องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 972 ใช่ว่าเหนือความคาดหมาย
วันที่ 20 เดือนเก้าปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 15 ทัพใหญ่เมืองเหลียวโจวรวมกำลังที่เสิ่นหยางเรียบร้อย เข้าไปตามทางตะวันออกของแม่น้ำหุนเหอ ไปพักที่กองพันฝู่ซุ่น จากนั้นก็ออกจากด่านฝู่ซุ่นกวนไป เข้าสู่เจี้ยนโจว
ผู้บัญชาการทหารเมืองเหลียวโจวครั้งนี้รวมทัพใหญ่แปดหมื่น ในนี้มีทหารม้าหมื่นสองพันกว่า ส่วนใหญ่เป็นทหารในสังกัดขุนพลทหาร จำนวนนี้นับว่าเทียบได้กับขนาดทัพที่ยกไปปราบตัวหลุนทางตะวันตกเมื่อปีก่อนของทัพใหญ่เมืองเหลียวโจว
การต่อสู้ครั้งนี้ หลี่ผิงหูกับฉินเต๋ออี่ล้วนนำทัพหน้า นำทหารอยู่ด้านหน้าสุด เป็นงานที่อันตรายและยากลำบากที่สุด ไม่มีทางเลือก หลังแพ้มา ได้แต่ทำความชอบชดใช้ความผิด หลี่เฉิงเหลียงเองนำทัพใหญ่ กองหลังเป็นรองแม่ทัพซุนโส่วเหลียน เมืองเหลียวโจว
กองหลังมีหน้าที่ส่งเสบียงและคอยอารักขาด้านหลังทัพใหญ่ และคอยรักษาทหารบาดเจ็บ พูดให้ถูกก็คือทำงานจิปาถะในกองทัพ เจี้ยนโจวติดเมืองเหลียวโจว ความจริงนั้นไม่มีสิ่งที่เรียกว่าเส้นทางขนเสบียงอันใด สำหรับเรื่องทหารบาดเจ็บ กองหนุนแทบจะตั้งอยู่ส่วนในของเมืองเหลียวโจว ย่อมมีขุนพลทหารประจำดูแล
ซุนโส่วเหลียนไม่รู้จะทำเช่นไร เขาก็พอเข้าใจความต้องการของหลี่เฉิงเหลียง หลี่ผิงหูกับฉินเต๋ออี่แม้ว่าพ่ายแพ้มา แต่ครั้งนี้เมืองเหลียวโจวทุ่มกำลังลงไปมาก ชัยชนะก็เหมือนกับอยู่ตรงหน้าแน่นอนแล้ว มีชัยชนะ แน่นอนก็ย่อมมีความชอบ ซุนโส่วเหลียนตอนนี้มีพื้นที่ของตนเอง รักษาภาคตนเอง ไม่ใช่คนกันเองของเมืองเหลียวโจว ไยต้องแบ่งความชอบให้เขาด้วย
ดีที่ซุนโส่วเหลียนคิดตก ได้รับตำแหน่งรองแม่ทัพประจำภาค ตอนนี้ยังร่วมมือกับเทียนจินร่ำรวยใหญ่ ทำอะไรก็ได้ตามต้องการ จึงไม่คิดมาก
ออกเดินทางจากเสิ่นหยางไปถึงด่านฝู่ซุ่นกวน ก็ต้องใช้เวลาสองสามวัน วันที่ 25 เดือนเก้า ทัพใหญ่ก็เข้าใกล้ซาเอ๋อร์หู่
เผ่าหนี่ว์เจินที่เดิมเหมือนเห็นไม่ชัดเจน ตอนนี้ฟ้ากลับเปิด มองเห็นกระจ่างชัด มีคนกล่าวว่านี่เป็นบารมีแม่ทัพใหญ่ พวกนอกด่านแตกตื่นตกใจ ไม่อาจสนใจอันใด พากันหลบ
นี่เป็นคำเยินยอ ความจริงนั้นทุกคนล้วนรู้ตอนนี้พวกนอกด่านไม่จำเป็นต้องปิดบังแอบซ่อนอีก เพราะทหารพวกเขาไปรวมตัวกันที่ป้อมเจี้ยฝานไจ้แล้ว ตอนนี้มีทหารหมื่นกว่า ดูแล้วน่าใกล้เปิดศึกใหญ่แล้ว
สถานการณ์ตอนนี้เป็นพวกนอกด่านเผ่าหนี่ว์เจินกำลังเคลื่อนกำลังรบเผด็จศึก เมืองเหลียวโจวนำทัพใหญ่มาเกือบแสน เผ่าหนี่ว์เจินแห่งเจี้ยนโจวนี้สามารถเคลื่อนกำลังหมื่นกว่า ก็แทบจะหมดหน้าตักแล้ว นี่ยังเป็นช่วงอิทธิพลเผ่าหนี่ว์เจินแห่งเจี้ยนโจวที่ขยายกำลังออกมาไม่น้อยแล้ว พวกเขานำกำลังออกมาได้แปดพันนับว่ามากแล้ว หากครานี้ได้ตั้งหมื่นกว่า
แสนกว่าต่อหมื่นกว่า ขุนพลเมืองเหลียวโจวล้วนยิ้ม พวกป่าเถื่อนพวกนี้ได้ชัยไปหลายครั้ง จึงได้ลืมตัว คิดจะเอาไข่มากระทบหิน ตนเองรนหาที่ตายก็ย่อมไม่มีผู้ใดคิดจะสงสาร ผลงานเมืองเหลียวโจวคาดว่าอยู่ไม่ไกลแล้ว
“ปากทางเขาซาเอ๋อร์หู่ ที่นี่ผ่านออกไปได้ครั้งละไม่มาก เป็นพื้นที่เหมาะแก่การตั้งค่าย หลี่หรูป๋อนำทหารรักษาการจุดนี้ ห้ามผิดพลาดเด็ดขาด”
“ท่านพ่อ ข้าเข้าบุกได้ มาหยุดที่ซาเอ๋อร์หู่ทำไมกัน ให้…”
“นี่เป็นคำสั่ง!!”
ขณะกำลังหารือเรื่องการเดินทัพ หลี่เฉิงเหลียงตำหนิหลี่หรูป๋ออย่างไม่ไว้หน้า เขาอย่างไรก็เป็นแม่ทัพใหญ่มานาน ปราบมาทั่วสี่ทิศ แต่ในกระโจมนี้ นอกจากรองแม่ทัพหม่าหลิน คนที่เหลือล้วนเป็นเครือญาติลูกหลานหรือไม่ก็บุตรบุญธรรม หลี่หรูป๋อจึงไม่ได้รักษาธรรมเนียม
ถูกหลี่เฉิงเหลียงตำหนิรุนแรงเช่นนี้ หลี่หรูป๋อรีบรับคำสั่ง
“ป้อมเจี้ยฝานไจ้เป็นบริเวณสบแม่น้ำหุนเหอกับแม่น้ำซูจื่อเหอ แม้ว่าป้อมเจี้ยฝานไจ้อยู่ที่สูง แต่ป้อมเจี้ยฝานไจ้พื้นที่แคบ ไม่อาจมีพื้นที่พอสำหรับทหารจำนวนมาก พื้นที่ด้านล่างป้อมเจี้ยฝานไจ้เป็นที่ราบ พวกเขาย่อมตั้งค่ายพักที่นี่ เปิดศึกสู้กันก็ย่อมเป็นที่นี่”
ทุกคนล้วนเป็นพยักหน้า ขุนพลทหารในกระโจมล้วนคุ้นเคยพื้นที่ เมื่อก่อนพวกเขาต้องรับมือเผ่าไท่หนิงกับตั่วเหยียน นำกำลังออกรบนอกด่าน จึงพอรู้เรื่องทางนี้พอสมควร
“แม่ทัพใหญ่ ในเมื่อพวกนอกด่านทางตะวันออกบุกออกมา ข้าน้อยนำกำลังไปตัดเส้นทางเสบียงของพวกขาสองแห่งที่หม่าเอ่อร์ตุ้นกับที่กู่เล่อดีไหม?”
เห็นการจัดการของหลี่เฉิงเหลียง รองแม่ทัพหม่าหลินก็ออกมาคำนับขอออกศึก เขาก้าวออกมาคำนับ บรรดาขุนพลตระกูลหลี่ในกระโจมก็สบตากัน ล้วนไม่พอใจ หม่าหลินเป็นทหาร แต่ทั้งวันเอาแต่แต่งกายแบบบัณฑิตถือพัดจีบ เอาแต่คุยบทกลอนบทกวี เลียนแบบพวกมีความรู้ลัทธิขงจื่อ ขุนพลเมืองเหลียวโจวแต่ไรมาก็ดูแคลน
“ไม่ต้อง ศึกนี้จะต้องชนะเท่านั้น ทัพเราไม่อาจรับผลผิดพลาดใดๆ ได้ ตอนรับศึกต้องทุ่มกำลังทั้งหมดลงไป จัดการปราบพวกนอกด่านทางตะวันออกให้สิ้นซาก หากเป็นแบ่งกำลังออกไปตัดกำลังศัตรู กลับเป็นการง่ายที่จะทำให้ศัตรูหนีกระจัดกระจาย ทัพเราตามไม่ทัน ถึงตอนนั้นกลับต่อยหมัดใส่อากาศ เสียความตั้งใจเดิมในการนำทัพออกศึกครานี้”
“ข้าน้อยบุ่มบ่าม แม่ทัพใหญ่อย่าได้ตำหนิ”
หม่าหลินเป็นคนเข้าใจเรื่องราวในวงการขุนนางมาก รีบคำนับรับคำ หลี่เฉิงเหลียงพยักหน้า หากหม่าหลินไม่ใช่รองแม่ทัพ เขาเองคงไม่พูดมากเช่นนี้ หลี่เฉิงเหลียงไม่กะให้ซุนโส่วเหลียนได้รับความชอบครั้งนี้ เช่นกันกับหม่าหลิน
รองแม่ทัพซุนโส่วเหลียนประจำเหลียวหนานจึงไม่เข้าร่วมการหารือเรื่องการศึกเสียเลย เอาแต่อยู่กองหนุนยุ่งกับงานเสริมประสิทธิภาพกองทัพ เบื้องบนแม้ว่าไม่เห็นเขา แต่คนตรงหน้าใช่ว่าไม่รู้ดีชั่ว ผู้ใดไม่รู้ว่ารองแม่ทัพซุนทำการค้าเก่งกาจ ทุกคนย่อมคิดจะร่ำรวย ก็ต้องอาศัยโอกาสนี้ช่วยงานรองแม่ทัพซุนให้มาก
ซุนโส่วเหลียนเองมีงานที่ต้องทำทุกวัน ทุกวันต้องมีม้าเร็วจากเขาออกไป ม้าวิ่งเข้าด่านไม่หยุดเพื่อนำข่าวไปส่งหวังทง
เรื่องนี้ไม่ได้ปิดบังผู้ใด และก็ไม่ใช่การส่งข่าวให้ศัตรู ข่าวในสนามรบรายงานขุนนางใหญ่ราชสำนัก เหมือนว่าเป็นเรื่องที่ควรกระทำ และทุกคนในกองหนุนก็ล้วนนับถือหน้าตานี้ของรองแม่ทัพซุน จากเสิ่นหยางไปเมืองหลวง เส้นทางต้องมีที่พักระหว่างทางจึงจะสามารถรับประกันความเร็วและราบรื่นของการข่าว ไม่มีม้าร้อยกว่าตัว คนร้อยคนช่วยเหลือ ไม่อาจทำเรื่องเช่นนี้ได้
*************
“ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามระเบียบแบบแผน กลับทำให้ข้ารู้สึกไม่วางใจ!”
ข่าวส่งมาถึงมือหวังทงไม่ขาด กลับทำให้หวังทงวิเคราะห์เช่นนี้ออกมา
“นู่เอ่อร์ฮาชื่อกรำศึกมานานหลายปี ยังเคยประจำอยู่สนามฝึกทหารเมืองเหลียวโจว เรื่องการรบจะไม่รู้ได้อย่างไร รวมกำลังทหารที่ราบเช่นนี้เท่ากับสู้ตาย แม้ว่าเป็นทหารกล้าเผ่าหนี่ว์เจิน แต่จำนวนเหมือนว่าต่างกันมากเกินไป นู่เอ่อร์ฮาชื่อย่อมไม่รนหาที่ตายเช่นนี้แน่นอน”
ยามตนอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ ย่อมมีหลายเรื่องไม่อาจวิเคราะห์กระจ่าง หลี่เฉิงเหลียงอยู่ท่ามกลางสนามรบ ก็ใช่ว่าจะไม่เป็น คนที่สามารถอยู่เมืองหลวงฟังหวังทงวิเคราะห์การทหารไม่มากนัก หม่าซานเปียวกับเฉินต้าเหอล้วนไม่ชำนาญการวางกลศึก คนที่เหลือก็อยู่เมืองกุยฮว่าเฉิงไม่ก็เมืองเทียนจิน
หวังทงกล่าวขึ้น หม่าซานเปียวกล่าวว่า
“ข่าวที่ส่งมาข้าได้อ่านแล้ว พวกทหารนอกด่านทางตะวันออกองอาจกล้าหาญกว่าทหารแผ่นดินหมิงทั่วไป กล้าบุก ไม่กลัวตาย แต่อย่างไรก็คงไม่อาจสู้กันแบบหนึ่งต่อสิบ นับประสาอันใดกับทหารเมืองเหลียวโจวนับแสนครั้งนี้ที่ล้วนเป็นทหารในสังกัด ไม่ว่าคิดอย่างไร พวกนอกด่านทางตะวันออกมีแต่ตายกับตายเท่านั้น”
เผ่าหนี่ว์เจินแต่ละเผ่ามีสายสัมพันธ์นายบ่าว แต่อย่างไรก็มีชีวิตแบบสังคมโบราณ ขูดรีดกันไม่มาก มีชีวิตที่ดีกว่าชาวนาแผ่นดินหมิงอยู่บ้าง คนทางเหนือยังมีรูปร่างสูงใหญ่ รูปแบบสังคมโบราณกับการล่าสัตว์หาปลาทำให้พวกเขามีความสามารถทางการรบและองอาจกว่าทหารทั่วไปมาก
เหล่านี้ล้วนเป็นข้อได้เปรียบพวกเขา ทหารราบแผ่นดินหมิงมักเป็นชาวนาถืออาวุธออกรบ เบี้ยหวัดและเสบียงถูกหัก ปกติถูกด่าทอกดขี่ราวกับทาส ขวัญทหารไม่ต้องกล่าวถึง เทียบกันเช่นนี้ แน่นอนแพ้ชนะชัดเจน ทัพใหญ่เมืองเหลียวโจวเกือบแสน มีทหารเจ็ดส่วนที่เป็นเช่นนี้
แต่เมืองเหลียวโจวมีชื่อเสียงทั่วหล้าด้วยเหตุใด ก็เพราะว่ามีทหารในสังกัดนับหมื่น อาวุธยุทโธปกรณ์ดี มีทหารอาชีพที่กล้าบุกสู้ตาย สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นแกนกลางเมืองเหลียวโจว ต่อหน้ากองกำลังขุนนางบู๊อันดับหนึ่งแผ่นดินหมิง เผ่าหนี่ว์เจินนับหมื่นจะกระไรนัก
เพราะแผนอันตรายเช่นนี้ ดังนั้นในใจหวังทงจึงรู้สึกไม่มั่นใจ การต่อสู้เป็นตายเป็นเรื่องใหญ่ จะให้รับมืออย่างไม่รอบคอบได้อย่างไร ทำเช่นนี้ ย่อมมีแต่เสียเปรียบ
“หลี่เฉิงเหลียงทำเช่นนี้ก็ทำตามระเบียบแบบแผน ทัพใหญ่รวมพลต่อยหมัดออกไป พวกนอกด่านแม้มีแม่ทัพโดดเด่นขึ้นมาสักคน คิดจะโจมตีพิสดาร แต่ต่อหน้าทัพใหญ่เช่นนี้ พวกเขาก็คงไม่อาจทำอันใดได้ ทัพใหญ่ลงมือ แม่ทัพเก่งกล้าทั้งหลายล้วนต้องย่อยยับ นี่คือวิธีการที่ดีรอบด้านที่สุด!”
วาจาเฉินต้าเหอนั้น หวังทงรู้ว่ามาจากที่ใด ตนเองนำทัพปราบเมืองกุยฮว่าเฉิงเคยกล่าวไว้ ลานฝึกหู่เวยเองก็เคยสอนมา
วิพากษ์วิจารณ์ถึงช่วงท้าย หวังทงก็ได้แต่ส่ายหน้าถอนหายใจ กล่าวว่า
“พวกเราอยู่ที่นี่ก็ได้แค่คุยกันกระดาษเปล่า ทำอะไรได้ รอดูแล้วกัน!”
ข่าวส่งมา เร็วสุดก็ต้องสิบวัน ข่าวที่หวังทงได้รับล้วนเป็นข่าวเมื่อสิบวันก่อนของเมืองเหลียวโจว ที่รายงานล้วนเป็นเรื่องปกติทั่วไป ล้วนเป็นกระบวนการรบตามปกติ
ขณะที่หวังทงให้ความสนใจกับเจี้ยนโจว ก็มีข่าวจากเมืองจี้โจวมาถึง ว่าตอนนี้ตัวหลุนถูกเผ่าฉาฮาเอ่อร์ครอบครองไปแล้ว แม้ว่าเผ่าเคอเอ่อร์ชิ่นยังทิ้งคนเฝ้าไว้ แต่เหมือนว่าไม่อาจต้านทานได้
ข่าวนี้ได้รับการรับรองกับกลุ่มพ่อค้าติดอาวุธแล้ว กลุ่มพ่อค้าติดอาวุธเข้าสู่ตัวหลุนชุดแรก พบว่าถูกทหารม้าและชาวเลี้ยงสัตว์จากเผ่าฉาฮาเอ่อร์ไล่ล่า เผ่าเคอเอ่อร์ชิ่นน้อยมาก มีบ้างบางตา พบว่าส่วนใหญ่เป็นพวกเด็กและคนแก่อ่อนแอในชนเผ่า หลายคนอพยพไปทางตะวันออก
วันที่ 2 เดือนสิบปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 15 ใกล้เปิดศึกใหญ่ที่เจี้ยนโจว ข่าวที่มาเมืองหลวงยังคงเป็นคืนก่อนการรบ ก็พวกเรื่องขุนพลทหารเตรียมออกรบเรียบร้อย พรุ่งนี้ขอให้สวรรค์คุ้มครอง อย่างไรก็ต้องได้รับชัยชนะ เป็นต้น หวังทงได้ข่าวมาก็เหมือนกัน ทุกอย่างปกติ
**************
วันที่ 3 เดือนสิบ ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 15 ทหารเฝ้าประตูทักษิณของเมืองหลวงกำลังพิงกำแพงตากอาทิตย์อัสดง อากาศเริ่มเย็น อาทิตย์ยามบ่ายสาดกระทบตัว ทำให้รู้สึกอุ่นสบาย เป็นความสุขที่ยากจะได้รับในวันๆ หนึ่ง
ยามกำลังหลับตาพริ้มรับแสงตะวัน ก็ได้ยินเสียงวุ่นวายเอะอะ พอลืมตามอง ก็เห็นคนและรถม้าหน้าประตูเมืองพากันหลบ มีคนขี่ม้ามุ่งทะยานมาอย่างเร็ว
ทหารหน้าประตูเมืองล้วนมีประสบการณ์มาก มีคนคิดเข้าไปกระชากม้ามา นายกองพันผู้หนึ่งตะโกนดังให้กั้นไว้ บีบให้คนบนหลังม้าต้องหยุด ตะโกนด่าเสียงดัง
“เมืองหลวงที่ประทับ เข้าเมืองต้องตรวจสอบ พวกเจ้าดูแล้วก็เหมือนเป็นขุนนาง ไม่รู้ธรรมเนียมหรือ!?”
“รีบปล่อยข้าเข้าเมือง เมืองเหลียวโจวมีรายงานด่วน เมืองเหลียวโจวมีรายงานด่วน!!”