องครักษ์เสื้อแพร - ตอนที่ 973 ยินดีกับฝ่าบาท
กองทัพเมืองเหลียวโจวพ่ายศึกที่ป้อมเจี้ยฝานไจ้ ทหารที่มาแจ้งข่าวลนลานรายงานข่าวด่วนเช่นนี้
ตามเวลาที่คำนวณได้ ข่าวนี้มาเร็วกว่าปกติสองวัน เพราะซุนโส่วเหลียนรายงานข่าวมายังหวังทงเป็นปกติอยู่ ตามปกติที่ตกลงกัน แต่รายงานข่าวการรบครั้งนี้เหมือนว่ามาอย่างไม่กลัวว่าม้าจะตาย ตลอดทางวิ่งไม่หยุด ม้าวิ่งตายไปหลายตัว
ความจริงนั้นที่หน้าประตูเมือง ม้าก็หมดแรงล้มพับกับพื้นตรงนั้นแล้ว ปากก็พ่นฟองออกมาก่อนจะกระตุกสิ้นใจ แต่คนนำข่าวก็ไม่อาจสนใจม้า
กาประชุมราชสำนักเพิ่งจะเลิก ข่าวด่วนก็มาถึงในวัง ขันทีพากันรีบวิ่งมาเรียกให้ขุนนางใหญ่ทุกคนกลับไป หวังทงก็เช่นกัน
ไม่รู้ว่าเรื่องใด ได้ยินแล้วหวังทงที่ใจเต้นก็เริ่มผ่อนลง แต่ทว่าสังเกตเห็นว่า บรรดาขุนนางราชสำนักมองเขาไม่เป็นมิตรนัก เมืองเหลียวโจวยกทัพปราบเผ่าหนี่ว์เจิน เป็นหวังทงผลักดันเบื้องหลัง แม้ว่าในกระบวนการนั้น ไม่อาจเอาผิดไปถึงหวังทงได้ แต่ทุกคนล้วนเข้าใจ
เพิ่งจะมีรายงานการรบมา เป็นรายงานนอกกำแพงเมืองชายแดนเมืองเหลียวโจวห่างออกไปพันลี้ ความเศร้าสลดแผ่ไปทั่ว แต่ทุกคนไม่ได้มีท่าทีแตกตื่น เพียงแค่หารือว่าควรทำเช่นไร
ตอนนี้ทุกอย่างล้วนไม่แน่ชัด ก็ไม่อาจทำการวิเคราะห์อะไรได้กระจ่างนัก ได้แต่สั่งการไปตามระเบียบ ให้เมืองจี้โจวและเมืองเซวียนฝู่ รวมทั้งกองกำลังเมืองหลวงออกรับศึก เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาด มีราชโองการให้ผู้ว่าการเขตจี้เหลียวเข้าบัญชาการที่เมืองเหลียวโจว ตรวจสอบความจริงให้กระจ่าง คุมสถานการณ์ให้นิ่ง ส่งสำนักบูรพา สำนักองครักษ์เสื้อแพรและขุนนางกรมทหารไปยังเมืองเหลียวโจวเพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์
วิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้จบลง สำนักส่วนพระองค์กับคณะเสนาบดีใหญ่ล้วนจัดการงานในกระบวนการของตนเสร็จอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ส่งให้คนนำขึ้นทูลเกล้าอย่างเร่งด่วน
ขุนนางทั้งหลายออกไป หวังทงถูกเรียกเข้าเฝ้าส่วนพระองค์ เห็นสภาพการณ์เช่นนี้ บรรดาขุนนางใหญ่ราชสำนักล้วนเข้าใจสถานการณ์แล้ว หวังทงอย่างน้อยในตอนนี้ก็ไม่ได้กระทบอันใดจากการพ่ายศึกของเมืองเหลียวโจว อย่างน้อยฮ่องเต้ว่านลี่ก็มิได้ทรงกริ้วหรือเอาผิด ยังรั้งตัวไว้หารือต่อ ยังคงเป็นขุนนางคนสนิทดังเดิม
“หวังทง เจ้าว่าอย่างไร?”
ฮ่องเต้ว่านลี่สีพระพักตร์เรียบเฉย แต่แสดงให้เห็นชัดว่าทรงกำลังร้อนพระทัยอย่างยิ่ง ฮ่องเต้ว่านลี่หลังได้รับการฝึกจากลานฝึกหู่เวยมา ทำให้ทรงรู้สึกรับไม่ได้กับการพ่ายศึก เมืองเหลียวโจวออกปราบเผ่าหนี่ว์เจิน ฮ่องเต้ว่านลี่เดิมทีก็รอคอย กลับคิดไม่ถึงว่าผลเป็นเช่นนี้ จะให้ไม่ทรงกริ้วก็ยาก
“ฝ่าบาท ตอนนี้เราได้ฟังความจากแค่ทหารส่งข่าวคนเดียว ยังไม่อาจเชื่อถือได้ อีกสามวันหรือสี่วัน รอการข่าวที่แน่นอนมาก่อน ถึงตอนนั้นค่อยหาทางก็ยังไม่สายพะยะค่ะ”
หวังทงตอบเรียบๆ เถียนอี้ยืนข้างหลังฮ่องเต้ว่านลี่คิดกล่าว แต่ก็อดไว้ ไม่ได้เอ่ยขึ้น ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงคว้าพู่กันมาด้ามหนึ่งมากดลงบนโต๊ะ ตรัสว่า
“ชนะย่อมไม่จำเป็นต้องกล่าวอันใด แต่สถานการณ์ตอนนี้ดูแล้ว เมืองเหลียวโจวคงพ่ายแล้ว หากพ่ายจริง เจ้าเห็นอย่างไร?”
หวังทงเงียบไปครู่หนึ่ง คิดอยู่นานอย่างไตร่ตรองหนักก่อนจะทูลว่า
“หากแพ้จริง กระหม่อมยินดีกับฝ่าบาท ยินดีกับฝ่าบาทพะยะค่ะ!”
“หวังทง ต่อหน้าพระพักตร์ เจ้ากล้ากล่าววาจาเหิมเกริมเช่นนี้ได้อย่างไร เมืองชายแดนแผ่นดินหมิงพ่ายศึก มีอันใดน่ายินดี!?”
เถียนอี้ด้านหลังฮ่องเต้ว่านลี่ในที่สุดก็อดไม่ได้ ส่งเสียงตำหนิ ฮ่องเต้ว่านลี่โบกพระหัตถ์ เถียนอี้รีบหยุด ฮ่องเต้ว่านลี่จ้องมองสีหน้าหวังทง ตรัสว่า
“เรารู้ว่าเจ้าไม่ได้ล้อเล่น และก็ไม่กล่าวอันใดล้อเล่นในสถานการณ์เช่นตอนนี้ ว่ามา ไยต้องยินดี?”
หวังทงถวายบังคมก่อนกราบทูลว่า
“ฝ่าบาท หากเมืองเหลียวโจวพ่าย แม้กำลังจะสูญเสีย แต่เขาก็จะไม่ได้มีกำลังเหมือนเดิม ราชสำนักคิดปฏิรูปเมืองชายแดน ในระบบเมืองชายแดน เมืองที่ได้ประโยชน์มากที่สุดก็คือเมืองเหลียวโจว กำลังแท้จริงที่เข้มแข็งที่สุดก็คือเมืองเหลียวโจว เขากุมกำลังทหารมาก ยังอยู่ใกล้เมืองหลวง หากเขาค้าน ปฏิรูปเมืองชายแดนก็ย่อมประสบความยากลำบาก ตอนนี้อุปสรรคหมดไปแล้ว ฝ่าบาทสามารถลงมือปฏิรูปได้แล้ว นี่คือประเด็นแรก ยังมีอีกประเด็น เมืองเหลียวโจวครองพื้นที่กว้างขวาง เทียบกับมณฑลในด่านแล้วไม่ได้ด้อยไปกว่า เมืองเหลียวโจวแม้ว่าอากาศหนาวเย็น แต่ดินอุดมสมบูรณ์ ผลผลิตมากมาย เดิมควรทูลเกล้าถวายพื้นที่นี้แด่ฝ่าบาท แต่เพราะเป็นระบบมณฑลทหาร ทุกอย่างล้วนเป็นของตนเองไป ราชสำนักยังต้องจ่ายเงินให้ทุกปีอีก ตอนนี้ราชสำนักสามารถจัดการให้เมืองเหลียวโจวเป็นมณฑลเหลียว ส่งขุนนางบุ๋นไปเก็บภาษีได้ จากมณฑลทหารให้กลายเป็นมณฑลทั่วไป ก็เท่ากับฝ่าบาทขยายดินแดนออกไป หรือว่านี่มิใช่เรื่องน่ายินดีหรือพะยะค่ะ?”
ชายแดนทั้งเก้าแน่นอนย่อมเป็นแผ่นดินหมิงครอบครอง แต่ทว่าเมืองเหลียวโจว เงินทองทั้งหมดตกอยู่กับตระกูลทหาร ทหารตระกูลหลี่จัดการหมด แม้ว่าฟังคำสั่งราชสำนัก แต่พื้นที่เช่นนี้บอกว่าเป็นของตระกูลหลี่ย่อมไม่อาจยอมได้ หากสามารถส่งขุนนางไปปกครองได้ เก็บภาษีได้ แน่นอนย่อมไม่เหมือนเดิม ต้องรู้ว่าเมืองเหลียวโจวมีประชากรมาก ที่นาขนาดใหญ่ ยังมีผลประโยชน์หลายทาง นี่เรียกได้ว่าเป็นผลประโยชน์ก้อนโตก้อนหนึ่ง
แต่หวังทงกล่าวเช่นนี้ ท่าทีฮ่องเต้ว่านลี่ก็ยังคงเดิม พระหัตถ์กดพู่กันแน่น ตรัสถามขึ้น
“เมืองเหลียวโจวพ่ายแพ้ใหญ่ พวกนอกด่านบุกมา เรื่องนี้ไม่แก้ไข จะคุยเรื่องปฏิรูปเมืองชายแดนอันใด พูดเรื่องตั้งเป็นมณฑลอันใดกัน!”
“ฝ่าบาท พวกนอกด่านทางตะวันออกเป็นเรื่องเล็ก ช้าเร็วก็ย่อมทำลายทิ้งได้!”
หวังทงตอบง่ายแต่มั่นใจ ฮ่องเต้ว่านลี่อึ้งไป เถียนอี้เองก็อึ้งไป ตามมาด้วยเถียนอี้คิดตำหนิ แต่สองคนล้วนไม่กล่าวอันใด ‘ช้าเร็วก็ย่อมทำลายทิ้งได้’ วาจานี้พูดง่าย แต่เรียกว่าเหิมเกริมยิ่ง แต่พอมาคิดดูคนพูดคือหวังทง กลับทำให้ไม่อาจโต้กลับได้ คิดถึงชัยชนะที่ผ่านมาของหวังทงแล้ว ก็ยังคงทำให้หลายคนไม่อาจกล่าวอันใดได้
ฮ่องเต้ว่านลี่เงียบไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ตรัสขึ้นว่า
“เจ้าออกไปก่อน รอข่าวละเอียดมา ค่อยมาหารือกันใหม่”
**************
จากนั้นสี่วัน ข่าวละเอียดก็มาถึงเมืองหลวง เป็นคนสนิทหลี่เฉิงเหลียงเขียนมา ยังมีรายงานข่าวละเอียดจากซุนโส่วเหลียน
หลี่เฉิงเหลียงยังรายงานการข่าวมาได้อย่างสงบนิ่ง แสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ไม่ได้เลวร้ายมาก แน่นอน สามารถปิดบังได้ก็จะปิดบัง เรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก นี่เป็นธรรมเนียมฎีการายงานการศึก
แม้เป็นเช่นนี้ แต่ก็ยังต้องยอมรับว่าทัพเมืองเหลียวโจวบาดเจ็บล้มตายนับหมื่น ทัพแตกกระจัดกระจายไป ศัตรูเข้าประชิดฝู่ซุ่น ขอราชสำนักส่งทหารไปช่วย ขุนนางยังคงมีท่าทีเช่นนี้ ความจริงคิดก็ออกว่าเป็นอย่างไร ข่าวจากซุนโส่วเหลียนข่าวกับหลี่เฉิงเหลียงไม่แตกต่างกันมาก ทำให้หวังทงแปลกใจ
แต่ทว่าแค่ทหารเผ่าหนี่ว์เจินทางตะวันออกไม่น่าจะได้ชัยเช่นนี้ หลี่เฉิงเหลียงว่าพวกทหารเผ่าหนี่ว์เจินทางตะวันออกเข้าร่วมการรบนี้สองหมื่นได้ ซุนโส่วเหลียนได้ตัวเลขที่น่าเชื่อกว่า ก็คือหมื่นห้ากว่า แต่ทำให้เมืองเหลียวโจวพ่ายศึกกลับไม่ใช่เผ่าหนี่ว์เจิน
***************
เผ่าหนี่ว์เจินตะวันออกอย่างไรก็เป็นแค่ชาวบ้านตั้งที่อยู่เป็นหลักแหล่ง รู้จักการสร้างเมืองสร้างบ้าน ก็หมายความว่า พวกเขายังคงมีความสามารถในการก่อสร้างที่พักอาศัย โดยเฉพาะเผ่าเจี้ยนโจวหลายคนเคยมาเป็นทหารที่เมืองเหลียวโจว ค่อนข้างมีความเข้าใจเรื่องพวกนี้มาก ถึงกับรู้จักใช้ความสามารถเหล่านี้
สนามรบห่างจากป้อมเจี้ยฝานไจ้ไม่ไกลนัก เป็นที่ราบ ที่นั่นเป็นสบแม่น้ำหุนเหอกับแม่น้ำซูจื่อเหอ เผ่าหนี่ว์เจินทางตะวันออกรวมกำลังตั้งหลักสองที่ หนึ่งก็คือที่ป้อมเจี้ยฝานไจ้ อีกหนึ่งก็คือสบแม่น้ำ
นอกป้อมเจี้ยฝานไจ้ก่อกำแพงไม้ล้อมรอบ ที่สบแม่น้ำ ก็ใช้ความได้เปรียบพื้นที่สร้างคูน้ำ ใช้ไม้และอิฐก่อสร้างกำแพงเตี้ยๆ ในฤดูนี้ สองแม่น้ำไม่อาจเรียกว่าเป็นที่กั้นทางธรรมชาติได้ เพราะน้ำแห้ง น้ำไม่ลึกนัก และยังมีน้ำแข็งให้เดินได้
เผ่าหนี่ว์เจินตัดสินใจสู้ที่นี่ ยุทธวิธีรบก็ทำให้หลี่เฉิงเหลียงแปลกใจ อย่างไรก็สองฝ่ายก็สามารถเลือกออกรบกลางสนามได้ รบกันอย่างไรอย่างน้อยก็หนีได้ แต่หากสู้กันที่ป้อม แม้จะปลอดภัย แต่เหมือนปิดล้อมตนเองอยู่ในนั้น ถึงตอนนั้นก็ไม่อาจหนีได้
แต่การจัดการเช่นนี้ก็เป็นไปตามที่หลี่เฉิงเหลียงคิด เดิมทีครั้งนี้จะต้องได้ชัยเด็ดขาด รบอย่างไรก็ไม่ต้องห่วงว่าอีกฝ่ายจะแตกกระจัดกระจายสู่ทุ่งหญ้า สองที่นี้ทำให้กองกำลังหมิงได้แต่บุกอย่างเดียว ไม่อาจใช้ยุทธวิธีใดได้อีก
ป้อมเจี้ยฝานไจ้สร้างเครื่องป้องกันหลากหลาย เช่นว่า มีท่อนไม้หลายท่อนตัดขวางไว้ กระจัดกระจายไปทั่วพื้นที่ เส้นทางล้วนมีแต่บ่อมีแต่คู เช่นนี้ทำให้ทหารเดินผ่านได้ แต่ปืนใหญ่กองกำลังหมิงหนักมาก ไม่อาจขึ้นเขาได้ หรือหากคิดจะขึ้นเขาจริงก็ต้องใช้กำลังคนและเวลามาก
ทิศทางโจมตีแน่นอนเป็นพื้นที่สบแม่น้ำ หลี่เฉิงเหลียงนำทัพ ส่วนเรื่องโจมตีป้อมเจี้ยฝานไจ้เป็นหน้าที่หลี่หรูป๋อ
หลี่หรูป๋อขี้เกียจลากปืนใหญ่ขึ้นไปตีป้อมที่ตั้งในที่สูง ป้อมเจี้ยฝานไจ้มีแค่สี่พันนายรักษาการ เขานำทหารบุกโจมตีเอาเลยก็แล้วกัน
การต่อสู้เป็นไปอย่างยากลำบาก ไม่ได้ประโยชน์จากพื้นที่ อีกฝ่ายอยู่สูงกว่า ยิงธนูลงมาเป็นส่วนใหญ่ ธนูเผ่าหนี่ว์เจินยิงไม่ไกล แต่หัวธนูหนักมาก ถูกยิงโดนก็เรียกว่าแผลใหญ่ เสียกำลังการต่อสู้ทันที ธนูกองกำลังหมิงยิงมุมหงาย อีกฝ่ายป้องกันได้ดี ไม่อาจทำอันตรายศัตรูได้
การต่อสู้แบบเนื้อปะทะเนื้อ ทหารเผ่าหนี่ว์เจินได้เปรียบเรื่องชัยภูมิ และไม่กลัวตาย บุกเข้าไปหลายคราล้วนถูกตีกลับมา ไปมาหลายรอบ กำลังโจมตีป้อมเจี้ยฝานไจ้ก็หมดแรง หลี่หรูป๋อไม่รู้ทำเช่นไร ได้แต่ถอนกำลัง เริ่มจัดการรบใหม่
ในเมื่อใช้คนตีไม่เข้า ก็ต้องเก็บกวาดสิ่งกีดขวางเสียก่อน ลากปืนใหญ่ขึ้นไปยิง แต่จะทำเช่นไร ทหารเผ่าหนี่ว์เจินป้อมเจี้ยฝานไจ้ออกมาสู้แล้ว สังหารไประลอกหนึ่งก็กลับเข้าป้อมไป ทำให้ทุกอย่างยิ่งช้าลง ยิ่งต้องส่งกำลังไปป้องกันให้มากขึ้น
ในระหว่างการต่อสู้ก็เป็นไปอย่างปกติ เริ่มแรกหลี่เฉิงเหลียงใช้ปืนใหญ่ ปืนใหญ่โรงช่างสามธาราแพงเกินไป ตระกูลหลี่ยังคงใช้ปืนใหญ่โบราณกองกำลังหมิง นี่ก็เป็นปัญหา คนยิงปืนใหญ่เป็นไม่มาก พวกที่เตรียมปืนใหญ่เป็นยิ่งน้อย คนพวกนี้ต้องมีคนมาเสริมกำลังให้พอ
ระดมยิงไประลอกหนึ่ง ปืนใหญ่ก็ร้อนมาก ความยุ่งยากก็เกิดขึ้น และยังทิ้งกระสุนปืนไว้กองหลังอีก ผลการยิงไม่ค่อยดีนัก เช่นนั้นก็คงได้แต่ใช้ทหารบุกเข้าไปแทน แต่ความจริงนั้นก็ประสบภาวะเช่นเดียวกับการโจมตีป้อมเจี้ยฝานไจ้ แต่ละหน่วยไม่อาจตัดใจส่งทหารสังกัดเข้าไปสูญเสีย แต่ทหารธรรมดาก็ไม่อาจสู้ทหารเผ่าหนี่ว์เจินได้จริงๆ ทหารองอาจกล้าหาญไม่เท่ากัน และยังเป็นพื้นที่รบกว้าง มีแม่น้ำสองสายเป็นเขตแดน ความจริงนั้นคือจำนวนคนเมืองเหลียวโจวไม่เป็นที่ได้เปรียบอีกแล้ว และไม่อาจกดดันอีกฝ่ายได้สักเท่าไร
การต่อสู้ดำเนินไปได้สองชั่วยาม ทางใต้ทัพใหญ่ฝั่งขวา ก็มีทหารม้าเผ่าหนี่ว์เจินสองพันกว่า แต่การโจมตีครั้งนี้เป็นไปตามความคาดหมายของหลี่เฉิงเหลียง