องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 969 เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง อากาศเริ่มเย็น
โลกนี้ไม่มีกำแพงที่ไร้ลมผ่าน เมืองซงเจียงจะเปิดท่าการค้า ข่าวนี้เริ่มแพร่ไปทั่วเมืองหลวงในวันต่อมาทันที เริ่มแรกก็แค่ข่าวแพร่กันไป อย่างไรก็เป็นงานแผ่นดิน ผู้ใดก็ไม่กล้ารับรองว่าจากนี้ไปจะเป็นเช่นไรต่อ
แต่ทว่าปลายเดือนหก เจิ้งกั๋วไทน้องชายฮองเฮาเจิ้งก็ไปเทียนจิน เบิกเงินจากร้านเงินสามธาราก้อนโตเดินทางโดยเรือลงใต้ เรื่องนี้ทำให้ทุกคนล้วนกระจ่าง
ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 5 พ่อค้าเทียนจิน เงินทุนไม่กี่ร้อย ขอเพียงไม่ทำอะไรผิดพลาดในสองสามปี ถึงตอนนี้ต้องมีเงินในมือถึง 50,000 ตำลึงได้ นี่เป็นสถานการณ์ดังเช่นตอนเทียนจินเปิดทะเล คิดจะไม่รวยก็คงไม่ได้ โอกาสนี้อย่างไรก็ต้องมีคนจ้องมองตาเป็นมัน กลัวไปไม่ทัน
ตอนนี้มีตัวอย่างความสำเร็จจากเทียนจิน เมืองซงเจียงจะเปิดท่าทะเล ทุกคนหากยังไม่รีบคว้าโอกาสไว้ ก็ย่อมเรียกว่าโง่เต็มที
แม้ว่าจะยังสงสัย แต่น้องชายพระสนมเอกเจิ้งรีบไปแล้ว ก็เป็นการรับประกันได้ดีที่สุดแล้ว ตอนนี้ตระกูลเจิ้งเป็นตระกูลชนชั้นสูงอันดับหนึ่งยังนำเงินทองรีบไป ยังจะรออะไรอีก
พวกมาอำนาจวาสนาในเขตปกครองเหนือที่ไม่ทันความรุ่งเรืองของเทียนจิน ยามนี้รีบพากันไป นำเงินไปก้อนโต หากไม่ใช่ร้านประกันภัยสามธาราสะสมเงินไว้ก้อนโต สามารถให้ร้านเงินสามธาราโยกไปก่อนได้ ในเวลาสั้น ๆ เกรงว่าร้านเงินสามธาราคงเกือบหาเงินมาให้ไม่ได้
แต่ทว่าเครือข่ายสามธาราไปก่อนแล้ว ร้านประกันภัย ร้านเงิน ร้านค้า พากันนั่งเรือเร่งลงใต้
ไม่ว่าเมืองซงเจียงจะเป็นเช่นไร แต่มีเรื่องหนึ่งที่มั่นใจได้ ก็คือคนที่ได้ประโยชน์มากที่สุดก็คือพวกหวังทง การที่ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ค้าน ขุนนางร่ำรวย เป็นนายย่อมดีใจด้วย ขอเพียงไม่คุมไว้คนเดียวก็พอ
ความจริงนั้นที่เจิ้งกั๋วไทเร่งเดินทางไป ก็เป็นเพราะได้รู้ข่าวเครือข่ายสามธาราลงทุนก้อนโตที่แดนใต้ ทำให้เข้ารู้สึกเป็นหลักประกันได้
เรื่องเมืองซงเจียงเปิดท่าการค้า บรรดาขุนนางราชสำนักมีท่าทีหลากหลาย คนที่ควรออกความเห็นที่สุดก็คือกรมอากรแต่เพราะซ่งซวินหลุดวาจาออกมาครานั้น ทำให้ไม่กล้าส่งเสียงอีก คนอื่น ๆ คิดเช่นไร ก็คิดไม่ออกว่ามีเหตุผลใดไม่ควร
หากก็ยังมีขุนนางใหญ่ที่เรียกตนว่ามือสะอาดและขุนนางบัณฑิตพากันยื่นฎีกาการค้าที่ทำกำไรมากมาย คิดว่าหากปล่อยนานไป ใช่ว่าทำลายคุณธรรมหรือ คุณธรรมคำสอนศีลธรรมอยู่ที่ใดกัน ขณะเดียวกันกับที่ยื่นฎีกา ก็เขียนจดหมายไปบ้านตน ให้คนที่บ้านรีบไปเมืองซงเจียง อย่าได้เสียเวลาร่ำรวย
….
“ข่าวน่าจะจากฮองเฮาไปถึงเจิ้งกั๋วไท จากนั้นก็แพร่ไปทั่วเมืองหลวง”
หลี่เหวินหย่วนกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบ สำนักรักษาความสงบหาที่รั่วไหลของข่าวมาได้ง่ายมาก หวังทงยิ้มกล่าวว่า
“ในเมื่อฝ่าบาทกับฮองเฮาตรัสแล้ว แน่นอนต้องคิดเรื่องนี้ได้ พวกเราไม่ต้องรีบร้อน ข่าวแพร่ออกไป เมืองซงเจียงในช่วงระยะเวลาอันสั้นนี้ก็ย่อมมีพ่อค้ามารวมกันมาก ก็กำลังจะรุ่งแล้ว แต่ทว่าจะว่าไป ไปก่อนย่อมรวยก่อน มีข่าวแพร่ออกมา ทหารเรือทางเขตปกครองใต้ก็ดูแลไม่ได้เข้มงวดเหมือนทางทะเล เรือจำนวนมากย่อมไปทางนั้น ตอนนี้เรื่องเก็บภาษียังไม่พร้อม ทำการค้าได้กำไรเท่าไรก็เป็นของตนแล้ว”
“น้องหวัง เรื่องเทียนจินข้ารู้มาบ้างแล้ว หากเมืองซงเจียงรุ่ง เทียนจินใช่ว่าล่มหรือ ที่นั่นเป็นฐานของน้องหวังนี่”
“ไม่เป็นไร การค้าแผ่นดินหมิงกว้างใหญ่ เทียนจินทำการค้าตอนเหนือ เมืองซงเจียงทำการค้าตอนใต้ กินกันคนละส่วน หลังเมืองซงเจียงเปิดท่าการค้า เครือข่ายสามธาราก็จะไปร่ำรวยที่นั่นด้วย ยังมีช่องทางอีกมากมาย เทียนจินตอนนี้เงินทองมากมาย ใต้หล้าล้วนจับจ้อง มีเมืองซงเจียงมาอีกแห่ง ทุกคนก็จะได้ไม่จับจ้องแต่เทียนจินแล้ว”
หลี่ว์วั่นไฉได้ยินคำตอบหวังทง ก็รู้สึกยอมรับจึงพยักหน้า หวังทงยกถ้วยชาขึ้นดื่ม กล่าวต่อว่า
“โจวกงกงมีข่าวออกมาว่า เถียนอี้ไม่เป็นมิตรกับข้า บอกทุกคนทำงานให้ระวังรอบคอบหน่อย อย่าได้ถูกเถียนอี้จับผิดเอาได้”
หลี่ว์วั่นไฉส่ายหน้ากล่าวว่า
“เถียนอี้นี่เรียนหนังสือจนสมองพังไปแล้วแน่ แค่ขุนนางฝ่ายในคนเดียว จะไปเลียนแบบพวกขุนนางบุ๋นข้างนอกทำไมกัน น้องหวังเคยได้ยินมาไหมว่า ครั้งก่อนเขตปกครองเหนือมีสอบ เถียนอี้ฝากคนเอาบทความตนแอบไปส่งด้วย ผลปรากฏขุนนางสอบให้บทความเขาผ่านเข้ารอบ เขารู้สึกภาคภูมิใจมาก ได้ใจอย่างยิ่ง ไม่รู้จริงว่าคิดอะไรกัน”
ความจริงนั้นขันทีก็เป็นบัณฑิตร่ำเรียนหนังสือ ได้รับการศึกษาแบบบัณฑิตข้างนอกวัง ขันทีไม่อาจเข้าร่วมการสอบขุนนาง ซึ่งถือเป็นความปรารถนาของพวกเขา เถียนอี้ทำเช่นนี้ก็คิดโยงได้
“ไม่ต้องสนใจเขา ข้ายืนมั่นคงในราชสำนักแล้ว ไม่ได้อาศัยสำนักส่วนพระองค์ จะว่าไป เขาก็แค่หัวหน้าสำนัก ไม่ได้เหมือนเฝิงเป่าหรือจางกงกงเสียหน่อย ปล่อยเขาไป!”
หวังทงตอบอย่างไม่ยี่หระ หัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ไม่ถูกใจเจ้า ปล่อยไว้เหมือนไฟข้างตัวที่คุกรุ่น แต่หวังทงกลับไม่สนใจ เถียนอี้แม้ว่าจะออกมาขัดบ่อย แต่ฮ่องเต้ว่านลี่หันพระพักตร์ไปจ้องมองหลายรอบ แสดงให้เห็นอะไรได้หลายอย่าง หากจางเฉิงกับเฝิงเป่าพูด ฮ่องเต้ว่านลี่ย่อมไม่ทรงมีท่าทีเช่นนั้นเป็นอันขาด
หลี่ว์วั่นไฉยิ้มพยักหน้า พูดกันตามตรง ในใจเขาไม่แน่ใจนัก แต่พอเห็นหวังทงตอบอย่างมั่นใจมาก ก็วางใจลง เขาใช้พัดเคาะฝ่ามือก่อนจะกล่าวว่า
“เมืองเหลียวโจวตอนนี้ส่งคนจำนวนมากมาดำเนินการอยู่เมืองหลวง แต่ละหน่วยงาน ก็มีคนไปเตรียมการกับกรมทหาร กับกรมอากร ยังมีคงไปเดินสายขุนนางใหญ่แต่ละแห่ง เพื่อให้คนเหล่านี้ช่วยเอ่ยปากในราชสำนักให้มากหน่อย”
“ยังมีคนมาจับตาดูใต้เท้าอีก เหตุเกิดในองครักษ์เสื้อแพรแม้ลมพัดยอดหญ้า พวกเขาก็ล้วนต้องรู้”
หลี่ว์วั่นไฉยังกล่าวไม่จบ หลี่เหวินหย่วนก็แทรกขึ้น หวังทงยิ้มไม่พอใจนัก กล่าวว่า
“ตอนนี้หน้าประตูจวนก็มีสามคน ยังมีองครักษ์เสื้อแพรสองสามคนจากเมืองเหลียวโจวกลับมา ล้วนเป็นตระกูลหลี่ส่งมาจับตาดู หากมีใจเช่นนี้เอาไปใช้ในการสงครามก็คงดี กลับมาทำกับเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ได้”
….
ความจริงนั้นวิธีการหลี่เฉิงเหลียงถือว่าเชี่ยวชาญ ขุนพลใหญ่นำทหารออกศึก เสบียงพร้อม แต่ละหน่วยให้ความสำคัญรองรับ อย่างไรก็ต้องเตรียมงานราชสำนักให้ดี หรือว่าเจ้านำทหารออกศึก ด้านหลังปล่อยให้มีขุนนางออกมาโจมตี หรือว่ามีใครออกมาคุ้ยหาความผิดใส่ ก็ย่อมยุ่งยากใหญ่แล้ว
หวังทงนำทหารออกศึกหลายครั้ง ด้านหลังล้วนลุกเป็นไฟ ราชสำนักโจมตีไม่หยุด หลายคนขัดแย้งถึงขั้นไปถึงตัวฮ่องเต้ว่านลี่ นี่คือสิ่งที่หวังทงทำไม่ได้
จากมุมมองหลี่เฉิงเหลียง เขากับหวังทงมีเรื่องกันไม่น้อย ไม่พูดเรื่องอื่น แค่หากหวังทงหาเรื่องใดสักอย่างในขณะที่เขาออกศึก ก็ย่อมทำให้ยุ่งยาก
เกี่ยวกับข่าวเมืองเหลียวโจว ละเอียดที่สุดก็ย่อมมาจากซุนโส่วเหลียน ตามที่ตกลงกัน ทุกห้าวันจะส่งข่าวจากทางทะเลและทางบกมา หากมีเรื่องเร่งด่วน ก็จะส่งคนมาโดยเฉพาะอีกทาง
ฉินเต๋ออี่กับหลี่ผิงหูสองคนถูกลดตำแหน่ง และส่งหลี่หรูจางไปคุมพวกเขา ก็เพื่อเป็นทัพหน้าบุกทำความดีชดใช้ความผิด
ทหารแต่ละหน่วยในเมืองเหลียวโจว นอกจากพวกที่ต้องเหลือไว้เฝ้าฐานแล้ว ที่เหลือล้วนยกทัพไปเสิ่นหยาง หลี่เฉิงเหลียงครั้งนี้ให้ความสำคัญอย่างมาก ใช้ท่าทีราชสีห์ล่ากระต่ายมาจัดการกับชาวเผ่าหนี่ว์เจิน ใช้กำลังทัพใหญ่ราวเขาไท่ซานมาจัดการ ย่อมได้ชัยเหนือศัตรู
แม้หวังทงไม่ได้รู้สึกดีอันใดกับตระกูลหลี่ที่ไม่ได้เป็นขุนพลทหารที่มุ่งเพื่อแผ่นดิน แต่เขาไม่อาจปฏิเสธได้ว่า การเตรียมการของหลี่เฉิงเหลียงครั้งนี้ การต่อสู้ย่อมไร้ปัญหา เดาว่าต้องได้ชัยที่ยิ่งใหญ่มีเกียรติยศได้
แต่ทว่าที่ทำให้หวังทงรู้สึกไม่สบายใจกลับเป็นเขาไม่ค่อยได้รับข่าวจากทางเผ่าหนี่ว์เจินมากนัก นี่ไม่ใช่เพราะเมืองเหลียวโจวตั้งใจปิดข่าวไม่ให้เขารู้ แต่จากที่รู้มา แม้แต่เมืองเหลียวโจวเองก็ได้ข่าวมาไม่มาก รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ก่อนหวังทงทำศึกก็ล้วนศึกษาข้อมูลศัตรูมารอบด้าน หลี่เฉิงเหลียงเป็นแม่ทัพมานาน คิดว่าก็คงเป็นเช่นนี้
ตามข่าวจากซุนโส่วเหลียน ตอนนี้นอกกำแพงเมืองชายแดนเหลียวโจว เผ่าหนี่ว์เจินแต่ละเผ่าล้วนตัดการข่าวกับแผ่นดินหมิง ไม่ยอมให้ความร่วมมือ เมื่อก่อนยังมารายงานข่าวกันเอง แต่ตอนนี้กลับไม่เหมือนเดิมแล้ว
นี่เป็นเรื่องที่น่าแปลกประการหนึ่ง เผ่าหนี่ว์เจินเจี้ยนโจวนับเป็นเผ่าหนี่ว์เจินที่มีกำลังเข้มแข็งที่สุด หลายปีนี้มีชนเผ่าไม่น้อยไปสวามิภักดิ์ แต่ก็ไม่อาจรวบรวมเผ่าหนี่ว์เจินทั้งหมดให้เป็นหนึ่งดังหวัง ยังมีอิทธิพลอำนาจหลายแห่งมองเป็นศัตรู เช่น เผ่าเย่เฮ่อ เผ่าเย่เฮ่อเห็นเจี้ยนโจวเป็นศัตรู แต่กลับสนิทสนมกับแผ่นดินหมิงมาก
แต่ตอนนี้เผ่าเย่เฮ่อก็ไม่ได้นำข่าวใดมาให้แผ่นดินหมิง ใช่ว่าไม่มีข่าว แต่บอกว่าทุกอย่างปกติ ไม่มีข่าวรายงาน
‘ทุกอย่างปกติ’ คำนี่ก็เรียกว่าไม่ปกติแล้ว
เมืองซงเจียงเปิดท่าการค้าเริ่มเป็นที่วิจารณ์ เมืองเหลียวโจวกำลังเครียดกับการเปิดศึก แต่ในเวลาที่ไม่ปกตินี้ ตระกูลปัวย้ายไปเมืองกุยฮว่าเฉิง จากนั้นก็สร้างผลงานทันที
ทหารตระกูลปัวกับหนิวเกินกังและผู้ทรงอิทธิพลอีกสามคนในเมืองกุยฮว่าเฉิงอยู่ทางตะวันตกของหนิงเซี่ย เปิดศึกใหญ่กับกองกำลังเผ่าชื่อจินฉากหนึ่ง ได้ชัยชนะใหญ่ กวาดต้อนสัตว์เลี้ยงและเงินทองได้มามากมาย
มีพวกตระกูลปัวที่ชำนาญการทุ่งหญ้าตะวันตกมาร่วม กลุ่มพ่อค้าเมืองกุยฮว่าเฉิงนับวันยิ่งขยายอิทธิพลบนทุ่งหญ้าตะวันตกมากขึ้น ตระกูลปัวก็วางตัวเป็น เลือกม้าดีสามสิบตัวส่งมายังเมืองหลวงกำนัลแด่ติ้งเป่ยโหว
ทางทุ่งหญ้าตะวันออก กลุ่มพ่อค้าเมืองกุยฮว่าเฉิงกับทหารเมืองเซวียนฝู่ขับไล่เผ่ามองโกลออกไปจากเขาเยี้ยนซาน เข้าใกล้เขตอิทธิพลเผ่าเคอเอ่อร์ชิ่น บางทีการต่อสู้ที่เหมืองทองหม่านเท่าเอ๋อร์ทำให้พวกเขาได้เห็นกำลังแท้จริงของกลุ่มพ่อค้าติดอาวุธ เผ่าเคอเอ่อร์ชิ่นไม่อาจต้านทานได้ กลุ่มพ่อค้าติดอาวุธปักเขตเพาะปลูก ปะทะกลุ่มอิทธิพลบนทุ่งหญ้าครั้งแรกก็คือเผ่าเคอเอ่อร์ชิ่น และก็เผ่าฉาฮาเอ่อร์ที่แต่ไรมาก็ไม่เคยได้เข้าสู่พื้นที่นี้
แต่ทว่าทางนี้ก็มีความยุ่งยากหนึ่ง เพราะมีเขากำบังมาก สินค้าหลายอย่างส่งไป ก็ต้องส่งจากเมืองเซวียนฝู่ ไม่สะดวกนัก หากใช้เส้นทางกองกำลังมี่อวิ๋นที่กู่เป่ยโข่วจะใกล้กว่า แต่ที่นี่ส่งได้บางครั้งเท่านั้น เพราะหากจะนำคนและสินค้าผ่านไป ก็ย่อมต้องกระทบถึงเมืองหลวง
อย่างไรกองกำลังมี่อวิ๋นก็เป็นกำบังเมืองหลวง มีการเคลื่อนไหวผ่านทางมา กรมทหารกับสำนักอาชาหลวงล้วนต้องถาม พ่อค้าแต่ละร้านค้าอย่างไรก็ต้องส่งคนไปดำเนินการเปิดทางที่เมืองหลวง
เข้าสู่เดือนแปด อากาศเริ่มเย็น