องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 967 กองงานภาษี
ตอนนั้นที่ว่าให้สร้างอีกแห่งให้เหมือนเทียนจินเหมือนคุยกันทั่วไปเท่านั้น ผู้ใดจะคิดว่าวันนี้จะเอ่ยถึง
แต่ทว่าหวังทงครั้งนี้กลับไม่กล้าแสดงท่าทีสนทนาแบบทั่วไปมารับมือ เพราะในการประชุมขุนนาง เสนาบดีกรมอากรได้ทูลว่าฝ่าบาทปกครองใต้หล้า พระคลังวังในก็เป็นท้องพระคลังแผ่นดิน ฝ่าบาทไม่ควรสะสมเงินทองมากมาย หากควรให้พระคลังวังในช่วยจ่ายงบประมาณแผ่นดิน
เสนาบดีกรมอากรกล่าวได้ทรงคุณธรรมยิ่ง คิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้ว่านลี่จะร้อนพระทัยกริ้วหนักทันที คว้าที่วางพู่กันได้ก็เขวี้ยงใส่ทันที ที่วางพู่กันนี้เป็นหยกแกะสลัก น้ำหนักไม่น้อย ฮ่องเต้ว่านลี่ก็แรงพระกรไม่น้อย และยังแม่นอีก ปาเข้าตรงเป้าหากโดนจริงคงทำเอาหัวแตกเลือดอาบทันที
เป็นหวังทงที่ตาไวมือไว ดึงเสนาบดีกรมอากรหลบทัน ในการประชุมขุนนางไม่ว่าขันทีหรือขุนนางใหญ่ล้วนคุกเข่า พากันกราบทูลพร้อมกันว่า
“ฝ่าบาททรงระงับความกริ้วด้วยพะยะค่ะ!”
“เราเก็บเงินภาษีได้จากเทียนจิน ได้จากกุยฮว่าเฉิงนิดหน่อย วันเวลาก็สบายขึ้นมาหน่อย พวกเจ้าก็ขัดตาหรือไง เมื่อก่อนมีเทียนจินไหม? เมื่อก่อนมีกุยฮว่าเฉิงไหม? พวกเจ้าอยู่ไม่ได้แบบเดิมแล้วหรือ? หรือแต่ละคนคิดอยากเอาเพิ่มกัน ได้น้อยลง ไม่เพียงแต่เรา พวกเจ้าก็ด้วย หรือพวกเจ้าคิดได้ไร้สามารถเช่นนี้!?”
ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงด่าเสียงดัง เสนาบดีกรมอากรเบื้องหน้าจากสีหน้าแดงก่ำกลายเป็นซีดเผือด สุดท้ายโขกศีรษะกับพื้น ฮ่องเต้ว่านลี่แค่นยิ้มตรัสต่อว่า
“ภาษีที่เก็บได้ลดลงมาสามปีติดต่อกัน ปีหน้าหากยังน้อยอีก เจ้าก็ไม่ต้องดำรงตำแหน่งนี้แล้ว ลาออกกลับบ้านเกิดไปได้เลย”
เห็นราชบัณฑิตในคณะเสนาบดีใหญ่คิดกราบทูล ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสต่อว่า
“ฝ่ายในสองคนที่เราส่งไปตรวจสองแม่น้ำมีรายงานมาแล้ว ปีนี้ภาษีเกลืออย่างไรก็คงมีมาสี่ล้าน ทำไมกัน ไม่ใช่เพราะต้องผ่านด่านตรวจสามด่าน กรมเกลืออีกหลายด่าน ตอนนี้ล้วนสงบเสงี่ยมดี? พวกเจ้าหากยังไม่ทำงานให้ดี ในวังเรามีคนมากสามารถมาก ส่งไปได้หมด!”
ในวังส่งขันทีไปรับหน้าที่เก็บภาษีโดยตรง ไปยังพื้นที่ ขุนนางราชสำนักกับท้องที่รู้ดีที่สุด เรียกได้ว่าเป็นการจัดการแสนชั่วร้าย ตั้งแต่สมัยฮ่องเต้เจียจิ้งมา ในวังไม่เคยส่งขันทีไปปฏิบัติงานในท้องที่ชั่วคราวอีก บรรดาขุนนางราชสำนักได้ยินฮ่องเต้ว่านลี่อยู่ๆ ตรัสขึ้น ก็พากันสีหน้าแปรเปลี่ยน
เสนาบดีกรมอากรซ่งซวินสีหน้ายิ่งซีดขาว เขามาดำรงตำแหน่งไม่นาน ภาษีก็ลด ท้องพระคลังก็เริ่มว่าง เขาคิดวิธีไม่ออก ก็คิดถึงพระคลังวังใน อย่างไรก็แค่ผลักความรับผิดชอบไปให้ราชวงศ์ ตนเองไม่ต้องรับผิดชอบอันใด และยังสามารถคว้าแหล่งเงินทองอย่างเทียนจินกับกุยฮว่าเฉิงมาอยู่ในมือได้ ไม่เพียงแต่สถานการณ์บีบคั้นตรงหน้าแก้ไขได้ แม้แต่ตนเองก็พลอยได้ประโยชน์ไปด้วย
แต่ทว่าอย่างไรเขาก็มารับตำแหน่งใหม่ มีหลายเรื่องต้องห้ามที่ยังไม่เข้าใจนัก พอขึ้นมาก็แตะเรื่องต้องห้ามพอดี ยังทำให้ฮ่องเต้ว่านลี่มีดำรัสเช่นนั้นอีก
ขันทีออกเก็บเงินท้องที่ต่าง ๆ ไม่เลือกวิธีการ ผู้ใดมีเงินก็ไปตามเอาจากผู้นั้น เงินในท้องที่แน่นอนล้วนเป็นของพวกคหบดีใหญ่ ญาติขุนนาง พอขันทีไปขูดรีดถึงที่ เสียหายหนักก็มักเป็นขุนนาง ดังนั้นขุนนางราชสำนักทุกครั้งที่เจอเรื่องนี้ก็ย่อมต้องดิ้นรนกันออกหน้าหาเหตุผลค้าน
ครั้งนี้ซ่งซวินก่อเรื่อง ย่อมถูกขุนนางทุกระดับดูแคลน เรื่องยุ่งยากวันหน้ารออยู่อีกมาก
เสนาบดีกรมอากรซ่งซวินเสนอให้นำจากพระคลังในวังมาเสริมท้องพระคลังหลวง เป็นเขาเองที่หาทางปัดความรับผิดชอบ ทุกคนรอดูเรื่องสนุกกันมาก เขาไม่นับเป็นพวกเซินสือหัง และไม่นับเป็นพวกหวังหลิน เพียงเพราะมีคนบอกว่าตำแหน่งว่าง พอดีเขามีคุณสมบัติเข้าแทนได้พอดี กำลังรอดูเรื่องสนุกอยู่นั่นเอง ก็ได้ยินฮ่องเต้ว่านลี่รับสั่งว่าจะส่งขันทีไปจัดการ เรื่องนี้ทำให้ทุกคนเสียผลประโยชน์ อย่างไรก็ต้องออกมาหาเหตุผลค้าน
ส่งคนในวังไปเก็บภาษี เคยมีมาก่อน แต่หากไม่มีเหตุผลควร ย่อมทำให้พื้นที่เดือดพล่าน สถานการณ์ยากควบคุม เป็นเรื่องยุ่งยากยิ่ง
และสถานการณ์ตอนนี้ หัวหน้าสำนักส่วนพระองค์เถียนอี้เองไม่สนับสนุน หวังทงเองก็เอาแต่เงียบ ฮ่องเต้ว่านลี่จึงไม่อาจทรงยืนหยัดความคิดเดิม ได้แต่ฮึดฮัดเลิกประชุมขุนนาง
หลังเลิกประชุมขุนนาง ก็รับสั่งให้หวังทงเข้าเฝ้าส่วนพระองค์ดังเดิม จากนั้นก็ยังทรงเอ่ยถึงให้สร้างอีกแห่งให้เหมือนเทียนจิน
สถานการณ์ตอนนี้ไม่ใช่กลบเกลื่อนให้เรื่องผ่านไป หากต้องหาทางรับมือให้ได้ หวังทงกับฮ่องเต้ว่านลี่อยู่ด้วยกันมานาน รู้ว่าฮ่องเต้ตอนนี้ พระอารมณ์นี้ ควรรับมือไปก่อนค่อยว่ากัน
สมองหวังทงแล่นเร็วจี๋ ความจริงนั้นตอนนี้ก็พอมีวิธีลางๆ ขึ้นมาแล้ว เช่น เก็บภาษีร้านค้าเทียนจินทั้งหมด แต่การทำเช่นนี้เป็นการทำให้การค้าตนเองเสียหาย เรื่องนี้หวังทงไม่อยากทำ หรือว่าไปตั้งด่านภาษีที่เมืองกุยฮว่าเฉิง จากเก็บเข้าท้องพระคลังในวังไปเป็นท้องพระคลังแผ่นดิน แต่เรื่องนี้ฮ่องเต้ว่านลี่ย่อมไม่ทรงยอม
“ฝ่าบาท ดำเนินนโยบายป้ายสงบสุขทั่วหล้าเป็นอย่างไรพะยะค่ะ?”
ร้านค้าแขวนป้ายสงบสุข สามารถดำรงความสงบไปได้ พบเรื่องใดก็ตามองครักษ์เสื้อแพรมาจัดการได้ แผ่นดินหมิงไม่มีภาษีการค้า ขุนนางเห็นการเก็บภาษีเป็นเรื่องน่าละอาย แต่ขุนนางกับเจ้าหน้าที่เองก็ขูดรีดร้านค้าเอากันสนุกสนาน ป้ายสงบสุขความจริงนั้นก็เป็นการเก็บภาษีอย่างหนึ่ง ขณะเดียวกันยังทำให้บารมีองครักษ์เสื้อแพรดีขึ้น
“เถียนอี้ เจ้าเห็นเช่นไร?”
“ฝ่าบาท เมืองหลวงและเทียนจินทุกปีเก็บค่าป้ายสงบสุขมาได้สามล้านตำลึง มีหนึ่งล้านห้าแสนตำลึงส่งให้สำนักรักษาความสงบกับทางกองทัพที่เทียนจิน หากใต้หล้าทำตามธรรมเนียมนี้ ทุกปีคงได้มากกว่าสามล้านตำลึง แต่ตอนนี้ป้ายสงบสุขอยู่ในข่ายงานขององครักษ์เสื้อแพร หากขยายไปทั่วทุกมณฑล ใช่ว่าต้องให้องครักษ์เสื้อแพรไปดำเนินการ? ตอนนี้องครักษ์เสื้อแพรแต่ละมณฑลก็มีนายกองพันประจำการ หากให้เก็บภาษี ใช่ว่าต้องมีประจำไปถึงระดับอำเภอ หากไม่ใช้องครักษ์เสื้อแพรจัดการ ก็ย่อมมีพวกมีอิทธิพล แทนที่จะเป็นประโยชน์แก่แผ่นดิน อาจทำร้ายชาวประชาหรือไม่? ขอฝ่าบาททรงไตร่ตรองให้รอบคอบพะยะค่ะ!”
เถียนอี้อายุ 40 กำลังอยู่ในวัยฉกรรจ์ เสียงไม่ได้แหลมเล็กแบบขันทีชรา หากกลับมีน้ำหนักมาก เขาถามกลับขึ้น ก็แสดงท่าทีชัดเจนแล้ว
ฮ่องเต้ว่านลี่ครุ่นคิด หวังทงยืนอยู่ข้างพระวรกายนิ่ง ขมวดคิ้ว วาจาเถียนอี้เหมือนเป็นการเป็นงาน แต่เหมือนมีอะไรสักอย่าง หากมีป้ายสงบสุขเปิดร้านได้ หากทำระบบเช่นนี้ อิทธิพลอำนาจองครักษ์เสื้อแพรก็จะยิ่งขยายอิทธิพล
เรื่องสำคัญสุดของโอรสสวรรค์ก็คือการรักษาสมดุล อำนาจหวังทงได้มาเพิ่มก็ย่อมมีปัญหา ร้านค้ามีป้ายสงบสุข อิทธิพลอำนาจองครักษ์เสื้อแพรขยายขึ้น อำนาจหวังทงก็ยิ่งขยายขึ้น แน่นอนฮ่องเต้ว่านลี่ย่อมไม่อยากทรงเห็นเช่นนี้
วิเคราะห์อย่างละเอียดแล้ว เถียนอี้กล่าวไม่ผิด แต่เขาก็สามารถเปลี่ยนมุมกล่าวได้ การบรรยายเช่นนี้ เห็นชัดว่าคิดเป็นปรปักษ์กับหวังทง เถียนอี้กับหวังทงไม่ได้เป็นพวกเดียวกัน หวังทงก็ไม่ได้หวังว่าจะเป็นมิตรกับตน แต่คิดไม่ถึงอีกฝ่ายจะเป็นปรปักษ์เพียงนี้
“วิธีนี้แม้ว่าใช้ได้ แต่ให้องครักษ์เสื้อแพรไปทั่วใต้หล้า อย่างไรก็ต้องใช้เวลาอีกหลายปี น้ำไกลไม่อาจดับกระหายใกล้ ยังไงก็ควรตองหาทางอื่นก่อน!”
ฮ่องเต้ว่านลี่แม้ว่าหาเหตุปฏิเสธ แต่เห็นได้ว่าเถียนอี้ทำให้ทรงหวั่นไหว หวังทงเงยหน้ามองเถียนอี้กำลังจ้องมองตนเช่นกัน ฮ่องเต้ว่านลี่สีพระพักตร์ร้อนพระทัยไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย
ไม่รอให้ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสถามต่อ หวังทงก็มีรอยยิ้มปรากฏบนสีหน้า ก่อนจะทูลต่ออย่างนุ่มนวลว่า
“ฝ่าบาท งานองครักษ์เสื้อแพรก็คือการสืบราชการลับและรักษาความสงบ ตอนนั้นที่เก็บค่าป้ายสงบสุขก็มีเหตุทำให้ต้องทำ แต่ไม่ควรปล่อยให้เป็นเช่นนี้ไป เรื่องป้ายนี้หากใช้ทั่วหล้า จะให้องครักษ์เสื้อแพรปฏิบัติหน้าที่เดิมไหวได้อย่างไร กระหม่อมคิดว่า เรื่องภาษีเป็นเรื่องใหญ่ใต้หล้า ให้กรมอากรกับท้องที่ไปหารือกันก่อน ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าไรดูดเลือดจากการเก็บภาษี ราชสำนักไร้ผู้สามารถ ท้องที่ก็เหิมเกริม ภาษีจึงได้น้อยลงทุกปีอย่างเห็นได้ชัด เรื่องใหญ่เช่นนี้ อิทธิพลมากมายเช่นนี้ ย่อมเป็นภัยต่อแผ่นดิน”
“ลองว่ามาว่าควรทำเช่นไร เรื่องพวกนี้เราเห็นเป็นประจำ”
ฮ่องเต้ว่านลี่เร่งอย่างรำคายพระทัย หวังทงยิ้มพยักหน้าทูลว่า
“ฝ่าบาท เรื่องใหญ่แห่งแผ่นดิน แน่นอนเป็นคนในวังไปจัดการจึงจะวางใจได้ที่สุด ไม่สู้ตั้งหน่วยงานใหม่ คุมการเก็บภาษีทั่วหล้า เพื่อป้องกันคนอื่นเข้าแทรกแซง หน่วยงานนี้ไม่ขึ้นกับผู้ว่าหรือผู้ตรวจการเขตภาคใดทั้งสิ้น หากให้ขึ้นตรงกับในวัง 2 เมือง 13 มณฑล ทุกอำเภอทุกมณฑล ให้ขุนนางภาษีทั้งหมดไม่ขึ้นกับท้องที่ หากให้หน่วยงานภาษีนั้นดูแลกันเอง ไม่ให้ท้องที่สั่งการ ท้องที่ไม่อาจเข้าข้องเกี่ยว ใช้การเก็บภาษีได้มากเท่าไรเป็นการตัดสินเลื่อนตำแหน่ง”
หวังทงกล่าวถึงตรงนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ฟังจนเคลิ้ม หวังทงพูดถึงตรงนี้ เถียนอี้อดไม่ได้แทรกขึ้นว่า
“หากเพื่อเลื่อนตำแหน่งเช่นนี้ เกรงว่าคงจะขูดรีดกันหนัก ถึงตอนนั้นก็คงต้องเกิดเหตุวุ่นวาย ใช่ว่าเป็นการทำลายการปกครองงั้นหรือ”
เถียนอี้สมกับเป็นพวกเดินตามเส้นทางขุนนางบัณฑิตชิงหลิวแห่งราชสำนักเสียจริง หากเก็บเงินมาไม่ได้ ทำให้เกิดเรื่องใหญ่จริง แต่ราชสำนักหากไร้เบี้ยหวัด แม้แต่จะระงับเหตุก็ไม่อาจระงับได้ จะว่าอย่างไรกัน
“ตั้งค่าภาษี แต่ละแห่งล้วนมีฐานภาษี ตั้งฐานภาษีแล้วก็กำหนดภาษี เช่นภาษีเก็บได้มากกว่าที่ตั้ง ก็เพราะเขาสามารถ หากน้อยไป ก็เพราะเขาบกพร่อง ตั้งหน่วยงานนี้ก็สามารถถือโอกาสตรวจสอบที่ดินใต้หล้าได้อีก และยังมีรายละเอียดร้านค้าใต้หล้าได้อีกด้วย”
ฮ่องเต้ว่านลี่พยักพระพักตร์หงึก ยามนี้ตบพระหัตถ์ตรัสว่า
“ความคิดนี้ไม่เลว ทำแล้วได้ผลเลย หน่วยงานนี้เรียกชื่ออะไรดี?”
“ฝ่าบาท กองงานภาษีแห่งแผ่นดิน ดีไหมพะยะค่ะ?”
“กองงานการทหาร กองงานการเงิน กองงานสุราอาหาร ไม่เลว วันหน้า 24 หน่วยงานก็จะเป็น 25 หน่วยงาน”
ฮ่องเต้ว่านลี่ยิ้มพยักพระพักตร์ตรัสชึ้น คำว่า ‘กองงาน’ เป็นที่ทำการทางการ ใช้กับหน่วยงานที่เกี่ยวกับในวัง กองงานภาษีแห่งแผ่นดิน ฟังแล้วรู้เลยว่ามาจากในวัง
“ฝ่าบาท ใต้เท้าหวังคิดวิธีได้แยบยล แต่ทว่าจากเมืองหลวงไปยังหน่วยงานต่างๆ จากเตรียมการไปจนจัดตั้งไม่รู้ต้องใช้เวลาเท่าไร ไม่พูดถึงเรื่องนี้ก่อน เอาแค่เสียงโต้แย้งในราชสำนักก็เกรงว่าจะต้องอีกหลายปี ยังไงก็ควรใช้วิธีการเร่งด่วนดีกว่า”
เถียนอี้ทูลต่อ ฮ่องเต้ว่านลี่ผินพระพักตร์เหล่มอง สีพระพักตร์นิ่งเฉย เถียนอี้สะดุ้ง ถวายคำนับถอยหลัง ฮ่องเต้ว่านลี่หันกลับมา ก่อนจะเหมือนตรัสใส่เถียนอี้ว่า
“หวังทง คิดหาวิธีที่เร็วที่สุด ตอนนี้เห็นเงินทองในท้องพระคลังน้อยลงไปสักหน่อย แม้ตอนนี้ยังไม่มีอะไร แต่เราก็ร้อนใจมาก!”
ฮ่องเต้ว่านลี่ใส่พระทัยกับเรื่องภาษีมาก ไม่ใช่เพียงแต่วันนี้ แต่ทว่าวันนี้เหตุโต้แย้งในราชสำนักทำให้ฮ่องเต้ว่านลี่มีความดื้อดึงจะหาช่องทางให้ได้
“ฝ่าบาท เมืองซงเจียงเปิดท่าดีไหมพะยะค่ะ?”
หวังทงอยู่ๆ แวบคิดขึ้นมาได้ ทูลออกไปทันที