลียงถวายฎีกาขออภัยโทษมาถึงเมืองหลวง
ท่าทีหลี่เฉิงเหลียงหนักแน่นจริงใจอย่างมาก ฎีกาว่าไว้ละเอียดถึงการดูแคลนศัตรูของตนเอง ทหารตนเองจึงได้ลืมตัวเหิมเกริม ผลปรากฏถูกคนฉวยโอกาสลงมือ แต่ทว่าทหารสองพันกว่าตายไป กระจัดกระจายไป ไม่ทำให้หลี่เฉิงเหลียงกระทบกระเทือนมากนัก เขาเองทำผิดพลาดยังขอโอกาสแก้ไข
ตามคาด ฎีกากล่าวว่า ฉินเต๋ออี่แม้ว่าพ่ายศึก แต่ก็เคยสะสมความชอบมา ขอฝ่าบาทเห็นแก่ความชอบที่ผ่านมา อนุญาตให้เขานำกำลังทหารออกศึกไถ่โทษความผิด เมืองเหลียวโจวเตรียมนำทัพออกศึก ปราบเผ่าหนี่ว์เจินแห่งเจี้ยนโจวให้สิ้นซาก จับตัวหัวหน้ามาลงโทษต่อหน้าพระพักตร์ให้ได้
ฎีการับผิดนี้ เริ่มจากแสดงความรับผิดชอบก่อน จากนั้นก็ขอรับผิดคนเดียว จากนั้นก็ขอโอกาสทำความดีชดใช้ความผิด ว่าเมืองเหลียวโจวเตรียมปฏิบัติการครั้งนี้แล้ว จะนำทัพใหญ่ออกปราบพวกนอกด่าน นี่เป็นวิธีแก้ไข
ที่มาพร้อมกับฎีกานี้ยังเมืองหลวง ก็คือนักเจรจาจากเมืองเหลียวโจวหลายคน นำเงินทองและผลประโยชน์มาก มอบของขวัญหลายแห่ง เพื่อเปิดทาง
ตามข่าวจากซุนโส่วเหลียน ครั้งนี้ตระกูลหลี่เคลื่อนหมดหน้าตัก จะต้องจัดการเปิดทางเมืองหลวงทั้งหมดได้ เพื่อให้ราชสำนักอนุญาตให้เมืองเหลียวโจวจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง
“หลี่เฉิงเหลียงทำเรื่องพวกนี้ย่อมรู้ว่าข้าก็รู้ เขาเองกลัวมาตลอดว่าหากตนผิดพลาดเปิดโอกาสให้ข้าเข้าแทรกแซง เรื่องครั้งนี้ที่ตระกูลหลี่เป็นห่วงที่สุดก็คือข้าจะฉวยโอกาส กลัวข้าจะแทรกตัวเข้าข้องเกี่ยว ทำลายฐานกำลังตระกูลหลี่ที่สั่งสมมาและอำนาจวาสนาชั่วลูกหลาน”
หวังทงวิจารณ์เช่นนี้ เขากำลังร่ำสุราสนทนากับโจวอี้ หลี่ว์วั่นไฉหลี่และเหวินหย่วน ตั้งแต่โจวอี้ไปอยู่สำนักส่วนพระองค์เป็นผู้ช่วย เวลาก็ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่อิสระกว่า ครั้งนี้นัดออกมา ด้วยเป็นเพราะเมืองเหลียวโจวเป็นเรื่องใหญ่ ฮ่องเต้ว่านลี่คิดอยากทรงฟังความเห็นหวังทง
ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ โจวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง กล่าวขึ้นเบาๆ ว่า
“ที่นั่งอยู่นี่ล้วนเป็นคนกันเอง เมืองเหลียวโจวแต่ไรมาก็ล้วนราวกับถังเหล็กครอบไว้ หลี่เฉิงเหลียงทำการรอบคอบมาก ปกติไม่อาจหาเหตุจัดการเขาได้ ครั้งนี้ถือเป็นโอกาสแล้ว!”
“ไม่อาจประมาท แม้หลี่เฉิงเหลียงจะเป็นปรปักษ์กับน้องหวัง แต่หากลงมือยามนี้ ฝ่าบาทและประชาใต้หล้าก็จะคิดว่าน้องหวังฉวยโอกาส กลับเป็นเรื่องไม่งาม”
หลี่ว์วั่นไฉพัดพัดจีบไปมาแทรกขึ้น สีหน้าเขาผ่อนคลายมาก ยิ้มกล่าวว่า
“เผ่าหนี่ว์เจินราวกับมดปลวก จะทำอันใดได้ ก็แค่อาศัยจังหวะนี้หากำไรเสียหน่อย เมืองเหลียวโจวหากลงมือจริงจัง ก็น่าจะปราบได้ราบคาบ เมืองเหลียวโจวเสียเปรียบก็ย่อมเป็นการตบหน้าตัวเอง พวกเราไม่ต้องทำอะไร มองดูอย่างเดียวก็พอ หากทำไป กลับเปิดโอกาสให้เมืองเหลียวโจวหาช่องได้”
โจวอี้พยักหน้ายิ้มกล่าวว่า
“พี่หลี่ว์คิดได้รอบคอบจริง!”
หลี่ว์วั่นไฉหุบพัดจีบเคาะในฝ่ามือ โจวอี้อยู่ในวังมานาน แม้ว่าทำงานมาไม่น้อย แต่เทียบกับผู้คลุกคลีวงการขุนนางข้างนอกมานานอย่างหลี่ว์วั่นไฉแล้ว ก็ยังสู้ไม่ได้ แน่นอนหลี่ว์วั่นไฉเองก็โลกแคบอยู่ แต่เห็นปัญหาได้ก็เพราะโจวอี้
หวังทงรอให้ทุกคนหารือจบ สองฝ่ายล้วนได้ประโยชน์มาก สองคนกำลังดีอกดีใจ หวังทงก็ยิ้มส่ายหน้า ไม่ยื่นมือเข้ายุ่งไม่ใช่ด้วยเหตุผลที่พวกเขาว่ามา พวกเขาช่างดูถูกเผ่าหนี่ว์เจินนอกด่านเกินไปแล้ว หากรู้ว่าพวกที่อิทธิพลอำนาจเหมือนมดปลวกตอนนี้ วันหน้าทำการใหญ่สำเร็จจะรู้สึกอย่างไรกัน
“…เผ่าหนี่ว์เจินหดหัวมานาน พื้นที่เดิมพวกเขาอยู่ทางฝั่งเกาหลี ถูกพวกเกาหลีไล่ออกมา ทหารเกาหลีทางนั้นผู้ใดไม่รู้ว่าเป็นพวกหัวหดเพียงใด…”
พูดถึงตรงนี้ แม้แต่หลี่เหวินหย่วนล้วนกล่าวเสริม บนแผ่นดินหมิง คำวิจารณ์ต่อเกาหลีล้วนอ่อนปวกเปียก เป็นดังไข่อ่อน เผ่าหนี่ว์เจินยังถูกพวกเขาขับไล่ออกมาได้ กองกำลังเช่นไรก็ย่อมคิดรู้ได้
เพียงแต่ เรื่องเล่าพวกนี้มันนานมาแล้ว มันเกิดตอนที่ยังไม่มีแผ่นดินหมิง
….
“ฝ่าบาท เมืองเหลียวโจวทำเช่นนี้ก็เป็นวิธีการที่ควรอยู่ อย่างไรก็แค่แพ้นอกกำแพงเมืองเล็กๆ ไม่ได้ทำลายกองทัพใหญ่ หากยามนี้ราชสำนักเข้าข้องเกี่ยว กลับจะทำให้ต้องกังวลมากขึ้นกว่าปกติไปอีก ไม่สู้ให้เมืองเหลียวโจวจัดการเอง สร้างความดีลบล้างความผิด!”
ฎีกาหลี่เฉิงเหลียงมาถึง ก็จะต้องส่งไปหารือในการประชุมราชสำนัก ตอนหวังทงไม่อยู่อีกเรื่อง แต่เมื่อหวังทงอยู่ในการประชุมขุนนาง เรื่องหารือเกี่ยวกับกองกำลังเช่นนี้เขาย่อมมีสิทธิ์กล่าวมากกว่าผู้ใด อย่างไรคุณสมบัติหวังทงก็เป็นที่รู้กันอยู่ ผู้ใดก็ไม่กล้าคุยเรื่องการทหารต่อหน้าเขาอย่างไม่ระวังตัว
เดิมคิดจะยกตระกูลหลี่เมืองเหลียวโจวมาปะทะกับหวังทง ก็ย่อมสิ้นความคิดนี้ไป ตอนทุกคนแอบหารือกันก็ได้แต่บ่นไม่พอใจ ตระกูลหลี่เองก็เหลวไหล ปกติดีๆ ก็เปิดโอกาสให้หวังทงยื่นมือเข้าแทรกได้ หรือว่าการแทรกรองแม่ทัพภาคเข้าไปคนหนึ่งยังไม่เจ็บตัวพอ อยู่ๆ เช่นนี้ เกรงว่าคงจะยุ่งยากใหญ่แล้ว
ตอนนี้เมืองเซวียนฝู่ เมืองจี้โจว เมืองต้าถง หวังทงล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญ ไท่หยวนกับหนิงเซี่ยก็รู้อยู่ไม่น้อย เมืองเหลียวโจวส่งซุนโส่วเหลียนเป็นสายไว้ ใต้หล้าเก้าชายแดน ยื่นมือเข้าไปมากเพียงนี้ ครั้งนี้เมืองเหลียวโจวเกรงว่าคงต้องตกในกำมือเขาแล้ว
แต่ที่หวังทงพูดในราชสำนัก กลับทำให้ทุกคนรู้สึกเหนือความคาดหมาย โอกาสอยู่ตรงหน้า เขากลับไม่เอา
อย่าว่าแต่ขุนนางใหญ่ราชสำนักคิดไม่ถึง แม้แต่ฮ่องเต้ว่านลี่ล้วนเองก็ทรงแปลกพระทัย แต่ทว่าตอนนี้เขานิ่งมาก ทรงกวาดตามองไปรอบๆ ตรัสว่า
“ขุนนางทุกท่านเห็นเช่นไร?”
“ฝ่าบาท ใต้เท้าหวังเสนอเช่นนี้ก็เหมาะสมควรอยู่ การทหารเป็นเรื่องใหญ่ ควรระมัดระวังรอบคอบเช่นนี้”
เซินสือหังออกหน้าออกปาก ขุนนางใหญ่ที่เหลือย่อมไม่มีข้อแย้ง รองอำมาตย์หวังซีเจวี๋ยเงียบไปครู่หนึ่ง กลับกล่าวแย้งว่า
“ฝ่าบาท เมืองเหลียวโจวแต่ไรมาการทหารแกร่ง ครั้งนี้กลับมีรอยตำหนิได้ เผ่าหนี่ว์เจินแท้จริงเช่นไรมิอาจรู้ได้ หากยังให้ทัพเหลียวโจวไป เกรงว่าภัยไม่น้อย!
“ใต้เท้าหวัง เป็นห่วงเกินไปแล้วกระมัง เมืองเหลียวโจวออกปราบตัวหลุนได้ชัยชนะใหญ่ เผ่าหนี่ว์เจินก็แค่พวกป่าเถื่อน ไยต้องกล่าวข่มทำลายขวัญกันเองด้วย”
หวังซีเจวี๋ยวาจาไม่ทันจบ ก็มีคนออกมาโต้ ฮ่องเต้ว่านลี่มองตาเขา มองตาหวังทง ตรัสว่า
“งั้นให้หลี่เฉิงเหลียงไปจัดการละกัน คณะเสนาบดีใหญ่กับหน่วยงานต่างๆ ก็จัดการสิ่งที่ควรต้องจัดการกันไปละกัน”
ขุนนางใหญ่ในที่ประชุมพากันโล่งใจ มองสีหน้าหวังทงแล้วก็เห็นว่านิ่ง ไม่รู้คิดอะไรอยู่